บทที่ 13 การประลองต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
บทที่ 13 การประลองต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
ภายใต้สายตาของทุกคนที่อยู่โดยรอบ ฟางชิวยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปรับจดหมายจากเจียงเหมี่ยวอวี๋แล้วพูดว่า “เอามาให้ฉันสิ!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ส่งจดหมายรักให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอย่างมีความสุข “แผนของฉันสำเร็จ”
จากนั้นเธอก็รับน้ำมาจากมืออีกข้างหนึ่งของฟางชิว “ขอบคุณสำหรับน้ำแร่นะ”
แต่จังหวะที่เธอกำลังจะหยิบขวดน้ำจากมืออีกฝ่าย เธอก็รู้สึกได้ว่าน้ำมันเย็นมาก หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดื่มน้ำเย็นจัดไม่ดีต่อร่างกายในฤดูร้อน เขาถึงมีคำกล่าวว่า กินแครอทในฤดูหนาว กินขิงในฤดูร้อนนั้นรักษาสมดุลภายในร่างกายไง การดื่มน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายเราเย็น นายไม่ควรดื่มน้ำขวดนี้นะ”
แต่ฟางชิวกลับยิ้มเย็นแฝงความลึกลับออกมา เขาพูดว่า “เอาน้ำให้ฉัน”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ส่งน้ำแร่คืนให้ฟางชิวอย่างงุนงง
‘หรือตานี่จะโกรธเพราะคำพูดห่วงใยจากเราไม่กี่คำ?’
ฟางชิวรับน้ำมาจากมือเธอ จากนั้นก็กำขวดน้ำ หลับตาลง ภายในร่างกายของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยพลังปราณ และพลังก็กำลังไหลเวียนเข้าสู่ฝ่ามือ
พลังงานปราณกำลังก่อตัวรวมกันที่ฝ่ามือของฟางชิว จากนั้นน้ำในขวดก็ค่อย ๆ ร้อนขึ้นและร้อนขึ้น
นี่มันคือการต้มน้ำแร่กันโต้ง ๆ เลย!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ความเย็นจากขวดน้ำแร่ก็ถูกดูดซึมเข้าไปในมือของฟางชิวเช่นกัน
สิบวินาทีต่อมา ฟางชิวก็ส่งน้ำแร่คืนให้เจียงเหมี่ยวอวี๋อีกครั้ง เขาพูดสั้น ๆ ว่า “เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“เรียบร้อยแล้ว?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองฟางชิวด้วยความสับสน
เมื่อเธอรับน้ำแร่มาจากมือของชายหนุ่ม เธอก็ต้องตกใจ ใบหน้าสวยผุดร่องรอยประหลาดใจออกมาให้เห็น
“มันไม่เย็นแล้ว”
“แถมยังอุ่นอีก…”
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ขวดน้ำแร่เย็นมาก แต่ตอนนี้มันไม่เย็นอีกแล้ว…
“นาย…”
เธอหันไปมองฟางชิวอีกครั้งด้วยความตกใจสุดขีด
ในเวลานั้นเอง เสียงนกหวีดก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพักเบรกแล้ว และจะเริ่มการฝึกทหารภาคสนามต่อไป
ฟางชิวขยิบตาให้เจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างน่าสงสัย
เรียกการรวมพลแล้ว เจียงเหมี่ยวอวี๋จึงทำได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้แล้วพูดว่า “ขอบคุณ”
หญิงสาวถือขวดน้ำแล้วกำลังจะกลับไปยังห้องของเธอ
ในขณะที่เธอหันตัวกลับก็มีจดหมายสีขาวเล็ดลอดเข้ามาในกระเป๋า
ฟางชิวเดินกลับไปที่ชั้นเรียนของเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การฝึกทหารภาคสนามยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อคนอื่น ๆ ทนแดดร้อนไม่ค่อยไหว ฟางชิวจึงแอบถ่ายเทไอเย็นออกมาจากมือ เป็นเหมือนกับเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กเลยก็ว่าได้
อุณหภูมิรอบ ๆ ตัวชายหนุ่มค่อย ๆ ลดลง
นักศึกษาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจ “อากาศเย็น ๆ นี่มันมาจากไหนกันน่ะ?”
พวกเขาสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบสถานที่หรือตัวการที่ทำให้อากาศโดยรอบเย็นลง
กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกดีมาก
ชั่วโมงต่อมา เวลาพักเบรกก็มาถึงอีกครั้ง
รูมเมตทั้งสามของฟางชิวไม่ให้โอกาสชายหนุ่มในการหลบหน้าหรือปลีกตัวไปไหนเลยแม้แต่น้อย
ซุนฮ่าวพูดติดตลกแล้วปลุกเร้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง “จดหมายนั่นอยู่ไหนล่ะ? จดหมายของเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋อยู่ไหน? รีบเปิดมันดูเร็วเข้า!”
จูเปิ่นเจิ้งและโจวเสี่ยวเทียนก็มีท่าทีอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
ฟางชิวมองรูมเมตทั้งสามคนแล้วพูดว่า “ฉันเปิดจดหมายนี่ไม่ได้หรอก ถึงจะตรงนี้ก็เถอะ การปฏิเสธหญิงสาวหลังจากที่เปิดอ่านจดหมายมันจะยิ่งทำลายความมั่นใจของเธอมากกว่าเก่านะ”
“งั้นนายก็ยอมรับเธอซะสิ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” โจวเสี่ยวเทียนพูด
“เจ้าห้า นายกลัวว่าเจ้าของจดหมายเป็นสาวขี้เหร่สินะ แต่ไม่ต้องห่วงไป ผู้หญิงที่ให้เทพธิดาเจียงเป็นคนส่งจดหมายมาให้เองแบบนี้ก็ต้องสวยเหมือนกันล่ะน่า…”
ถึงแม้ว่าจูเปิ่นเจิ้งจะไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก แต่ทุกครั้งที่เขาพูด คำพูดของเขานับว่าจี้จุดมาก!
ฟางชิวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้ายิ่งเป็นคนสวย ฉันยิ่งเปิดจดหมายนั่นไม่ได้เลย พวกเราจะยังมีโอกาสเป็นเพื่อนกันถ้าหากจดหมายไม่ถูกเปิด แต่หากเปิดมันละก็… พวกเราอาจกลายเป็นศัตรูกันได้”
“เป็นเพื่อนกัน? เฮ้ ๆ” ซุนฮ่าวพูด รอยยิ้มชั่วร้ายประดับอยู่บนใบหน้า
“คิดจะลีลาหรือไง?”
“แต่ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วนะว่าเจ้าห้ามีเสน่ห์มากขนาดไหน หวังว่าสาว ๆ ที่เข้าหาเจ้าห้าจะมาจอยกับพวกเราตอนหลังนะ!”
ฟางชิวไม่ได้บอกพวกเขาว่าตัวเองได้ส่งจดหมายคืนให้เธอแล้ว เพราะเขาไม่รู้ว่าจะอธิบายการกระทำของตัวเองอย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้รูมเมตทั้งสามคิดว่าเขายอมรับจดหมาย
หลังจากหมดช่วงพักเบรก ชั่วโมงการฝึกทหารภาคสนามก็ได้เริ่มขึ้นต่อไป จนในที่สุดการฝึกทหารของวันนี้ก็เสร็จสิ้น
เมื่อการฝึกเสร็จสิ้นลงแล้ว ทุก ๆ คนก็รีบไปที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยทันที ไม่ใช่เพราะอาหารในโรงอาหารแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาอยากจะรีบทานอาหารให้เสร็จโดยเร็วและจองที่นั่งดูการประลอง
ใช่… คืนนี้จะมีการประลองนั่นเอง!
พวกเขาจะพลาดเรื่องนี้ได้อย่างไร?!
จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยจะออกมาหยุดหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุการณ์นี้ยังคงถูกวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ไม่ควรพลาดการประลองครั้งนี้อย่างยิ่ง!
“เจ้าห้า นายจะไปดูการต่อสู้คืนนี้ไหม?”
ระหว่างมื้อเย็น จูเปิ่นเจิ้งก็ถามฟางชิว
“นายจะไปไหมล่ะ?” ฟางชิวถามกลับ
รูมเมตทั้งสามพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้น
โจวเสี่ยวเทียนพูด “พวกเราจะพลาดเรื่องสนุก ๆ แบบนี้ได้ยังไง เฉินชงเองก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกับเราจริงไหม? พวกเราต้องไปเชียร์เขาสิ!”
เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสามจะไป ฟางชิวก็เปลี่ยนใจแล้วพูดว่า “ฉันไม่ไปหรอก ฉันจะกลับไปที่ห้องเรียนแล้วอ่านหนังสือ”
รูมเมตทั้งสามยกนิ้วให้ฟางชิว
“ทวนหนังสือในเวลานี้เหรอฟะ? สมกับเป็นเด็กเกรดเอ!”
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่ฟางชิวถามเป็นเพราะต้องการรู้ว่าทั้งสามวางแผนจะทำอะไรในคืนนี้ เพื่อป้องกันกรณีที่อาจมีคนสังเกตว่าตนหายไปช่วงหนึ่ง
ฟางชิวพร้อมรับคำท้าประลองในคืนนี้แล้ว!
แต่ชายหนุ่มต้องปลอมตัว เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ตัวจริงของเขา
แต่นั่นแหละ ฟางชิวกังวลนิด ๆ เรื่องการปลอมตัว
ถ้าขืนใส่เสื้อผ้าของตัวเอง รูมเมตตัวแสบทั้งสามต้องรู้แน่ ๆ ว่าเป็นเขา!
แต่ถ้าไม่สวมเสื้อผ้าของตัวเอง เขาก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่… เอาอย่างไรดี?!
ฟางชิวเองยังหาซื้อเสื้อผ้าตอนนี้ไม่ได้ เพราะบรรดานักศึกษาจะสามารถไปที่ร้านเสื้อผ้าแล้วถามว่าใครเป็นคนซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวกับเขาเอาได้
หลังทานมื้อเย็นเสร็จ รูมเมตทั้งสามก็ไปที่สนาม ส่วนฟางชิวก็นั่งอยู่บนเตียงคนเดียวในหอพัก ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อไปดี
ในที่สุด ฟางชิวก็ตัดสินใจสวมชุดเครื่องแบบทหาร!
นักศึกษาน้องใหม่ทุกคนต่างมีชุดเครื่องแบบทหารของตัวเอง ถ้ามีคนเห็นเข้าก็จะรู้แค่ว่าเป็นน้องใหม่ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร นอกจากนี้ ชุดฝึกภาคสนามยังมีหมวกปิดผมด้วย
แล้วเขาก็สวมหน้ากากของตนที่ไม่เคยใส่มาก่อน ไม่มีใครรู้แน่ ๆ ว่าเป็นเขา นี่สิเพอร์เฟกต์!
แก้ไขปัญหาได้แล้ว!
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม พื้นที่ตรงสนามซึ่งเป็นที่เดิมกับที่ใช้จัดปาร์ตี้ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะของเหล่าผู้ชมที่มารอเฝ้าดูการประลอง
เฉินชงยืนอยู่บนเวที ตำแหน่งเดียวกับที่ตัวเขายืนเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มกอดอก หลับตา รอคู่ต่อสู้ของตัวเองมาถึง
เขาขึ้นเวทีเวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบนาที
ตอนนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที
“ฟางชิว ฉันหวังว่านายจะมาได้นะ”
อาจารย์ประจำห้องสามอย่างหลิวเฟยเฟยก็ยืนอยู่นอกเวที ในมือถือแท่งไฟเชียร์เฉินชง
หลิวเฟยเฟยมองซ้ายมองขวาไม่พบฟางชิว เธอจึงหันไปหาซุนฮ่าวแล้วถามขึ้น “ฟางชิวล่ะ? ทำไมเขาถึงไม่มา?
“เขาไปอ่านหนังสือน่ะ แหม อาจารย์สุดสวยคร้าบ ไม่ตื่นเต้นเหรอที่นักศึกษาขยันเรียนขนาดนี้?” ซุนฮ่าวตอบเสียงทะเล้น
หลิวเฟยเฟยตบไหล่ของซุนฮ่าวแล้วพูดอย่างห้าวหาญ “เชียร์ให้เต็มที่กันเถอะ!”
“โอเค๊!” ซุนฮ่าวพยักหน้า
เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ หลิวเฟยเฟยรู้สึกกดดันตัวเองเป็นอย่างมาก นักศึกษาในชั้นเรียนของเธอส่งสาส์นท้าประลองต่อสู้ในที่สาธารณะตั้งแต่เปิดเทอมแรกได้อย่างไร? ถ้านี่ไม่ได้รับการอนุมัติจากอธิการบดีที่ชมการแสดงเมื่อคืนนี้ บางทีเธอก็อาจไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้
ส่วนเฉินชงนั้น ในฐานะที่เขาเป็นนักศึกษาในชั้นเรียนของเธอ เขากำลังทำในสิ่งที่เจ๋งมาก ๆ! เธอเลยเชียร์เขาอย่างเต็มที่
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ เหล่าผู้ชมนอกเวทีก็เริ่มมากขึ้น เสียงเอะอะเริ่มดังกว่าเก่า
“ไม่แน่ใจนะว่าปรมาจารย์ที่เฉินชงท้าเมื่อคืนนี้จะมาไหม ถ้าเขาไม่มา มันจะไม่เท่ากับว่าพวกเราเสียเที่ยวเลยเหรอ?”
“เฮ้ ๆๆ มาเถอะ พวกเราจะได้มีการต่อสู้สนุก ๆ ดูกัน!”
“พวกคนจากชมรมศิลปะการต่อสู้จะขึ้นต่อสู้บนเวทีเปล่า?”
“พวกชมรมศิลปะการต่อสู้มีแต่พวกมือสมัครเล่น ส่วนใหญ่เพิ่งมาฝึกเอาตอนเข้ามหาวิทยาลัยทั้งนั้น แต่เฉินชงเป็นมืออาชีพ ใครจะไปกล้าท้าล่ะ?”
“เขาจัดเป็นนักศึกษามากพรสวรรค์ในหมู่น้องใหม่เลย บางทีวันนี้เขาอาจจะกลายเป็นดาวเด่นเลยก็ได้!”
ในขณะที่ทุก ๆ คนกำลังคุยกัน หลี่ชิงสือและคนอื่น ๆ จากสมาคมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนก็มาด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นประธานสมาคมนักศึกษา เขาจะไม่อาจแก้ตัวอะไรได้หากตัวเองไม่มา
แต่ตัวหลี่ชิงสือนั้นกลับอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร มันไม่ใช่อะไรหรอก แต่เป็นเพราะมีคนบอกว่าเทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋ของเขานั้นไปหาฟางชิวเมื่อตอนบ่ายเพื่อมอบจดหมายรัก!
จดหมายรัก!
เพียงไม่กี่คำก็เหมือนมีหนามที่ทิ่มแทงใจเขาแล้ว!
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธอส่งจดหมายรักแทนคนอื่น แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อยู่ดี!
หลี่ชิงสือรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทำให้งุนงงจนกลายเป็นไอ้งั่ง อย่างไรเสียผู้ชายทุกคนที่อยู่รอบตัวเจียงเหมี่ยวอวี๋ล้วนเป็นศัตรูกับเขา ตอนนี้… ไอ้ฟางชิวนั่นเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่ง!
แต่ขอเอาเรื่องของฟางชิวไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้หลี่ชิงสือกำลังสนใจเรื่องการประลองต่อสู้ เขากำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน
หลิวเฟยเฟยสังเกตเห็นหลี่ชิงสือและนักศึกษาจากสมาคมนักศึกษาพยักหน้าให้กันและกัน จากนั้นก็เริ่มจับตาดูพื้นที่เอะอะโดยรอบเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
เวลาผ่านไปแล้วสิบนาที
สุดท้ายก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมา แต่กลุ่มคนจากชมรมศิลปะการต่อสู้นั้นมากันแล้ว บริเวณโดยรอบจึงเริ่มเกิดความโกลาหลขึ้น
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคนจากชมรมศิลปะการต่อสู้จะไม่ขึ้นเวทีประลองกับเฉินชง แค่ต้องการมาดูเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผู้ชมอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจมาก
“ให้ตายเหอะ! พวกนายมาทั้งทีก็ขึ้นเวทีสิ ถ้าพวกนายทั้งชมรมแน่จริง แล้วจะกลัวอะไรกันวะ?”
“กล้าพูดได้ยังไงว่าตัวเองรู้วิชากังฟูน่ะ?”
เหล่าผู้ชมที่กำลังมองหาความสนุกและความมันส์ไม่สนใจว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นเรื่องจริงจังหรือไม่ หรือจะสร้างปัญหาอะไร
“ขึ้นเวที!”
“ขึ้นเวที!”
“ขึ้นเวทีสักที!”
เหล่าผู้ชมต่างพากันร้องตะโกนพร้อมกัน
เหล่าคนจากชมรมศิลปะการต่อสู้ดูเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเสียงโห่รอบตัว
การขึ้นไปบนเวทีในเวลานี้นั้นมันไม่เหมาะสมอย่างมาก แต่หากไม่ขึ้นไปบนเวที วันนี้พวกเขาทั้งชมรมต้องเสียหน้าแน่ ๆ
“ท่านประธานครับ ให้ผมขึ้นไปนะ”
นักศึกษาผิวเข้มคนหนึ่งพูดกับประธานชมรมอาสาขึ้นเวที
เหรินหลงหยาง ประธานชมรมศิลปะการต่อสู้พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ระวังตัวด้วย อย่าให้เจ็บตัวล่ะ”
เขารู้จักสมาชิกคนนี้ดี หวังคังฝึกศิลปะการต่อสู้มานานหลายปีตั้งแต่เขายังเด็ก อีกทั้งยังฝึกฝนวิชามวยซ่านโฉ่ว*[1] ด้วย คนธรรมดาไม่สามารถเอาชนะหวังคังได้ ทว่าจากที่เห็นความสามารถของฝ่ายตรงข้ามเมื่อวานนี้ เขาไม่มั่นใจเหมือนกันว่าสมาชิกคนนี้จะสามารถสู้กับเฉินชงได้
เฉินชงได้แสดงให้เห็นถึงท่วงท่าการต่อสู้ที่ยากและดูร้ายกาจกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้
เมื่อได้รับอนุญาตจากประธานชมรมแล้ว หวังคังก็ขึ้นไปบนเวทีทันที
เมื่อทุกคนเห็นว่ามีคนขึ้นไปบนเวทีก็ร้องเชียร์ออกมา
“ต้องอย่างนี้สิ!”
เฉินชงลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วก็เห็นชายที่เขาไม่รู้จัก ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ฝีเท้านายเบามาก แต่นายไม่ใช่คู่แข่งของฉัน ออกไปได้แล้ว!”
เฉินชงพูดจบ เหล่าบรรดาผู้ชมก็พากันเงียบสนิท
“พระเจ้า! ยังไม่ทันเริ่มสู้เลย เขารู้ได้ยังไงว่าเขาเอาชนะหวังคังได้?!”
“เก่งเกินไปหรือแค่มั่นหน้าเกินไปกัน?”
หวังคังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำดูหมิ่นจากอีกฝ่าย เขาไม่เคยกลัวใครในการต่อสู้เลยสักครั้ง
“ก็แค่มาสู้กัน มาดูซิว่าวันนี้นายเจ๋งแค่ไหน?!”
“ถ้าจะเอาแบบนี้ละก็… มาเลย!”
เฉินชงไม่พูดพล่ามอะไรไร้สาระ เขาลดแขนตัวเองลงแล้วยืนด้วยท่าทางแบบนักสู้มืออาชีพ
“โปรดชี้แนะด้วย!”
หวังคังกำหมัด เอนตัวไปข้างหน้า มือกำหมัดแน่นก่อนจะเริ่มขยับเท้า
“มวยซ่านโฉ่วเหรอ? ชี้แนะด้วย!”
เฉินชงกำหมัดซ้ายเอาไว้ ตั้งท่ายื่นมือขวาออกไป
ผู้ชมนอกเวทีพากันตื่นเต้นทันที พวกเขารอการประลองต่อสู้มาตั้งนาน ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มขึ้นเสียที
“ใครจะชนะกัน?”
[1] ซ่านโฉ่ว เป็นรูปแบบศิลปะการป้องกันตัวและกีฬามวยใช้เท้าอย่างหนึ่งของจีน ซึ่งถูกพัฒนาโดยทหารซึ่งมีพื้นฐานการศึกษาและปฏิบัติจากกังฟูรวมถึงเทคนิคการต่อสู้ป้องกันตัวสมัยใหม่ มีทั้งการต่อยและเตะระยะประชิดของกีฬาคิกบ็อกซิ่งกับมวยปล้ำ จับทุ่ม โยน เตะกวาด จับลูกเตะ และในบางการแข่งขันยังมีการใช้ศอกและเข่าอีกด้วย