บทที่ 7 ปาร์ตี้รับน้องใหม่
บทที่ 7 ปาร์ตี้รับน้องใหม่
สัมผัสได้แล้ว!
ภาพสามมิติปรากฏขึ้นในใจของเขา!
เขามองเห็นและสัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวของกระดูกที่หัก
นับตั้งแต่สมัยโบราณ อาการกระดูกหักเช่นนี้สามารถพบได้บ่อยในคนที่ผ่านการทำงานอย่างหักโหม
และแล้วฟางชิวก็ได้เห็นวิธีการรักษารอยร้าวของกระดูกนั้น
สิ่งที่ฟางชิวกังวลก็คือ หมอในโรงพยาบาลอาจไม่สามารถจัดกระดูกที่มีอาการในระดับนี้ได้ อีกฝ่ายจะต้องทำการจัดกระดูกใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงปล่อยให้ชายคนนี้ไปพักฟื้นในโรงพยาบาล
ดังนั้น เขาจะต้องทำ
ฟางชิวเหลือบมองครูฝึก และพบว่าเจ้าตัวกำลังมองไปทางอื่นอยู่
นี่มันเป็นโอกาสที่ดี!
มือของฟางชิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
กระดูกที่แตกร้าวเริ่มต่อติดเข้าที่อีกครั้งโดยพลัน!
จากนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยเท้าของคนเจ็บลง
ครูฝึกไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้นักศึกษาที่บาดเจ็บรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าตนปวดน้อยกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เขามองมาที่ฟางชิวด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“เท้าของนายหัก ฉันทำให้อาการทุเลาลงบ้างแล้ว ถ้ารถพยาบาลมาถึง แล้ว นายต้องพักฟื้นเพื่อให้กระดูกต่อกันนะ”
ฟางชิวจับไหล่ของคนเจ็บพร้อมกับยิ้มบาง ๆ จากนั้นถึงค่อยเอ่ยขอตัวกับครูฝึก
นักศึกษาที่เป็นคนเจ็บรู้สึกสับสน
“มันหมายความว่ายังไง? ฉันกระดูกหักงั้นเหรอ? ถ้าใช่แล้วกระดูกหักได้ยังไงในเมื่อยืนอยู่เฉย ๆ ตรงนี้?”
“แล้วอีกอย่าง คนคนนั้นกับฉันเองก็เป็นนักศึกษาใหม่นี่หว่า แล้วไปมีความรู้เรื่องศาสตร์การจัดกระดูกมากขนาดนั้นได้ยังไงกัน?”
ความสับสนทั้งหมดยังคงอยู่ จนกระทั่งรถพยาบาลมาถึง พวกเจ้าหน้าที่การแพทย์ต่างเร่งพาเขาไปโรงพยาบาล
ทันทีที่เขามาถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปเอกซเรย์ทันที ซึ่งทำให้เจ้าตัวยิ่งสับสนยิ่งขึ้นเมื่อได้รับการเอกซเรย์เสร็จ
เขากระดูกหักระหว่างการยืนในการฝึกทหารจริง ๆ!
และแพทย์ยังบอกเขาอีกด้วยว่ามันเป็นรอยร้าวเพียงเล็กน้อย แค่พักฟื้นก็เพียงพอที่จะให้กระดูกซ่อมแซมตัวเองได้แล้ว
นี่มันเหมือนกับที่คนคนนั้นพูดเลย!
“เจ้านั่นจัดกระดูกให้ฉันใหม่จริง ๆ เหรอ?”
“เจ้านั่นเป็นใครกันนะ?”
“อย่างเจ๋งเลย!”
เขารู้สึกผิดหวังหน่อย ๆ ที่ไม่ได้ถามชื่อของชายหนุ่มที่ช่วยรักษามา
“ถ้าได้เจอเจ้านั่นอีกครั้งจะต้องขอบคุณเขาให้ได้!”
เขาตั้งมั่นกับตัวเอง
หลังจากที่ฟางชิวได้ช่วยรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาก็กลับเข้าไปที่ชั้นเรียนของตัวเองพร้อมกับมองดูผู้เคราะห์ร้ายถูกแบกขึ้นรถพยาบาล ก่อนจะเข้าฝึกภาคสนามต่อไป
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น การฝึกทหารภาคสนามก็จบลง
ส่วนปาร์ตี้ตอนค่ำในฤดูใบไม้ร่วงของมหาวิทยาลัยเพิ่งจะเริ่ม!
เวลา 6.30 นาฬิกา
หลังมื้อเย็น บรรดาน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยพากันนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งแยกตามชั้นเรียนบริเวณสนามใหญ่ โดยแต่ละโต๊ะนั้นถูกตกแต่งไปด้วยลูกโป่งหลากสีและของตกแต่งอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุก ๆ คนต่างพากันรอปาร์ตี้คืนนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะการใช้เวลาที่แสนสนุกด้วยกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะต้องเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากแน่ ๆ!
ฟางชิวได้โทรศัพท์หาครอบครัวของตัวเอง และในตอนนี้เขาก็กำลังนั่งหลับตาตรงที่นั่งของตัวเองเป็นการทำสมาธิและพักผ่อนไปในตัว
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นตัวแทนแสดงความสามารถในช่วงเย็นของวันนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีเครื่องดนตรีหรือจะต้องสวมชุดแฟนซี เพราะทางมหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษาน้องใหม่แสดงความสามารถในชุดทหารลายพราง
“เจียงเหมี่ยวอวี๋มาแล้ว!”
ใครสักคนในกลุ่มเพื่อนร่วมคลาสพูดขึ้น ทันใดนั้นทั้งชั้นเรียนก็เกิดความโกลาหล
หนุ่ม ๆ บางคนถึงกับเงยหน้าขึ้นแล้วมองไม่วางตา แม้กระทั่งผู้ชายที่กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน
“ไหน ๆๆ?! เธออยู่ไหน?!”
ฟางชิวค่อย ๆ ลืมตาและมองไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็เห็นกลุ่มหญิงสาวที่แต่งตัวสวยกำลังเดินอยู่ข้างหน้าเขา…
แม้ว่าจะมีสาว ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ฟางชิวก็สามารถมองเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋ได้อย่างง่ายดาย
ถึงเธอจะอยู่ในชุดทหารลายพราง แต่มันก็ยังยากที่จะซ่อนออร่าเปล่งประกายความสวยอย่างเป็นธรรมชาตินี้!
แต่ฟางชิวเกิดความงุนงง “เธอมาทำไมน่ะ?”
นี่เป็นปาร์ตี้ฤดูใบไม้ร่วงต้อนรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง ดังนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋จึงไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ในเมื่อเธอเป็นนักศึกษาสาขาฝังเข็มและการนวดแผนจีน
แต่บทสนทนาจากคนรอบตัวชายหนุ่มก็ได้ให้ความกระจ่างแล้ว
“ได้ยินมาว่าสาขาฝังเข็มและการนวดแผนจีนจัดกิจกรรมให้เข้าร่วมฟรีในเย็นนี้ แต่เหมือนเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ของพวกเราจะสนใจงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่แฮะ”
ฟางชิวพยักหน้า
และในเวลานี้เอง เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็กำลังมองหาชั้นเรียนที่ฟางชิวอยู่
จังหวะเดียวกันนั้นเอง ทั้งคู่สบตากัน เจียงเหมี่ยวอวี๋ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้ม
ฟางชิวเองก็ยิ้มตอบกลับเช่นกัน
เจียงเหมี่ยวอวี๋ยังคงเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเธอ ขณะที่คนในชั้นเรียนของฟางชิวเริ่มวุ่นวายกันอีกครั้ง
“เห็นไหม ๆ! เจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มให้ฉัน! เธอยิ้มให้ฉัน!!”
“ไปตายซะไปไอ้เวร! ก็เห็น ๆ อยู่ เทพธิดาเจียงยิ้มให้ฉันต่างหาก!”
“แกสองคนนั่นแหละไปให้พ้น! เจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มให้ฉันต่างหาก! ฉันต้องยิ้มตอบเธอแล้วสิ!”
…
กลุ่มนักศึกษาชายในคลาสต่างเถียงกันเองด้วยความตื่นเต้นว่าใครกันแน่ที่เป็นคนทำให้เทพธิดาคนงามเจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้ม
ซุนฮ่าว พี่สามประจำห้องพักของฟางชิวคว้าโทรศัพท์ของชายหนุ่มไปแล้วพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นประหนึ่งเป็นแฟนบอย “น้องเล็ก เห็นไหม ๆ?! เทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ยิ้มให้ฉัน! เธอยิ้มให้ฉันล่ะ!! ฤดูใบไม้ผลิของฉันกำลังมาแล้ว!!”
ในอีกด้านหนึ่งของซุนฮ่าว เจ้าสี่ หรือโจวเสี่ยวเทียนกลับขัดขึ้นว่า “ไอ้โง่! เทพธิดาเจียงยิ้มให้ฉันต่างหาก!”
พี่ใหญ่สุด จูเปิ่นเจิ้งเองก็ไม่น้อยหน้า เขาแย้งกลับสั้น ๆ “เป็นฉัน!”
ฟางชิวมองทั้งสามคนก่อนจะพูด “ความจริงแล้ว… เธอยิ้มให้ฉัน”
ทั้งสามคนหันหน้ามามองฟางชิวพร้อมกันด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพร้อมใจกันแจกนิ้วกลางให้เจ้าน้องเล็กทันที!
ซุนฮ่าวพูดขึ้นมาด้วยท่าทางดูถูก “ไอ้น้องเล็ก ฉันจะบอกอะไรให้นะ มันมากเกินไปแล้ว ถ้าจะแข่งกับพวกฉันจีบเทพธิดาเจียงมันน่ากลัวนะเว้ย!”
“ใช่! น่ากลัวมาก!”
จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนดูถูกฟางชิวพร้อมกัน
ฟางชิวกางมือของตัวเองราวกับยินดีที่จะถูกตบแล้วเอ่ยต่อ “ปัญหาก็คือ… เธอยิ้มให้ฉันจริง ๆ”
“ดูไอ้เจ้าน้องเล็กสิ สงสัยอยากโดนฟาดว่ะ ติดที่ต้องขึ้นแสดงความสามารถในวันนี้ ไม่งั้นฉันต้องจัดสักหน่อย!” ซุนฮ่าวพูดขึ้นอย่างเหี้ยมโหด
อีกสองคนที่เหลือก็เงื้อมือขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเช่นกันว่า “พวกฉันจะสนองให้นายเอง ต่อยมันเลย!”
“ฉันจะเก็บขาสองข้างและมืออีกหนึ่งข้างไว้ให้พวกนายเอง”
ฟางชิวมองไปที่คนทั้งสามด้วยสายตาดูถูก ก่อนที่จะยื่นมือซ้ายออกไปแล้วตะโกน “อย่านะได้โปรด!”
“กำลังอารมณ์เสียซะด้วยสิ!”
ซุนฮ่าวที่สวมเสื้อเชิ้ตได้ถกแขนเสื้อตัวเองขึ้นแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้กับจูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียน จากนั้นก็ตะโกนสั่ง “จัดการมันเลย!”
หนุ่ม ๆ ทั้งสามคนพากันกระโจนเข้าหาฟางชิว
ฟางชิวร้องออกมาอย่างน่าสังเวช ตัวของเขาถูกตรึงกับพื้นและถูกรุมต่อยตีอย่างแรง
ส่วนเฉินชงก็กำลังวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแสดงความสามารถพลางมองไปยังฟางชิว เขาคิดว่าฟางชิวสามารถสู้กลับได้ แต่ฟางชิวกลับไม่ทำ
และในขณะนั้นเอง ไฟบนเวทีก็สว่างขึ้น
เกือบจะหนึ่งทุ่มเห็นจะได้ งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้านี้ เจ้าภาพเองก็ขึ้นเวทีไปแล้วเรียบร้อย
เมื่อเห็นดังนั้น หนุ่ม ๆ ทั้งสี่ก็หยุดการกระทำตัวเองทันที
ซุนฮ่าวกระซิบข้างหูฟางชิว
“เจ้าน้องเล็ก นายจะยอมแพ้หรือยัง?”
ฟางชิวตบพื้นก่อนจะพูดด้วยท่าทางที่น่าสังเวช “ยอมแพ้แล้ว ๆ”
“รู้ไว้ก็ดีแล้ว!”
ทั้งสามคนปล่อยตัวฟางชิวแล้วพูดใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทางผยองในชัยชนะ
ฟางชิวจัดเสื้อผ้าของตัวเองพลางคิด
‘ถ้าหากสู้กันจริงจัง ฉันใช้เพียงนิ้วเดียวจัดการพวกนายทั้งสามคนเลยก็ยังได้…’
แต่ตัวเขารู้ว่าเวลาไหนควรสู้ เวลาไหนไม่ควร
เมื่อเจ้าภาพงานเลี้ยงขึ้นเวทีมาแล้ว ทุก ๆ คนก็ปรบมือขึ้นพร้อมกัน
โดยในช่วงเริ่มแรกจะเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้บริหารที่มีมากความสามารถและรู้ว่าสิ่งที่นักศึกษาต้องการคืออะไร เขาพูดเพียงไม่กี่นาทีแล้วประกาศให้เริ่มงานเลี้ยงได้
เสียงปรบมืออย่างคึกคักและอบอุ่นดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวลงจากเวที
การแสดงความสามารถแรกคือ การเต้นที่ร้อนแรงและเซ็กซี่ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ผู้ชมต่างรู้สึกตื่นเต้นและคึกคักเป็นอย่างมาก
การเต้นรำที่ร้อนแรงและสง่างามจากกลุ่มของสาว ๆ บนเวที เรียกเสียงเป่าปากจากพวกหนุ่ม ๆ กันเกรียวกราว
จริง ๆ ฟางชิวต้องการจะสนุกกับช่วงเวลานี้อย่างเงียบ ๆ แต่ว่าซุนฮ่าวที่อยู่ข้าง ๆ เขาเหมือนจะมีมือปรบมือไม่พอ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงคว้ามือของฟางชิวมาตบแรง ๆ
ช่วงเวลาที่น่าสนุกสนานมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
เพลงจบลง การแสดงการเต้นก็จบไปเช่นกัน
เสียงปรบมือดังขึ้น เหล่านักศึกษาที่ยังคงไม่สะใจกับการโชว์ก็ตะโกน “ขอมากกว่านี้…!”
หลังจากนั้นพิธีกรก็ขึ้นมาบนเวทีแล้วถาม “โชว์เต้นนี้เจ๋งใช่ไหม?”
“เจ๋ง!!!” เหล่าผู้ชมพากันขานพร้อมกัน
“อยากดูอีกไหม?”
“อยาก!!”
“งั้นการแสดงต่อไป เป็นการแสดงการร้องเพลง How Rare the Moon, So Round and Clear!’*[1] จากนักเรียนห้องหนึ่ง สาขาวิชายาแพทย์แผนจีน อ้ายเล่อเล่อ!”
ทันทีที่ประกาศจบ พิธีกรก็ลงจากเวทีทันที
ในตอนแรกเหล่าผู้ชมคิดว่าจะเป็นการแสดงการเต้นที่เร่าร้อน แต่กลับเป็นการแสดงร้องเพลงแทน ทำเอาคนดูใจแป้วเล็กน้อย ทว่าหลังจากนั้นมีสาวน้อยน่ารักขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเพลงที่เริ่มดังคลอขึ้น
ทุก ๆ คนพากันเงียบสนิท ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำตัวเย้ยหยันไม่สุภาพกับเธอ
“…พระจันทร์ดวงนั้นช่างกลมและใสยิ่งนัก! ด้วยถ้วยในมือฉัน… ฉันภาวนาต่อฟากฟ้า…”
เพียงร้องท่อนเริ่มต้นมา ทุก ๆ คนต่างเริ่มมีอารมณ์ร่วมกับเพลงที่เธอร้อง ยิ่งเป็นเพลงที่ถูกร้องในช่วงบรรยากาศของเทศกาลไหว้พระจันทร์เช่นนี้ด้วย
ด้วยบทเพลงที่ไพเราะนี้ หัวใจที่กระสับกระส่ายของผู้ชมต่างพากันสงบลงทันที
พวกเขาเริ่มอินกับเสียงเพลง อ้ายเล่อเล่อก็ยังคงร้องต่อไป
“…ฉันไม่รู้ว่าในท้องฟ้ายามค่ำคืน งานรื่นเริงนี้มีชื่อว่าอะไร…?”
“…ฉันอยากจะกลับบ้าน… โบยบินไปบนท้องฟ้า แต่ก็กลัวความหนาวเหน็บข้างบนนั้น…”
…
เมื่อเพลงจบ ผู้ชมทุกคนต่างพากันร้องตาม
“…เธอหมุนตัวรอบปราการสีชาด ก่อนจะโค้งตัวลงตรงหน้าประตูกำมะหยี่ส่องประกายจนผู้คนไม่อาจหลับใหล ทำไมเธอจึงไม่โกรธที่เราจากลากันและปฏิเสธที่จะพบกันอีกครา?”
เมื่อมาถึงท่อน ‘สิ่งที่หายากคือความสุขอันแท้จริง… ดวงจันทร์ย่อมขึ้นข้างแรมและดับลงไป’ เหล่าบรรดาผู้ชมก็ร้องตาม
ฟางชิวเองก็ร้องเบา ๆ ตามเช่นกัน
“…บุรุษมาพบกันและบอกลา ฉันเพียงภาวนาให้ชีวิตของเรายืนยาว ให้วิญญาณของเราโบยบินไปสู่สวรรค์ด้วยกัน…”
จังหวะนี้เองที่โจวเสี่ยวเทียนหันมามองฟางชิวแล้วต้องช็อกตาตั้ง
เขาประหลาดใจที่ฟางชิวก็สามารถร้องเพลงนี้ได้ไพเราะไม่แพ้สาวน้อยน่ารักที่อยู่บนเวทีเลย ดีไม่ดีอาจจะร้องได้ดีกว่าด้วยซ้ำ!
ซุนฮ่าวเองก็สามารถรับรู้ได้ เขากับโจวเสี่ยวเทียนพากันมองหน้ากัน
“ทำไมเจ้าน้องเล็กมันทำทุก ๆ อย่างได้ดีขนาดนี้กันนะ?”
ฟางชิวไม่สนใจพวกเขาทั้งสองและยังคงร้องเพลงตามต่อไป
เสียงของบรรดาผู้ชมเริ่มดังขึ้นและดังขึ้น ถึงแม้ว่าเพลงจะจบลงแล้ว ทุกคนก็ยังคงร้องเพลงและอยู่ในภวังค์ตามเนื้อหาของเพลง จนกระทั่งพิธีกรเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วร้องเพลงร่วมกับพวกเขา
ชายผู้เป็นพิธีกรดูเหมือนจะหูหนวกไม่ได้ยินเสียงตัวเองตอนร้อง เพราะเสียงร้องของเขาพังมาก!
และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือพิธีกรคนนี้มีไมค์อยู่กับมือ มันจึงทำให้เสียงร้องอันห่วยแตกของเขากลบเสียงผู้ชมคนอื่น ๆ จนหมด
เหล่าผู้ชมพากันโกรธเป็นอย่างมาก ทุกคนพากันหยุดร้องพลางจ้องไปยังพิธีกรด้วยสายตาเย็นชา
แต่ดูเหมือนว่าพิธีกรชายท่าทางจะหน้าด้านมาก เขามองเหล่าผู้ชมที่หยุดร้องแล้วก็พูดขึ้น “ในเมื่อทุก ๆ คนชอบร้องเพลงมาก บางทีทุก ๆ คนคงจะสนุกกับการแสดง Crosstalk ‘ชีวิตทั้งหมดของฉัน’ ของนักศึกษาห้องหนึ่ง สาขาวิชาพยาธิวิทยา หลี่จิน และจางเกาหยางเช่นกัน!!!”
“โห่!!!”
ยิ่งเห็นสีหน้าของพิธีกร เสียงโห่ก็ดังมาจากทั่วทุกทิศทาง
พิธีกรยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับก้าวลงจากเวทีทันทีที่เสียงประกาศจบ ปล่อยให้นักศึกษาทั้งสองคนที่จะแสดงการแสดงชุดต่อไปขึ้นเวทีแทน
ฟางชิวสังเกตเห็นว่าเฉินชงเดินออกไปหลังอาจารย์หลิวเฟยเฟยกระซิบอะไรบางอย่าง
ดูเหมือนจะได้เวลาแสดงของเฉินชงแล้วสิ
แน่นอนว่าฟางชิวคิดถูกเป๊ะ ๆ! หลังทั้งสองคุยกันจบ พิธีกรก็เริ่มประกาศเรียกผู้แสดงความสามารถศิลปะการต่อสู้ เฉินชง นักศึกษาห้องสาม!
เมื่อได้ยินว่าการแสดงชุดต่อไปเป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้ เหล่าบรรดาผู้ชมก็ไม่สนใจอีกต่อไป
ความตื่นเต้นจากการชมการแสดงทั้งสี่ชุดก่อนหน้านั้นมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
การแสดงศิลปะการต่อสู้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการชก ซึ่งมันไม่มีอะไรที่สวยงามและน่าพอใจ แน่นอนว่าไม่มีความน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงแค่นักศึกษาจากห้องสามที่ปรบมือให้กำลังใจอย่างอบอุ่น พร้อมกับส่งเสียงเชียร์เฉินชง
อีกทั้งตัวเฉินชงเองก็เหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับสายตานิ่งเฉยจากบรรดาผู้ชมคนอื่นนอกจากพวกนักศึกษาห้องเดียวกัน เขาย่างเท้าขึ้นไปบนเวทีด้วยความแข็งแกร่งและหนักแน่นพร้อมกับกำหมัดของตัวเอง ดวงตาเป็นประกายแรงกล้าดุจดั่งต้นสน
คนอื่น ๆ ย่อมไม่เข้าใจภาพที่เห็นบนเวที แต่ฟางชิวกลับยิ้มบาง ๆ พร้อมกับชื่นชมอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
“เจ๋งเป้ง!”
จิตวิญญาณและพลังปราณภายในตัวเฉินชงถูกกระตุ้นขึ้นทันที สภาพของชายหนุ่มบนเวทีตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเสือร้ายที่กำลังออกล่าในป่าเลย ภายใต้ท่าทางที่ดูเหมือนนิ่งเฉย แต่ภายในของเขานั้นร้อนแรงราวกับไฟเผา!
[1] How rare the moon, so round and clear เป็นเพลงที่ถูกดัดแปลงมาจากบทกวีของซูซื่อ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับดวงจันทร์และท้องฟ้า