บทที่ 12 จดหมายรักจากดาวมหาวิทยาลัย
บทที่ 12 จดหมายรักจากดาวมหาวิทยาลัย
ท็อปสี่อันดับคนดังเป็นไปตามที่ใครหลายคนคาดไว้จริง ๆ!
คะแนนความนิยมของทั้งสี่คนสูงกว่าคนในหัวข้อข่าว ‘ปีสอง’ ก็จริง แต่ก็ยังน้อยกว่า ‘ปีสาม’ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คะแนนความนิยมของพวกเขามีมากขนาดนี้ได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่มีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในเว็บบอร์ดข่าวของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง
นอกจากนี้ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าชายหนุ่มผู้รักความยุติธรรมกับฟางชิวนั้นเป็นคนเดียวกัน และยังเป็นคนที่เฉินชงต้องการจะประลองด้วย
ในคืนนี้ ทั้งสองหัวข้อถูกหยิบยกมาพูดเพราะฟางชิว
หลังจากงานปาร์ตี้จบลง ฟางชิวกลับหอพักของตัวเองพร้อมกับรูมเมตทั้งสาม
ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงหอพัก รูมเมตทั้งสามคนของฟางชิวก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องสาว ๆ ในหอพักที่พวกเขาอยากจะจีบด้วย มีแต่ฟางชิวเท่านั้นที่เปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วเอาแต่ซื้อของทางอินเทอร์เน็ต
สิ่งที่ชายหนุ่มซื้อนั่นก็คือ แส้หางม้าและเหรียญทองแดง
“นำแส้หางม้าห้อยกับเหรียญทองแดงไปไว้ในที่ที่ไร้ผู้คน สังเกตตัวเหรียญทองแดงด้วยตาแล้วเคลื่อนย้ายมันไปตามจินตนาการของคุณ แล้วความสำเร็จขั้นต้นจะบังเกิด”
นี่คือการฝึกฝนในการเข้าถึง ‘ขอบเขตจิตสำนึก’ ที่ถูกเขียนไว้ในทฤษฎีการจัดกระดูกนั่นเอง
ถึงแม้ว่าทฤษฎีการจัดกระดูกจะจำเป็นต้องเข้าไปถึงขั้น ‘เข้าใจ’ เป็นอย่างแรก ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้น ‘เชี่ยวชาญ’ ก็ตาม แต่ฟางชิวต้องการที่จะฝึกทั้งสองระดับพร้อมกันเพื่อประหยัดเวลา
สำหรับเหตุผลที่คนสมัยก่อนจัดลำดับเช่นนั้น อาจเป็นพราะกังวลว่าคนรุ่นต่อไปจะคิดลักไก่ข้ามขั้นการเรียนรู้ทั้งที่ยังมีความรู้พื้นฐานไม่แน่นพอ
แต่สำหรับกรณีของฟางชิวนั้นแตกต่างออกไป เขาไม่ได้มีแผนที่จะใช้สิ่งนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตน เขาจึงต้องเรียนรู้สิ่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
หลังจากที่ซื้อของผ่านระบบออนไลน์เสร็จแล้ว ฟางชิวก็อ่านหนังสือสักพักก่อนจะพักสายตาแล้วผล็อยหลับไป
แน่นอนว่า… ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาตอนช่วงเวลาตีสามอย่างเคย
แต่ก่อนที่ฟางชิวจะออกไปนั้น เขาก็เห็นเฉินชงยืนอยู่หลังต้นไม้ตรงทางออกของหอพัก
ดูเหมือนว่าเฉินชงจะรอเขาอยู่…
ฟางชิวยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ให้โอกาสอะไรแก่อีกฝ่ายเลย เขาปีนขึ้นไปบนหลังคาแล้วกระโจนไปยังจุดอื่น กลายเป็นเงาดำเร้นกายหายวับเข้าไปในกลางป่า
เขามาฝึกฝนที่เดิมอีกครั้งดั่งเช่นเมื่อวาน มันเป็นบริเวณเกาะเล็ก ๆ ใจกลางทะเลสาบ จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งทำสมาธิ
คืนก่อน ตอนเขาเล่นฟลูตมือ ฟางชิวบังเอิญเข้าถึง ‘การหยั่งรู้สรรพสิ่ง’ ทำให้ตัวชายหนุ่มสามารถเข้าใจอะไรบางสิ่งขึ้นมาได้ วันนี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะฝึกฝน
เวลาล่วงเลยมาถึงตีห้า ฟางชิวเดินกลับหอพักด้วยสภาพจิตใจที่สดชื่นขึ้น เขาสังเกตเห็นว่าเฉินชงไม่ได้อยู่ที่ใต้ต้นไม้แล้ว
ฟางชิวกลับไปที่ห้อง ปลุกรูมเมตทั้งสาม หลังทุกคนตื่นก็รีบลุกจากเตียงอย่างไวเพื่อไปจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นก็ค่อยไปทานอาหารเช้าด้วยกัน
การฝึกทหารภาคสนามช่วงเช้ายังคงดำเนินต่อไปตามปกติ นั่นคือการฝึกเดินสวนสนาม และในช่วงบ่ายนี้จะเป็นการฝึกเดินขบวนพาเหรด
เพราะว่าในวันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการฝึกทหารภาคสนาม และในวันมะรืนนี้จะเป็นวันเดินขบวนพาเหรด
เวลาในการฝึกกระชั้นชิดแถมภารกิจก็หนัก การฝึกทหารก็ยิ่งโหดขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาบ่ายสามโมง นับเป็นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัด เหล่านักศึกษาส่วนมากล้วนเหนื่อยล้าและรู้สึกร้อน
พวกเขาจะตายกันอยู่แล้ว!
มะรืนนี้ การตรวจตราการฝึกภาคสนามจะเริ่มขึ้น บรรดาครูฝึกต่างรอคอยที่จะรับการประเมินผล ดังนั้นการฝึกฝนนักศึกษาทั้งหมดจึงเข้มงวดขึ้นตามไปด้วย
นี่ทรมานเหล่านักศึกษาเป็นอย่างมาก
พวกเขาหมดแรงตั้งแต่ตอนมัธยมปีสามแล้ว ตอนนี้ก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสอีก!
แต่ถึงจะทรมานอย่างไร นักศึกษาห้องสามก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันอดทน
เมื่อพูดถึงระดับของการฝึกภาคสนามนี้ แม้แต่เฉินชงยังแทบจะทนไม่ไหว ส่วนฟางชิวนั้นกลับดูปกติอยู่คนเดียว
หลังจากแอบดูฟางชิวอย่างลับ ๆ หลายครั้ง เฉินชงก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าฟางชิวนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งสภาพอากาศที่ร้อนจัดและการฝึกโหดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบทานทนไม่ไหว แต่อีกฝ่ายกลับสามารถอดทนได้ และยังดูมีพลังเหลือเฟืออีกด้วย
นั่นยิ่งทำให้เฉินชงเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังสงสัย!
และยิ่งทำให้เขาตั้งหน้าตั้งตารอการประลองในค่ำคืนนี้ เฉินชงอยากจะรู้ว่าฟางชิวจะกล้ามาตามคำท้าหรือไม่?
สาส์นท้าประลองการต่อสู้ได้ถูกส่งไปแล้ว ไม่ว่าฟางชิวจะโผล่หัวมาหรือไม่ เขาก็จะรออีกฝ่ายจนถึงเวลาเที่ยงของวันถัดไปเลย!
สาว ๆ ในห้องสามเองก็ยังคงพูดถึงฟางชิวพลางมองดูเขาเป็นครั้งคราว
หลังจากการแสดงเมื่อคืนนี้ เห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มสาว ๆ ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดฟางชิวเป็นอย่างมาก
ซุนฮ่าวขยิบตาส่งซิกให้ฟางชิวหลังจากที่รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้หญิงในชั้นที่มองมายังอีกฝ่าย
ฟางชิวไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้ม
แล้วทันใดนั้น กลุ่มคนที่กำลังพักอยู่ก็มองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกัน ก่อนจะต้องอึ้ง นั่นคือ เจียงเหมี่ยวอวี๋!
หลังจากปาร์ตี้รับน้องใหม่เมื่อคืนนี้ ความนิยมในตัวเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ดูเหมือนจะมากขึ้นไปอีก!
ความคลั่งไคล้ชมชอบในตัวหญิงสาวที่มากขึ้นนั้น เห็นได้ชัดว่ามาจากสายตาหนุ่ม ๆ
แล้วตอนนี้ เส้นทางที่เจียงเหมี่ยวอวี๋เดินมาดันเป็นจุดของห้องสาม
หนุ่ม ๆ ในห้องสามต่างรู้สึกกระชุ่มกระชวย แต่เพื่อสร้างความประทับใจต่อหน้าเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ พวกเขาจึงพยายามระงับอาการตื่นเต้นด้วยการมองเธออย่างสงบแทน
ภายใต้สายตาของผู้คนที่มองอยู่นั้น เจียงเหมี่ยวอวี๋กลับตรงเข้าไปหาฟางชิวแล้วยิ้มให้ ก่อนจะหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าสตางค์
“โอ้…”
หนุ่ม ๆ ในห้องสามเริ่มเอะอะกันด้วยความฮือฮา
จดหมายนั่นมันหมายความว่าอย่างไร?
จดหมายมันก็แค่จดหมายล่ะว้า…
อีกอย่างทุกวันนี้ ทุก ๆ คนส่วนมากต่างก็เลือกใช้การส่งข้อความหรือแชตผ่านแอปวีแชตทั้งนั้น หมายความว่านี่ไม่ใช่แค่จดหมายธรรมดาแน่ ๆ และมันเป็นได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นี่คือจดหมายรัก!
จดหมายรัก!
เทพธิดาเจียงส่งจดหมายรักให้ฟางชิว!
นี่มันเป็นปรากฏการณ์ใหญ่เลยนะ!
เมื่อเทียบกับเหล่าหนุ่ม ๆ ที่ต้องการจะก่อปัญหาแล้ว สาว ๆ ในห้องสามกลับมีสีหน้ามืดมนลงทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“นี่มันอะไร?”
ฟางชิวลุกขึ้นยืนแล้วถามด้วยความสับสน ในขณะที่จ้องจดหมายในมือของเจียงเหมี่ยวอวี๋
เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยรอยยิ้มซุกซน “มันคือจดหมายรัก… ฉันกำลังสงสัยว่านายจะกล้ารับไว้ไหม?”
แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ฟางชิวก็ยังรู้สึกว่าใจตัวเองกำลังเต้นแรงแม้ว่าภายนอกของเขาจะยังคงสงบนิ่ง
“โอ้…”
เมื่อแน่ใจว่าเป็นจดหมายรัก ผู้คนโดยรอบก็เริ่มเอะอะกันอีกครั้ง โดยเฉพาะสามรูมเมตของฟางชิว
“ของใคร?”
ฟางชิวมองเจียงเหมี่ยวอวี๋แล้วถามเธอกลับด้วยเสียงเรียบ ๆ
“ของฉันไง!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับด้วยสายตาหยอกล้อ
“เอาคืนไปเถอะ ฉันรับไว้ไม่ได้”
ฟางชิวตอบเธออย่างสุภาพ
“ฮ่า ๆ ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ!” เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดพร้อมรอยยิ้ม “นี่มาจากเพื่อนร่วมห้องของฉัน ขอให้ฉันเอามาให้นาย”
หลังจากพูดอย่างนี้ เธอก็มองมาที่ฟางชิวแล้วถามกลับ “แล้วสรุปจะรับมันไว้ไหม?”
เมื่อหนุ่ม ๆ ได้ยินว่าจดหมายรักนั้นมาจากเพื่อนร่วมห้องของเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกัน เสียงเอะอะก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนพากันมองไปที่ฟางชิวเพื่อดูว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร
“จะรับหรือไม่งั้นเหรอ?”
ฟางชิวยังคงรู้สึกไม่แน่ใจ
“รับไว้คงไม่เหมาะ”
“จะไม่รับไว้เหรอ? ใจร้ายมากเลย!”
ในเวลานั้นเอง ก็มีนักศึกษาสวมแว่นกันแดด ในมือถือขวดน้ำแร่ เดินผ่านกลุ่มนักเรียนห้องสามไป
เวลาสำคัญขนาดนี้มีคนขัดจังหวะซะได้!
นักศึกษาห้องสามทั้งหมดต่างมองนายคนนี้ทันทีด้วยแววตาเย็นชา เพราะโกรธที่มาขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญนี้
นายคนนี้ก็มองมาที่นักเรียนห้องสามกลับด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นฟางชิวท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาห้องสาม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นทะมึนตึงทันที
คนมาใหม่ก้าวไปทางฟางชิวทีละสองสามก้าวช้า ๆ
ฟางชิวมองคนมาใหม่ด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าจะสวมแว่นกันแดด แต่ฟางชิวก็จำอีกฝ่ายได้
นี่มันไอ้คนรวยรุ่นสองที่ลงจากรถหรูวันที่ฝนตกนี่นา
ตอนนี้สีหน้าของเจ้าคนรวยรุ่นสองลังเลเป็นอย่างมาก
‘ฉันต้องพูดว่า ‘สวัสดี’ ด้วยไหม?’
ถังเฮิงหรือคนรวยรุ่นสองคิดในใจพลางนึกถึงคำเตือนของพ่อตัวเองหลังจากเกิดเรื่อง พ่อบอกไว้ว่าจะเป็นการดีกว่ามาก หากเลือกจะผูกมิตรกับคนตรงหน้า
‘หลังปะทะกับรอบนั้น ไม่ทักคงไม่ดี’
เขาสงสัยฟางชิวหลายอย่าง
ฟางชิวไม่ได้ยกมือขึ้นแต่อย่างใด แต่ผู้คุ้มกันทั้งสองของพ่อก็ยังกลัว!
เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่ผู้คุ้มกันพูดเมื่อวันก่อน ๆ โน้นว่าชายคนนี้มันไม่ธรรมดา เขาก็ต้องเป็นกังวลใจอีกครั้ง
จู่ ๆ เขาก็เกิดความลังเล หยุดฝีเท้าลง ไม่แน่ใจขึ้นมาว่าควรไปเอาเรื่องอีกฝ่ายดีหรือไม่?
หลังมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันเดินไปยังบริเวณที่นักศึกษาห้องสามยืนออกันอยู่
เหล่านักศึกษาห้องสามก็พากันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจียงเหมี่ยวอวี๋เองก็จ้องถังเฮิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
เมื่อมาถึงตัวทั้งสอง ทันทีที่พบกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ ถังเฮิงก็ถึงกับชะงักกับความงามของเธอจนพูดไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามสลัดความสนใจในตัวเธอออกไป เขาไม่ลืมชายผู้น่าเกรงขามที่ตนมีธุระด้วย
อีกอย่าง เทพธิดาคนงามเหมือนจะส่งอะไรให้ไอ้ปีศาจตัวนี้ซะด้วย
บอกเป็นนัย ๆ ได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ธรรมดาแน่ ๆ!
‘พวกเขาเป็นแฟนกันเหรอ?’
ภายใต้แววตาประหลาดใจของฟางชิว ถังเฮิงก็เดินมาหาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “พี่ชาย… ดื่มน้ำหน่อยไหม?”
ฟางชิวชะงัก
‘นี่เราห่างเหินกันขนาดนั้นเลยเหรอ?’
ถังเฮิงเลื่อนสายตาไปที่เจียงเหมี่ยวอวี๋ จากนั้นก็เริ่มยั่วยุฟางชิว แต่ดูเหมือนเขาจะเล่นผิดคนแล้ว เขาพูดว่า “ส่วนนี่ก็คงเป็นพี่สะใภ้ผมใช่ไหม? พี่สะใภ้ครับ ดื่มน้ำหน่อยไหม?”
นักเรียนห้องสามต่างพากันตกใจ
“เฮ้ย น้องชายฟางชิวมันปัญญาอ่อนหรือเปล่าวะ!”
“สมองคงไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันหรือเปล่า?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ยังคงมองคนรวยรุ่นสองด้วยสายตาอันว่างเปล่า เธอไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘พี่สะใภ้’ ที่พูดกับเธอเลย
เจ้าคนรวยรุ่นสองทำให้ฟางชิวรู้สึกขบขันและเซ็งสุดขีด เพื่อที่จะหลบและปลีกตัวจากสถานการณ์แบบนี้ ชายหนุ่มจึงรับขวดน้ำแร่ทั้งสองขวดมาจากมืออีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ”
“ตามสบายน่าพี่ชาย… ฉันชื่อถังเฮิง คราวหน้าถ้ามีโอกาส ผมจะเชิญพี่ชายกับพี่สะใภ้ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อ แต่ตอนนี้… ผมต้องขอตัวก่อน!”
เมื่อเห็นว่าฟางชิวรับน้ำแร่จากมือตนแล้ว ถังเฮิงก็จากไปอย่างอารมณ์ดี
“ในเมื่อยอมรับน้ำแร่ไป ก็หมายความว่าเขาไม่ได้ถือสากับเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจเมื่อตอนนั้นแล้วสินะ”
ถังเฮิงมีความสุขจากไปแล้ว แต่ด้านฟางชิวและเจียงเหมี่ยวอวี๋กลับเหลือแต่ความกระอักกระอ่วน
อีกคนมองที่ขวดน้ำ อีกคนก็มองที่จดหมาย เขามองเธอ เธอมองเขา
ในที่สุดฟางชิวก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ส่วนเรื่องจดหมายนี่ ฝากขอบคุณเพื่อนเธอด้วยนะ แต่ฉันรับไว้ไม่ได้จริง ๆ”
“ถ้านายได้เห็นภาพแล้วอ่านจดหมายของเพื่อนฉัน นายจะต้องเสียใจ เธอเป็นสาวสวยเชียวนะ!” เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดยิ้ม ๆ
“เพื่อนเธอสวยเท่าเธอเลยเหรอ?”
ฟางชิวพูดติดตลกพลางยิ้มตอบ
“น่ารักกว่าฉันอีก”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ตอบกลับเช่นกัน
“งั้นฉันก็ยิ่งรับไว้ไม่ได้แน่นอน ไม่งั้นฉันจะกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ของผู้ชายทุกคนที่นี่” ฟางชิวก็ยังตอบกลับพร้อมกับยิ้มเบา ๆ
“นายกลัวเกินไปหรือเปล่า?” เจียงเหมี่ยวอวี๋บ่น จากนั้นก็มองเข้าไปที่ดวงตาของเขาแล้วพูดว่า “จะไม่รับจดหมายนี้แน่นะ?”
ฟางชิวพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“ดี! จะต้องมีใครสักคนเสียใจแน่” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถอนหายใจ ก่อนจะถือจดหมายจากไป
หนุ่ม ๆ ในชั้นเรียนต่างมองหน้ากันด้วยความเหวอสุดขีดหลังเห็นฟางชิวปฏิเสธจดหมายรักนี้
มีคนให้จดหมายรัก แต่ดันไม่รับ!
แล้วยังมาจากสาวสวยดาวมหาวิทยาลัยด้วย!
พวกเขาซะอีก แม้จะอยากได้จดหมายรักเพียงใด ก็ไม่เคยได้สักที!
ส่วนพวกสาว ๆ ในห้องสามต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังสถานการณ์กลับมาปกติ เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็กล่าวลา ฟางชิวยื่นขวดน้ำขวดหนึ่งที่ได้รับมาจากถังเฮิงส่งให้เธอ “นี่ให้เธอ รับไปสิ”
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองน้ำแร่ในมือฟางชิว ไม่รู้ว่าควรจะรับดีหรือไม่?
เพราะนี่มันสำหรับ ‘พี่สะใภ้’ แต่เธอไม่ใช่นี่นา
ถ้าเธอรับมัน นี่มันจะหมายความว่าเธอยอมให้อีกฝ่ายหรือเปล่า?
เจียงเหมี่ยวอวี๋คิดอะไรไม่ออกเลยจริง ๆ
ทันใดนั้น จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เลยพูดกับเขาว่า “งั้นนายเอาจดหมายนี้ไป ฉันรับน้ำนี้มา ยื่นหมูยื่นแมวกัน”
“โห่…”
มีเสียงร้องโห่ดังลั่นกลุ่มชั้นเรียน
“ดูซิว่าคราวนี้นายจะทำยังไง? จะรับมันไว้ไหม?”