บทที่ 17 วิสัยทัศน์อันเฉียบแหลม!
บทที่ 17 วิสัยทัศน์อันเฉียบแหลม!
“พิธีเปิดภาคเรียนเหรอ?”
“แล้วยังได้แสดงร่วมกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ด้วย?”
ฟางชิวยิ้ม จากนั้นก็ถามอีกฝ่าย “มีเวลาให้พวกผมได้ซ้อมเท่าไหร่ครับ?”
ดวงตาของหลิวเฟยเฟยเบิกกว้างเหมือนกับตอนที่พบฟางชิวเป็นครั้งแรก เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เหมือนฉันคงจะต้องมองเธอใหม่นะ ได้แสดงร่วมกับดาวมหาวิทยาลัยทั้งทีแต่ทำเหมือนไม่อยาก?”
“อืม… ก็ผมอยากจะมุ่งเน้นกับการเรียนนี่” ฟางชิวพูดอย่างเบื่อ ๆ
“เด็กดี!”
หลิวเฟยเฟยตบไหล่ของฟางชิวพร้อมกับท่าทางที่ดูอย่างไรก็รู้ว่าแสร้งทำเป็นจริงจัง “จะมีการซ้อมทั้งหมดสองครั้ง แต่ในวันสุดท้ายของการซ้อม พวกเราจะไปดูการแสดงทั้งหมดซึ่งจะใช้เวลาตลอดช่วงบ่าย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความร่วมมือกันระหว่างเธอกับเจียงเหมี่ยวอวี๋แล้วล่ะนะ”
“การแสดงร่วมกันกับเจียงเหมี่ยวอวี๋นับว่าไร้ที่ติมาก ฉันเลยคิดว่าไม่น่ามีปัญหาถ้าเธอสองคนร่วมกันแสดง”
“เพื่อไม่ให้ขาดช่วง อีกทั้งเธอกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มีเวลาเหลือน้อย ฉะนั้นประเด็นสำคัญก็คือ เพลงที่พวกเธอจะเลือกเล่นน่ะ ถ้าเป็นเพลงรักเลิกคิดไปได้เลย เธอจะต้องเลือกเพลงอื่นทำให้คนดูคึกคัก”
หลังบอกไปว่ามีเวลาเหลืออยู่นิดเดียว หลิวเฟยเฟยก็มองชายหนุ่มด้วยความหวัง กระนั้นฟางชิวก็ตอบตกลงในเวลาต่อมา
“โอเค!”
“สู้เขาเจ้าหนู! จะมีกี่คนกันที่ได้โอกาสแสดงร่วมกับดาวมหาวิทยาลัยแบบนี้! เธอสองคนนัดกันฝึกซ้อมนะ ที่เหลือเป็นเรื่องของพวกเธอแล้ว สู้เขาล่ะ!”
หลิวเฟยเฟยตบไหล่ฟางชิวอีกครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าเอาแต่จมอยู่กับตำรามากเกินไป ถ้าอยากจะสนุกกับชีวิตวัยรุ่น เธอก็ควรมีประสบการณ์เรื่องรักโรแมนติก ๆ ด้วย…”
หลังจากพูดจบ เธอก็ขยิบตาให้ฟางชิวก่อนจะเดินจากไป
หลังจากมองแผ่นหลังของอาจารย์สาวจากไปจนพ้นรัศมีสายตา ฟางชิวก็นึกได้ว่าต้องไปขอช่องทางติดต่อกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ แต่เสียงนกหวีดเรียกรวมพลจากครูฝึกทหารก็ดังขึ้นซะก่อน
“คงต้องหาวิธีอื่นติดต่อเธอ” ฟางชิวคิดในขณะที่ตัวเองวิ่งเหยาะ ๆ ไปเข้าแถว
ในช่วงเช้า การฝึกทหารภาคสนามยังคงดำเนินต่อไป
ในระหว่างการฝึก เฉินชงไม่ได้สนใจฟางชิวมานัก เขามุ่งเน้นไปที่การฝึกซ้อมกับทีมของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเห็นแบบนี้ ฟางชิวก็ยิ้มออกมา
“เฉินชงคงไม่รู้ว่าฉันคือชายลึกลับที่เขาตามหา เขาคงคิดว่าเป็นคนอื่นนั่นแหละ ดีแล้ว เขาจะได้หยุดสงสัยฉันสักที”
“ดีชะมัด”
เวลามักผ่านไปช้าเสมอระหว่างการฝึกทหาร ในที่สุดก็ได้เวลาพัก
ทุกคนในห้องสามพากันนั่งลงอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
ในระหว่างช่วงพัก เหล่าครูฝึกสอนก็จากไปกันหมด แต่ในเวลาอันสั้นนั้น ครูฝึกก็เดินนำนายทหารหนุ่มคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มมาทางพวกเขา
จากนั้นครูฝึกก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบริเวณที่ห้องสามพักอยู่ ก่อนจะตะโกน “เฉินชง ก้าวขึ้นมาข้างหน้า!”
เฉินชงลุกขึ้นทันทีแล้วก้าวมาหาครูฝึก
ทุก ๆ คนในห้องสามต่างพากันมองมาทางเฉินชงและครูฝึกอย่างงุนงง
มีแต่ฟางชิวที่มองไปยังนายทหารหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่แล้วยิ้ม
‘เขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์!’
‘พลังที่ฉันรู้สึกได้ในป่าของภูเขาเหยาหวังเมื่อตอนตีสามก็น่าจะมาจากเขานี่แหละ’
‘ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นนายทหาร’
‘เขาคงมาที่นี่เพื่อขอให้ทำอะไรสักอย่าง’
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฟางชิวกำลังคิดในใจ
นายทหารหนุ่มจับมือกับเฉินชง ทั้งสองพูดคุยกันเพียงสองสามคำ ไม่มีใครรู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่สีหน้าของเฉินชงที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้กลายเป็นเคร่งขรึมแทน
ไม่นานทั้งสองก็จับมือกันอีกครั้ง จากนั้นนายทหารคนนั้นก็เดินจากไป ส่วนเฉินชงก็เดินกลับมา
“ครูฝึกเรียกนายไปทำไมน่ะ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งในห้องสามถามเฉินชง
เฉินชงส่ายหัว ก่อนจะลดคางลงแล้วทำท่าครุ่นคิด
เมื่อเห็นดังนั้น คนอื่น ๆ ก็ได้แต่ระงับความสงสัยแล้วไม่ถามอะไรอีก
ฟางชิวไม่สนใจในสิ่งที่นายทหารหนุ่มพูดกับเฉินชง เขาจึงไม่ได้แอบฟังแต่อย่างใด
ชายหนุ่มมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือการเรียนและฝึกฝนทักษะการแพทย์ ไม่มีอะไรจะมาขวางทางเขา นอกจากนั้นฟางชิวก็ไม่สนใจอะไรอีก!
ต่อมาช่วงพักเบรกก็หมดลง การฝึกทหารภาคสนามก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
สองชั่วโมงต่อมา การฝึกตอนเช้าก็จบลง เหล่าน้องใหม่ต่างพุ่งเข้าหาโรงอาหารราวกับเสือหิวที่ถูกปล่อยออกจากกรง
หลังการฝึกทหารภาคสนามที่แสนหนักหน่วงในตอนเช้า ทุก ๆ คนก็หิวข้าวกันทั้งนั้นแหละ!
ฟางชิวกำลังเดินไปที่โรงอาหารพร้อมกับจูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียน โดยระหว่างทางพวกเขาก็คุยกันไปด้วย
จากการเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ฟางชิวก็สังเกตเห็นสาวสวยอยู่ข้างหน้าพวกเขา
หลังจากคิดดูแล้ว ฟางชิวก็บอกให้รูมเมตทั้งสามไปกินข้าวกันก่อน ในขณะที่ตัวเขาวิ่งไปหาสาว ๆ กลุ่มนั้น
เมื่อเห็นฟางชิวก้าวมาหาพวกเธอ สาว ๆ ก็ชะงัก
ในกลุ่มเพื่อนทั้งหมดของพวกเธอ มีสาวหวานคนหนึ่งหน้าแดงด้วยความเขิน
สาว ๆ คนอื่นรอบตัวเธอก็มองไปที่เธอด้วยความสับสน
ฟางชิวมองไปที่สาวสวยคนนั้นแล้วพอจะเข้าใจบางอย่าง แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ชายหนุ่มเดินตรงไปหาเจียงเหมี่ยวอวี๋พลางพูดว่า “ขอโทษนะเจียงเหมี่ยวอวี๋ แต่ขอคุยอะไรสักหน่อยได้ไหม?”
“ห้ะ?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ไม่คิดมาก่อนว่าฟางชิวจะมาหาเธอ หญิงสาวหันไปมองเพื่อนเธออีกคนที่เป็นสาวหวานเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบตกลง “ได้สิ”
ท่ามกลางสายตาของสาว ๆ และนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่มองมายังพวกเขา ทั้งสองก็รีบไปที่สวนเล็ก ๆ ข้างถนน
ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้ เจียงเหมี่ยวอวี๋เปิดปากพูดก่อนที่ฟางชิวจะพูดความต้องการของตัวเอง “ฟางชิว นายมาที่นี่แล้วเรียกฉันมาเพราะจะคุยเรื่องการแสดงในพิธีเปิดภาคเรียนใช่ไหม?”
ฟางชิวพยักหน้า
“แล้ว… เพลงที่จะเล่นกัน นายได้เลือกไว้แล้วหรือยัง?” หญิงสาวถามเขาต่อ
เธอยอมรับความสามารถและพรสวรรค์ของอีกฝ่ายจากใจจริง เธอจึงค่อนข้างกระตือรือร้นที่จะอยากรู้ความคิดเห็นและไอเดียของชายที่ดูลึกลับตรงหน้า
แต่แล้ว… เธอก็ต้องผิดหวัง
ฟางชิวส่ายหัวแล้วพูด “ฉันไม่มีความเห็น เธออยากแสดงเพลงไหนฉันก็ได้ทั้งนั้น”
“แล้วถ้าฉันเลือกเพลงที่นายไม่เคยร้องมาก่อนล่ะ โอเคเหรอ?” เจียงเหมี่ยวอวี๋ถามต่อ
“แน่นอน”
ฟางชิวพยักหน้า
เจียงเหมี่ยวอวี๋ประหลาดใจ เขาจะร้องเพลงที่ไม่เคยได้ฝึกมาก่อนได้อย่างไร?
ความกล้าหาญของเขาเป็นพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่หรือแค่ประมาทไม่เข้าเรื่องกันแน่?
“งั้น… ฉันจะเป็นคนเลือกเพลงเอง เมื่อฉันตัดสินใจได้แล้ว ฉันจะคุยกับนายอีกที”
จากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็หยิบจดหมายขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง เธอระบายรอยยิ้มออกมา ดวงตามองไปที่ฟางชิวแล้วถามว่า “จะอธิบายเกี่ยวกับจดหมายนี้ยังไง ฟางชิว?”
เมื่อมองเห็นจดหมายในมือของเจียงเหมี่ยวอวี๋ ฟางชิวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันก็แค่เอามันกลับไปไว้ในที่ที่มันเคยอยู่”
“ฟางชิว นายไม่คิดว่าตัวเองจะไร้น้ำใจไปหน่อยเหรอ?”
ฟางชิวไม่ออกความเห็นอะไร
เจียงเหมี่ยวอวี๋ทำเพียงแค่ถอนหายใจ จากนั้นก็หยิบจดหมายขึ้นมาแล้วมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า
เธอทำเพียงมองเขาเงียบ ๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มตรึงใจ
นั่นทำฟางชิวรู้สึกอึดอัด
“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กัน?”
ทั้งสองต่างยืนอยู่ด้วยกันด้วยความเงียบเป็นเวลาครึ่งนาที
จากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ฟางชิว ไม่คิดจะถามเบอร์โทรศัพท์ฉันสักหน่อยเหรอ? ถ้าไม่ถาม พวกเราจะติดต่อกันเพื่อคุยเรื่องการแสดงยังไงล่ะ?”
“โอ้?!”
ฟางชิวเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองควรทำอะไร เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วกดเบอร์โทรของเจียงเหมี่ยวอวี๋
เจียงเหมี่ยวอวี๋บ่นในใจ
ดูเหมือนฟางชิวจะมีประสบการณ์เรื่องการคบหากับผู้หญิงน้อยมาก
ผู้ชายควรเป็นฝ่ายขอเบอร์โทรสาวไม่ใช่เหรอ? ทำไมมันกลับตรงข้ามกันแบบนี้?!
หลังจากแลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้ว ทั้งสองก็เดินกลับไปที่โรงอาหารขณะที่คุยกัน
นักศึกษาที่เดินผ่านไปมาทั้งหมดต่างมองทั้งสองด้วยความตกใจ
“เทพธิดาเจียงกำลังเดินอยู่กับผู้ชายเหรอ?”
“นี่มันช่างเป็นข่าวที่ชวนใจสลายเป็นที่สุด!”
“เทพธิดาเจียงของพวกเราตกหลุมรักใครเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
“แล้วผู้ชายที่เดินอยู่ข้าง ๆ เธอคือใครกันน่ะ? ถึงมันจะหล่อ แต่ก็ยังไม่คู่ควรกับเทพธิดาของพวกเราหรอก!”
หนุ่ม ๆ ทุกคนต่างพูดจามุ่งร้ายต่อฟางชิวเท่าที่พวกเขาจะสามารถคิดได้
ในใจของผู้ชายเหล่านี้ต่างพากันวิจารณ์ฟางชิวราวกับว่าชายหนุ่มที่เดินข้างเทพธิดาของพวกเขาไม่มีดีอะไรเลย
แต่อย่างไรก็ตาม คนทั้งสองก็ไม่สนใจสายตาที่มองมายังพวกเขา ทั้งสองแยกกันตรงประตูโรงอาหาร เจียงเหมี่ยวอวี๋เดินกลับไปหาเพื่อนร่วมห้องของเธอ ในขณะที่ฟางชิวก็ไปตามหารูมเมตทั้งสามของตัวเอง
ในที่สุดฟางชิวก็พบรูมเมตทั้งสามคน ซึ่งก็กำลังง่วนอยู่กับการกินจนไม่ได้จองที่นั่งเผื่อให้ฟางชิวเลย
“ไอ้พวกจอมเขมือบ!”
ฟางชิวตำหนิรูมเมตทั้งสามในใจ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าภายในโรงอาหารชั้นหนึ่งนั้นเต็มหมดแล้ว นักศึกษาหลายคนยืนรอคนอื่น ๆ กินข้าวเสร็จกว่าจะได้นั่งในที่ว่าง
ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงขึ้นไปบนชั้นสองที่จัดเตรียมอาหารพิเศษไว้อย่างช่วยไม่ได้
แต่เดิมฟางชิวเองมีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าสตางค์ไม่มากนัก ตอนนี้เขายังต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นอีก
เขามาตรงบริเวณที่ให้บริการและสั่งมันฝรั่งทอดที่ราคาถูกที่สุด
เมื่อเห็นตัวเลขดิจิทัลในบัตรโรงอาหารของตัวเองลดลง ฟางชิวก็รู้สึกปวดร้าวใจ
ในความจริงนั้น ฟางชิวไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ด้วยซ้ำ เขารู้สึกไม่ดีเท่าไรที่จะใช้เงินของพ่อแม่ตัวเองในการเข้าเรียนที่นี่
ดังนั้นฟางชิวจึงพกเงินเอาไว้เพียงพอสำหรับใช้จ่ายแต่ละเดือนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ภายในไม่ถึงสิบวันนับตั้งแต่เปิดเทอมมา เขาก็ใช้เงินมากถึงสองในสามแล้ว!
“เงินมันจะหมดเร็วไปหน่อยมั้งเนี่ย!!”
“นอกจากเรียนรู้ทักษะการแพทย์แล้ว ฉันคงต้องหาลู่ทางหาเงินเพิ่มซะแล้วสินะ”
ชายหนุ่มคิดระหว่างกินมื้อกลางวันของตัวเองไปด้วย
หลังจากที่กินอาหารได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาแล้วตะโกนด้วยความดีใจและตกใจ “ลูกพี่นี่นา? อยู่นี่ด้วยเหรอ? ผมก็มานะ!”
ฟางชิวเงยหน้าขึ้นตามเสียง เจ้านี่คือถังเฮิง ไอ้คนรวยรุ่นที่สอง!
ถังเฮิงถือจานเนื้อแล้วมองมาทางเขาอย่างตกตะลึงระคนดีใจ
เจ้าคนรวยรุ่นที่สองมองจานอาหารตรงหน้าฟางชิวก่อนจะพยายามประจบอีกฝ่าย “ลูกพี่… ลูกพี่จะประหยัดเกินไปแล้ว!”
ความคิดของฟางชิวเปลี่ยนไปทันที
นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่อย่างประหยัด? ฉันถังแตกต่างหาก! ถ้าฉันมีเงิน คิดหรือไงว่าฉันจะกินแบบนี้?!
ฟางชิวคิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงกินมื้อกลางวันของตัวเองต่อ
แต่ถังเฮิงไม่สนใจท่าทางที่ดูเย็นชาของฟางชิว เขานั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ลูกพี่… พี่สะใภ้อยู่ไหนล่ะ?”
ฟังจากคำถามที่เจ้าคนรวยรุ่นที่สองถามมา ฟางชิวก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้หมอนี่กำลังจะแกล้งหรือทดสอบอะไรสักอย่างเขาแน่นอน!
เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ฟางชิวจึงตอบเพียงว่า “เธอไม่ใช่ทั้งแฟนฉัน แล้วก็ไม่ใช่พี่สะใภ้ของนายด้วย…”
“เร็ว ๆ นี้ หรือภายในอนาคตข้างหน้าเธอต้องได้เป็นแน่!”
ขณะที่ฟางชิวกำลังกินอยู่นั้น ถังเฮิงก็พูดแทรกพร้อมเสริมด้วยความมั่นใจ “จากที่สังเกต ในมหาวิทยาลัยนี้ พี่สะใภ้ของผมเป็นคนที่สวยที่สุดแล้ว ผมว่านะ มีแต่เธอนี่แหละที่คู่ควรกับลูกพี่…”
“ช่างมีวิสัยทัศน์เฉียบแหลม!”
ฟางชิวสลัดข้อสรุปก่อนหน้าของตัวเองทิ้งทันที เขาแน่ใจแล้วว่าหมอนี่คงไม่ได้ต้องการวางแผนชั่วหรือจะทำอะไรเป็นการทดสอบเขาแน่นอน อย่างน้อย ๆ วิสัยทัศน์ของอีกฝ่ายก็เข้าท่าดี
ฟางชิวคิดพลางกลืนข้าวคำสุดท้ายของตัวเอง
จากนั้นฟางชิวก็เช็ดปากด้วยกระดาษทิชชู่ เขาสังเกตท่านั่งของถังเฮิงแล้วพูดขึ้น “ไหล่ขวาของนายเคล็ดนิดหน่อยหรือเปล่า?”
ถังเฮิงถึงกับชะงักระหว่างกินข้าว
“ลูกพี่ ลูกพี่รู้ได้ไงน่ะ? ผมรู้สึกว่ายกแขนขึ้นลำบากมากเลย”
“เมื่อวานนี้ฉันดื่มน้ำสองขวดของนาย เพื่อเป็นการตอบแทน เดี๋ยวฉันจะช่วยรักษาละกัน”
ฟางชิวยืนขึ้นแล้วเข้าไปหาถังเฮิง จากนั้นก็แตะข้อไหล่เบา ๆ แล้วพูด “เสร็จแล้ว”
ถังเฮิงได้ยินเพียงเสียงไหล่ของตัวเองส่งเสียงดัง จากนั้นเมื่อเขาขยับไหล่ ความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไป
ถังเฮิงเงยหน้ามองฟางชิว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เขารักษาฉันด้วยการแตะเบา ๆ เท่านั้นเหรอ?
แม้ว่าถังเฮิงจะเคยชินกับพฤติกรรมแปลก ๆ แต่เขาก็รู้ว่าอะไรที่เป็นพฤติกรรมที่ปกติหรือไม่ปกติ
“หายได้ด้วยการตบเบา ๆ ได้ยังไง?”
เขาจ้องไปที่ฟางชิวอย่างตะลึง