บทที่ 2 ประณามคนหยาบคายด้วยความโกรธ!
บทที่ 2 ประณามคนหยาบคายด้วยความโกรธ!
“อ่านเข้าใจดี”
ฟางชิวตอบกลับห้วน ๆ
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น บรรณารักษ์ชายวัยกลางคนกลับยิ้มแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ไอ้หนู… โม้เกินจริงไปหน่อยมั้ง”
ฟางชิวยังคงยิ้มหลังได้ยินคำพูดของบรรณารักษ์ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
บรรณารักษ์ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะรูดบัตรห้องสมุดบันทึกข้อมูลของหนังสือที่ฟางชิวตั้งใจจะยืม เสร็จแล้วก็ส่งคืน
ฟางชิวยัดหนังสือเก็บในกระเป๋า เดินออกจากประตูห้องสมุด หยิบร่มขึ้นมากาง ฝ่าสายฝนไปพร้อมกับกระเป๋าบนไหล่
เท่าที่เห็น แถวนี้ยังคงมีนักศึกษาหลายคนเดินอยู่ท่ามกลางสายฝนหลบหลีกแอ่งน้ำไม่ให้ตนเองเปียก
เห็นแล้วฟางชิวก็ยิ้มเยาะก่อนจะย่ำเท้าลงแอ่งน้ำโดยตรง
แต่แล้ว… ก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น!
อยู่ ๆ น้ำในแอ่งก็กระจายออกจากจุดที่เขาย่ำเท้าลงไป ราวกับว่าถูกควบคุมด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น น้ำที่กระจายอยู่รอบเท้าไม่ไหลกลับลงหลุม อีกทั้งยังไม่เปียกชุ่มรองเท้าแม้แต่นิด!
เช่นนี้แล้วฟางชิวก็รีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปที่หอพักของตัวเองทีละก้าวโดยไม่สนใจแอ่งน้ำอีกต่อไป
ฟางชิวไม่ได้เดินแบบปกติอย่างที่ใคร ๆ ทำกัน เขากระโดดข้ามแอ่งน้ำเพราะกลัวว่าน้ำในแอ่งจะทำให้รองเท้าของตัวเองสกปรก
ยี่สิบนาทีต่อมา ฟางชิวก็มาถึงประตูหอพัก และทันใดนั้นก็มีรถแล่นผ่านเขาไป มันแล่นผ่านแอ่งน้ำที่อยู่ตรงหน้าจนทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ!
ดวงตาชายหนุ่มวาบปลาบ พลังปราณภายในเริ่มทำงาน
ทั้งโคลนและน้ำจากแอ่งน้ำที่สาดกระเซ็นโดนเมื่อครู่ถูกชะล้างออกอย่างง่ายดายราวกับเขาอยู่แต่ในที่ร่มมาตลอด
ร่างกายของเขาตอนนี้ไม่มีโคลนหรือน้ำสกปรกจากแอ่งน้ำมาแปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นักศึกษาคนอื่น ๆ รอบตัวไม่ได้โชคดีแบบนี้ ทุกคนล้วนตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและน้ำจากแอ่งน้ำ เสื้อผ้าเลอะเทอะเหมือนเพิ่งตกลงไปในคูน้ำหรืออะไรสักอย่างไม่มีผิด
มากไปกว่านั้น เหล่าหญิงสาวที่ใบหน้าเลอะไปด้วยโคลน ก้มมองดูคราบสกปรกบนเนื้อตัวแล้วก็ไม่อาจฝืนเสียงคร่ำครวญไหว
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ขับรถภาษาอะไรกันยะ?!”
“ขับรถเร็วขนาดนี้ในมหาวิทยาลัยได้ยังไง! ไม่กลัวชนใครหรือรถคว่ำเลยหรือไง?!”
“ดูก็รู้ว่ารวย! แต่ไร้มารยาท!”
—
เหล่าบรรดานักศึกษาที่เปียกโชกไปด้วยน้ำโคลนต่างพากันสบถ ตะโกนด่ารถเบนซ์ที่เพิ่งขับผ่านไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฟางชิวชำเลืองมองไปยังทิศทางที่รถเบนซ์ขับผ่านด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก
รถจอดที่หน้าหอพัก ชายฉกรรจ์สวมแว่นดำสองคนเดินลงมาจากรถ จากนั้นเปิดประตูหลังด้วยท่าทางเคารพพร้อมทั้งกางร่มราวกับว่ากำลังรับรองใครสักคน
ปรากฏว่าเป็นร่างของชายวัยกลางคนและชายหนุ่มดูยโสคนหนึ่ง ฟางคิวคาดว่าคงจะเป็นนักศึกษา ชายคนนั้นแต่งตัวสไตล์ฮิปฮอป กำลังลงจากรถเบนซ์
ชายฉกรรจ์ทั้งสองกางร่มบังฝนให้คนทั้งคู่ ส่วนตัวเองยืนตากฝนไปทั้งแบบนั้น
ฟางชิวค่อย ๆ สาวเท้าไปหาแล้วยืนอยู่นิ่ง ๆ ใกล้ ๆ คนพวกนั้น ชายหนุ่มยังคงรอ… รอให้พวกที่ขับรถเบนซ์ลงมาขอโทษนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่ต้องมาเลอะเทอะเพราะพวกเขา หากพวกเขาขอโทษแต่โดยดี ฟางชิวก็จะทำเหมือนเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
แต่ช่างน่าเศร้า… ที่พวกเขาไม่ขอโทษ…
แน่นอนว่า ฟางชิวเองไม่อาจปล่อยไว้ได้!
ชายหนุ่มที่เพิ่งลงจากรถมองเหล่านักศึกษาที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำโคลนข้างหลังก่อนจะเย้ยหยัน เขาเงยหน้าขึ้นสำรวจหอพักที่ทั้งเก่าทั้งทรุดโทรม ขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้ามามองยังชายวัยกลางคน
“พ่อ… พ่อไม่น่าให้ผมพักอยู่ในหอพักนี้เลย เห็นไหมล่ะ? โทรมจะตาย!”
ชายวัยกลางคนดูประหลาดใจกับสภาพหอพักทรุดโทรมแห่งนี้เช่นกัน กระนั้นเขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จริงอย่างแกว่า…”
ชายผู้เป็นพ่อเอ่ยต่อจนจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
“แต่แกมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ไม่ใช่มาเที่ยวเล่น เพราะฉะนั้นแกต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น!”
หลังจากที่ได้ยินพ่อตัวเองตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาด ชายหนุ่มก็พูดด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ “ครับ… งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ ไปช่วยผมเลือกห้องพักหน่อย ผมอยากพักอยู่คนเดียว!”
หลังจากที่พูดจบ ชายหนุ่มก็เริ่มเตรียมตัวเดินเข้าไปในหอพัก
“เดี๋ยวก่อน!”
คู่พ่อลูกหันมาตามเสียงเรียกก็พบเข้ากับชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งแบกกระเป๋าอันโตพร้อมกับถือร่มดำกำลังเดินตรงมา ดวงตาปรากฏความเยือกเย็นทว่าแฝงประกายคมกล้าอยู่ด้านใน
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาขวางเพื่อคุ้มกัน พร้อมกับมองมายังฟางชิวด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง
“มีอะไร?”
ผู้เป็นลูกชายมองฟางชิวด้วยแววตาหยิ่งยโส
บรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ ต่างพากันมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ สงสัยไม่หายว่าทำไมฟางชิวถึงกล้าตะโกนเรียกคนรวยเหล่านั้นให้หยุด
“ฉันว่านายควรขอโทษพวกนักศึกษาที่ต้องตัวเปื้อนเพราะพวกนายหน่อยนะ?”
ฟางชิวเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่บรรดานักศึกษาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก แต่ละคนมีสภาพเหมือนหนูจมน้ำไม่มีผิด
เพียงแค่ประโยคธรรมดา ๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากฟางชิว เหล่านักศึกษาที่ตัวเปื้อนโคลนก็รู้สึกอบอุ่นใจ เพราะแม้พวกเขาจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่ก็ทำได้แค่ก่นด่าเบา ๆ ไม่มีใครกล้าทลายความกลัวเปล่งเสียงร้องท้วงใส่คนที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจสักคน
แต่ในตอนนี้ก็มีคนเดินไปท้วงในเรื่องที่พวกเขาอยากจะพูดแล้ว!
บรรดานักศึกษารอบ ๆ ตัวที่มองอยู่อย่างอยากรู้อยากเห็นต่างพากันผงะกับคำพูดของฟางชิว
กระนั้นทุกคนก็พากันยกนิ้วให้ฟางชิวในใจที่กล้าหือกับคนรวยมีอำนาจ อยากรู้นักว่าเขาจะรับมือพ่อลูกคู่นี้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิวเฟยเฟย อาจารย์ผู้ช่วยสาวสวยประจำชั้นเรียนของฟางชิวที่เพิ่งจะกินอาหารกับรูมเมตเสร็จ เธอกำลังจะเดินผ่านหอพักชาย แต่แล้วก็เหลือบเห็นสภาพเหล่านักศึกษาถูกรถเบนซ์สาดน้ำโคลนใส่จนตัวเปื้อน อาจารย์สาวสวยโกรธมากจนต้องหยุดดูสถานการณ์ตรงหน้า
หลังจากนั้นเธอก็เห็นฟางชิวที่เป็นนักศึกษาในคลาสเรียนตนเองเดินไปทวงคำขอโทษจากพ่อลูกตัวต้นเหตุ
เธอยังคงมองดูต่อไป กระนั้นก็พร้อมที่จะเดินไปให้การสนับสนุนฟางชิวทุกเมื่อ
“ขอโทษงั้นเรอะ?”
ชายหนุ่มในชุดฮิปฮอปเบือนสายตามาดูเหล่านักศึกษาตัวเปื้อนโคลน เห็นแล้วกลับหันไปพูดกับผู้คุ้มกันทั้งสองว่า “ขึ้นไปข้างบน”
ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาทำก็มีเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
ก่อนที่สองพ่อลูกจะก้าวเท้าออกไป ฟางชิวก็เข้าไปขวางหน้าพวกเขาทั้งคู่ในปราดเดียว สองพ่อลูกนิ่งเงียบไป ผ่านไปเป็นนาที ฟางชิวก็ยังคงขวางพวกเขาไว้ไม่ไปไหน…
ไอ้เด็กนี่มันโผล่หน้ามาขวางเขาได้อย่างไรกัน?!
ผู้คุ้มกันพลันรู้สึกได้ว่าตนกำลังเผชิญศัตรูที่น่ากลัว เพราะมองไม่ทันเลยสักนิดว่าฟางชิวเคลื่อนย้ายตัวเองไปขวางอยู่ด้านหน้าตอนไหน?
“เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์?”
ดูจากรูปร่างแล้วไม่น่าเป็นไปได้!
“ทำคนอื่นตัวเปื้อนโคลน ไม่รู้สึกผิดกันสักนิดเลยหรือ? ทุเรศจริง ๆ!”
ฟางชิวต่อว่าพลางจ้องคู่พ่อลูกด้วยสายตาเย็นชา ในขณะเดียวกัน พลังปราณในตัวก็เริ่มโคจรหมุนวนรุนแรงแผ่ออก แม้จะพยายามปกปิดแล้วก็ตาม ทว่าปราณเหล่านั้นก็ได้แฝงอยู่ภายใต้ผิวหนังพร้อมระเบิดออกมาทุกเมื่อ!
แม้ฟางชิวไม่ได้ต้องการจะเปิดเผยพลังของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถทำเป็นมองไม่เห็นคนรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าได้
ถามว่าเขาฝึกศิลปะการต่อสู้ไปเพื่ออะไรน่ะเหรอ?
ก็เพื่อผดุงความดีและกำจัดสิ่งชั่วร้ายอย่างไรเล่า!
คู่พ่อลูกไม่รู้สึกถึงพลังปราณที่ฟางชิวแผ่ออกมา ทว่าชายฉกรรจ์ทั้งสองคนรู้สึกได้ ดูได้จากท่าทางและสีหน้าที่เปลี่ยนไป
พลังปราณนี่…!
ผู้คุ้มกันทั้งสองไม่สนใจร่มที่ถืออยู่อีกต่อไป พวกเขาเก็บร่ม และรีบพุ่งตัวไปบังคุ้มกันเจ้านายพร้อมกับกำหมัดเกร็งกล้ามเนื้อ ดวงตาจ้องไปที่ฟางชิวไม่กะพริบ
แสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้คุ้มกันตลอดเวลา
สองพ่อลูกมองผู้คุ้มกันด้วยความงุนงง ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนนี้เป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่พวกเขาจ้างมาด้วยเงินเดือนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยเห็นผู้คุ้มกันทั้งสองระแวงและตื่นตัวขนาดนี้มาก่อน!
“ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้นต่อหน้านักศึกษาด้วย?”
นักศึกษาที่ยืนอยู่รอบ ๆ งงกันเป็นแถบ ต่างคนต่างพากันคิด “ไม่ใช่ว่ากำลังอวดอยู่เหรอ?”
ฟางชิวทำเพียงแค่ชำเลืองมองชายสองคนตรงหน้า “พวกนายสองคนจะขวางฉันงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มพูดจบ ทุกสายตาก็พากันจับจ้องไปที่ผู้คุ้มกันทั้งสองคน
“พวกเราไม่กล้า!”
ทั้งสองกลับรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน
คนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยรอบต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า!
“สองคนนั้นบอกว่า… ไม่กล้าเหรอ?!”
“เชี่ย!! มันหมายความว่ายังไงเนี่ย?!”
เหล่านักศึกษาที่อยู่รอบ ๆ ต่างซูฮกฟางชิวขึ้นมาทันที
“ตานี่โคตรเจ๋ง! ทั้งตรงทั้งกล้า บังคับผู้คุ้มกันตัวใหญ่ ๆ หงอได้ด้วยอะ!”
เมื่อหันไปมองพ่อลูกตัวต้นเหตุ แม้ว่าคนที่เป็นลูกจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ชายผู้เป็นพ่อเหมือนจะรู้สึกถึงความผิดปกติและสับสนไปแล้ว ดูได้จากดวงตาที่หรี่ลงและสายตาสงสัยที่จ้องไปยังฟางชิว
ฟางชิวถามขึ้น “ทำไม… ถึงทำตัวแบบนี้?”
พลังปราณในตัวชายหนุ่มกำลังหนาแน่นขึ้นราวกับพร้อมจะระเบิดกระจายออกมาได้ทุกวินาที
ถึงแม้ว่าตอนนี้สภาพอากาศโดยรอบจะเย็นแค่ไหน แต่หยาดเหงื่อกลับผุดพรายเต็มหน้าผากของผู้คุ้มกันทั้งสองเรียบร้อยแล้ว
“ผมเองที่เป็นคนขับรถ มันเป็นความผิดผมเอง ผมต้องขอโทษทุกคนด้วย!”
ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็รีบสารภาพผิดขึ้นมาก่อน เสร็จแล้วก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่านักศึกษาที่เหลือ เขาส่ายมือพลางกล่าวขอโทษอีกครั้ง “ผมขอโทษทุกคนด้วย ผมขับรถเร็วเกินไป ไม่ทันเห็นแอ่งน้ำเลยกระเซ็นโดนพวกคุณ ผมต้องขอโทษจริง ๆ!”
เหล่านักศึกษาที่ไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บจึงตอบกลับอย่างสั้น ๆ ว่า “ไม่เป็นไร” หรือไม่ก็ “โอเค”
ภายใต้สถานการณ์นั้น ผู้คุ้มกันร่างใหญ่ทั้งสองก็หันไปหาฟางชิวรอคำตอบว่าเขาพอใจหรือยัง?
ฟางชิวตอบกลับเพียงแค่ “เสื้อผ้าของทุกคนสกปรกมาก”
เพียงไม่กี่คำจากปากของฟางชิว ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็หยิบเงินจากในกระเป๋าออกมาห้าร้อยหยวนชดใช้ให้นักศึกษา
นักศึกษาบางคนรู้สึกกระดากเกินกว่าจะรับเงิน แต่ผู้คุ้มกันกลับยัดเงินห้าร้อยหยวนใส่มือแกมบังคับไปแล้ว
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า บรรดาคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างพากันตะลึง
นี่มัน…
ก่อนหน้านี้เพิ่งจะทำกร่างเหมือนพวกชอบข่มเหงผู้อื่น แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายขอโทษก่อน และยังชดใช้ค่าซักรีดให้ด้วยเนี่ยนะ?
เหลือเชื่อ!!
“เฟยเฟย เด็กในชั้นเรียนของเธอคนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
รูมเมตของหลิวเฟยเฟยพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอจำชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ฟางชิว’ ได้เช่นกัน
หลังรูมเมตชมฟางชิว หลิวเฟยเฟยก็เชิดคางแล้วพูดด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอน! อย่าลืมสิว่าใครเป็นอาจารย์ประจำชั้นเขา!”
แต่แล้วรูมเมตของเธอก็ขัดขึ้น “เธอกับเด็กคนนั้นเพิ่งจะรู้จักกันได้แค่สองวันเองนี่!”
“แล้วยังไงล่ะ?”
หลิวเฟยเฟยหันไปตอบกลับรูมเมต ก่อนจะดูเหตุการณ์ต่อ
หลังจากที่ชดใช้เงินให้หมดแล้ว ผู้คุ้มกันก็วิ่งกลับมาหาฟางชิวพลางปาดเหงื่อทิ้งด้วยความเหนื่อย
ฟางชิวเห็นว่านักศึกษาตัวเปื้อนโคลนทั้งหลายเหมือนจะดูพอใจแล้ว เขาก็พยักหน้าให้แล้วเดินจากไป
ผู้คุ้มกันทั้งสองกลับไปขนาบข้างเจ้านายก่อนจะนำทางขึ้นไปบนหอพักอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจ้านายจะงุนงงอยู่ก็ตาม
หลังจากผู้สร้างปัญหาพ้นสายตาแล้ว เสียงปรบมือและคำชื่นชมก็ดังขึ้น
ทุก ๆ คนต่างพากันปรบมือให้ฟางชิว ดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความเคารพนับถือและชื่นชม!
ฟางชิวทำเพียงแค่ยิ้มและโค้งคำนับ จากนั้นเขาก็เดินออกไป ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไร เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับข้อความหนึ่งจากหลิวเฟยเฟย!
‘ฟางชิว! สุดยอดมากเลย! ที่เธอทำวันนี้เพิ่มกำลังใจให้คนอื่นมากนะ สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของฉัน!’
“ลูกศิษย์ของคุณ?”
ฟางชิวอยากจะหัวเราะแหะ ๆ หลังอ่านข้อความจากอาจารย์สาว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความรู้สึกทั้งอยากจะร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน ‘นั่นเป็นเพราะคุณสอนดีต่างหากครับ!’
หลิวเฟยเฟยส่งข้อความมาอีก
‘เอาล่ะ! โปรแกรมการแสดงได้ถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว เธอกับเฉินชงจะเป็นตัวแทนของห้องเราแสดงความสามารถในปาร์ตี้ต้อนรับน้องใหม่ที่จะถึงนี้ เฉินชงจะแสดงอู่ซู่ ส่วนเธอก็เล่นเพลง Blue and White Porcelain ด้วยฟลูตมือ เพราะฉะนั้น… คืนพรุ่งนี้เตรียมตัวให้ดี! ฉันคาดหวังมาก!’
ฟางชิวเองตอบกลับไปว่า ‘ผมเองก็หวังว่าจะทำได้ดีเช่นกัน!’
ไม่นาน เธอก็พิมพ์ข้อความตอบกลับมาอีกครั้ง ‘มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ! [อีโมติคอนยิ้ม]’
ทางอีกฟาก
เมื่อสองพ่อลูกพบห้องพักที่ถูกใจ พวกเขาก็นั่งลง จากนั้นชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อก็เอ่ยปากถามผู้คุ้มกันทั้งสอง “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้คุ้มกันสองคนต่างมองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบเจ้านายของตัวเองด้วยหัวใจที่ยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ชายหนุ่มที่ขวางพวกเราเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ครับ!”
“ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ เจ้านั่นน่ะเหรอ?”
ชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายถามแทรกขึ้นมาราวกับไม่อยากเชื่อ
“แต่เจ้านั่นมันอายุเท่าฉันเองนะ!”
“ใช่ครับ!” สองผู้คุ้มกันตอบพร้อมกัน
“พวกแกสองคนกำลังจะบอกว่าจัดการเจ้าเด็กนั่นไม่ได้?”
ผู้เป็นพ่อถามผู้คุ้มกันของตนด้วยสีหน้าทะมึนตึง บ่งบอกได้ว่ากำลังขุ่นเคืองอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าผู้คุ้มกันทั้งสองคนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ทั้งยังมีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับผู้คุ้มกันธรรมดา ๆ ห้าถึงหกคนได้เพียงลำพังด้วยซ้ำ!
ผู้คุ้มกันทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะส่ายหัว “ไม่สำคัญว่าจัดการได้หรือไม่ได้ แต่เป็นการเคลื่อนไหวของเด็กนั่นที่พวกเราจับได้!”
“อะไรนะ?”
คนเป็นพ่อรู้สึกสับสน
“เราใช้เทคนิคการต่อสู้จัดการเขาได้ แต่สุดท้ายเราก็อาจจะแพ้ พวกเราไม่เคยเห็นใครที่มีพลังขนาดนี้มาก่อน”
ผู้คุ้มกันฉกรรจ์ทั้งสองยังคงมองไปนายน้อยผู้ยังคงไม่เชื่อคำพูดของพวกเขาแล้วพูดต่อ “นายน้อย นายน้อยควรระวังเด็กคนนั้นให้ดี อย่าไปมีเรื่องอะไรกับเขาเด็ดขาด! บนโลกใบนี้ยังมีปรมาจารย์ยอดฝีมืออยู่อีกมาก ชายหนุ่มคนนั้นอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!”
ได้ยินแล้วคนเป็นพ่อชักรู้สึกกังวล “ถ้าเด็กนั่นมันร้ายกาจขนาดนั้น แบบนี้เสี่ยวเฮิงก็ตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ?”
“บางทีอาจจะไม่ เพราะเด็กคนนั้นก็ดูไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องกับใครสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ตราบใดที่นายน้อยอยู่เฉย ๆ ไม่ไปทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจก็ไม่มีปัญหา”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งตอบ
“ดีแล้ว!” คนเป็นพ่อว่าพลางมองที่ไหล่ของผู้คุ้มกันสลับมามองลูกชายตัวเองแล้วพูดขึ้นมา “แกได้ยินไหม? อย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้น เป็นเพื่อนกับเขาได้จะยิ่งดี แต่จำไว้ให้ดี อย่าหาปัญหาใส่ตัว! แค่อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจเรียน! ทำตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ!”
ผู้เป็นลูกชายก้มลงพลางยอมรับข้อตกลงอย่างช่วยไม่ได้
แต่เดิมเขาเคยคิดว่าจะกร่างและอวดดีอย่างไรก็ได้ แต่แล้วในเหตุการณ์วันแรกของการเข้าเรียนก็เจอเรื่องไม่น่าอภิรมย์ซะแล้ว น่าผิดหวังจริง ๆ!