คุรุการแพทย์ – บทที่ 25 ยินดีที่จะเป็นไฟของประภาคารเพื่อชี้ทางพวกนาย!

คุรุการแพทย์

บทที่ 25 ยินดีที่จะเป็นไฟของประภาคารเพื่อชี้ทางพวกนาย!

บทที่ 25 ยินดีที่จะเป็นไฟของประภาคารเพื่อชี้ทางพวกนาย!

“อะไรนะ?”

ไม่เพียงเฉียวมู่ที่ตะลึง เหล่านักศึกษาชายที่คิดว่าฟางชิวแค่หิวแสงและอยากเด่นดังเองก็ตกใจกับคำตอบของชายหนุ่มเช่นกัน

ถ้าอ่านสักบทสองบทก็คงอ่านได้อย่างตั้งใจอยู่หรอก แต่มันจะต้องใช้แรงกระตุ้นมากที่จะอ่านให้จบทั้งเล่ม

ฟางชิวต้องมีเจตจำนงที่แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากแน่!

ไม่มีใครสามารถทวนบทเรียนจบทั้งเล่มภายในวันเดียว และไม่เคยมีใครทำสิ่งนี้ได้สำเร็จมาก่อนด้วย!

รูมเมตทั้งสามคนของฟางชิวเองก็มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริศ

ในฐานะที่เป็นรูมเมต พวกเขาทั้งสี่กินด้วยกันเล่นด้วยกัน ถึงแม้จะรู้ว่าฟางชิวเป็นคนที่กระหายการเรียนรู้ แต่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าห้าของพวกเขาจะขยันเรียนขนาดนี้!

“นายอ่านทวนจบหมดเล่มแล้วเหรอ?!”

“นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?!”

แต่สาว ๆ กลับมองฟางชิวด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างชื่นชม

เฉียวมู่เกือบจะสำลักตายกับคำตอบของฟางชิว ‘ให้ตาย! เขาไม่ได้เล่นบทเดิมนี่หว่า!’

ตอนนี้ เฉียวมู่จะจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่เหมือนเดิมอย่างไรดี?

อาจารย์หนุ่มไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างมีสติ เขายังคงไม่ยอมแพ้จึงตัดสินใจสร้างสถานการณ์ใหม่เพื่อหาทางดึงห้องเรียนกลับเข้าสถานการณ์เดิม

‘เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงจะอ่านทวนหนังสือทั้งเล่มมาแล้ว…’

‘ถ้าจำเนื้อหาทั้งหมดไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า!’

ถ้าหากการสันนิษฐานของเฉียวมู่ถูกต้อง เขาก็จะสามารถดึงสถานการณ์กลับมาอยู่ในเกมของเขาได้

“ดีมาก!”

เฉียวมู่ขึ้นเสียงกะทันหัน เขามองไปที่ฟางชิวด้วยสายตาชื่นชมแล้วพูดต่อ “แปลกใจมากที่มีนักศึกษามีแรงจูงใจตั้งใจเรียนขนาดนี้ ฉันอยากจะรู้เหลือเกินว่าเธออ่านทวนบทเรียนไปเท่าไหร่ งั้นฉันจะตั้งคำถามกับเธอสักข้อเพื่อดูว่าการทบทวนบทเรียนของเธอมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน โอเคไหม?”

“ถามคำถามผม?”

เพื่อแสดงความเคารพนับถือกับอาจารย์ ฟางชิวก็ยืนขึ้น พยักหน้าและตอบกลับไปว่า “ครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียวมู่ก็รู้สึกผิดหวัง ‘ฉันหวังว่าเขาจะตอบว่าไม่ จะได้หมายความว่ายังไม่ชัวร์ ไม่มั่นใจกับผลการทบทวนบทเรียนเอง ฉันจะได้ไม่ต้องตั้งคำถามลองภูมิ’

“ฉันคิดว่าพวกเธอทั้งหมดคงรู้ดีว่าอวัยวะภายในทั้งห้าคืออะไร ตอนนี้ฉันขอถามเธอ เนื่องจากการแพทย์แผนจีนนั้นแบ่งทุกอย่างรวมถึงอวัยวะภายในทั้งห้าออกเป็นหยินและหยาง อวัยวะใดเป็นหยินบ้าง?”

เฉียวมู่นั้นคุ้นเคยกับ ‘ทฤษฎีพื้นฐานแพทย์แผนจีน’ มากจนเขาสามารถตั้งคำถามได้อย่างง่ายดาย เขาจึงตั้งคำถามที่มีความยากระดับปานกลางออกมาได้

เมื่อฟังคำถามนี้แล้ว นักศึกษาทั้งหมดก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ เว้นแต่ฟางชิวไว้คนหนึ่ง

พวกเขาไม่รู้เลยว่าอวัยวะภายในทั้งห้านั้นถูกแยกเป็นหยินและหยาง ที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าอวัยวะภายในทั้งห้านั้นเป็นเพียงอวัยวะภายในทั้งห้าเฉย ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหยินหยาง

พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามีส่วนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับธาตุหยิน

แต่ฟางชิวกลับมองไปที่เฉียวมู่ด้วยสีหน้าแจ่มใส

คำถามนี้ง่ายมากสำหรับเขา จากนั้นฟางชิวจึงตอบไปว่า “หัวใจนั้นเป็นธาตุไฟ ควบคุมความอบอุ่นของร่างกายและการไหลเวียนของเลือด ดังนั้นส่วนหัวใจจึงจัดอยู่ในอวัยวะหยาง”

“ส่วนปอดนั้นเป็นธาตุทอง มีหน้าที่ควบคุมความบริสุทธ์ของอากาศ ดังนั้นจึงจัดเป็นอวัยวะหยิน…”

“ตับ… เป็นธาตุไม้ ควบคุมการขึ้นลงและระบายของเหลวในร่างกาย ดังนั้นจึงจัดเป็นอวัยวะหยาง…”

“ส่วนไตเป็นธาตุน้ำ… ควบคุมการอุดตันและการกักเก็บ ดังนั้นจึงถูกจัดเป็นอวัยวะหยิน…”

“สุดท้ายนี้… ม้ามจัดเป็นธาตุดิน ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนตรงกลางของจงเจียว*[1] อยู่ใกล้กระเพาะอาหาร จึงจัดเป็นอวัยวะหยิน…”

“โว้ววว!!!”

ทุกคนในห้องเรียนต่างตกใจเป็นอย่างมาก

“ฟางชิวไม่เพียงแค่อธิบายถึงสิ่งที่เป็นอวัยวะหยินเท่านั้น แต่ยังอธิบายว่าอวัยวะส่วนไหนเป็นหยางด้วย อาจารย์ถามแค่คำถามเดียว แต่ตอบด้วยว่าอวัยวะภายในทั้งห้าเป็นธาตุอะไร!”

“แถมฟางชิวยังตอบได้อีกว่าอวัยวะทั้งห้าทำงานอะไรอย่างไรบ้าง!”

“สุดยอด!!”

ในตอนนี้ คนทั้งห้องเชื่อแล้วว่าฟางชิวได้ทบทวนบทเรียนจนจบเล่มแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าอวัยวะทั้งห้ากับธาตุทั้งห้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณสมบัติของหยินและหยางเลย แน่นอนว่าไม่รู้เลยสักเรื่อง!

“ไม่เลว!”

เฉียวมู่พยักหน้า ‘เด็กคนนี้คงไม่ได้โกหก’

‘เขาทบทวนบทเรียนมาหมดทั้งเล่มแล้วจริง ๆ’

แต่อย่างไรก็ตาม เฉียวมู่ก็ยังคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จึงวางแผนที่จะหาทางกรุยสถานการณ์ให้กลับมาเป็นฝ่ายคุมเกม!

“ถูกต้อง… งั้นคำถามต่อไป…”

เขาตัดสินใจถามคำถามระดับยาก

“บทบัญญัติแก้ไขทางการแพทย์กล่าวถึงวิธีการจัดการกับพลังงานในร่างกายและวิธีรับมือกับพลังงานหยินอย่างไรบ้าง?”

“ปรับพลังชี่ให้คงที่ จากนั้นก็ข่มพลังงานหยินให้มากที่สุดด้วยพลังงานหยาง!”

ฟางชิวตอบ

หลังจากได้ยินคำตอบแล้ว เฉียวมู่ก็ครุ่นคิด ‘ช่างน่าประทับใจอะไรอย่างนี้!’

“เธอตอบคำถามลับสมองแบบนี้ได้…”

“เดี๋ยวฉันจะถามอีก ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะยังตอบได้!”

“หากมีพลังชี่ในหัวใจเพียงพอ จะช่วยยับยั้งอะไร? และหากมีพลังชี่ในหัวใจไม่เพียงพอ จะก่อให้เกิดอาการใด?”

“เมื่อมีพลังชี่ในหัวใจเพียงพอก็จะช่วยยับยั้งโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังฉับพลัน ช่วยน้ำในไตไม่ให้ย้อนกลับ แต่ถ้ามีพลังชี่ในหัวใจไม่เพียงพอก็จะส่งผลตรงกันข้าม”

ฟางชิวตอบทันที

“หลักการรักษาโดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการระบายน้ำในเด็กนั้นใช้กับการรักษาโรคอะไร?”

คำถามที่เฉียวมู่ถามนี้นับว่าไม่ยาวมากและไม่ใช่เรื่องของทฤษฎี แต่เป็นเรื่องวิธีการรักษาโรค

ถึงแม้ว่าทฤษฎีการรักษาโรคนั้นจะอ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย แต่เรื่องของการรักษาอาการป่วยนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

เขาไม่เชื่อว่านักศึกษาหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถจำหลักการรักษาได้เพียงแค่การอ่านทบทวนล่วงหน้ามาแน่ ๆ

“ใช้ได้กับกรณีธาตุภายในตัวเด็กได้รับอาการเจ็บป่วยจากธาตุภายในตัวแม่ ธาตุภายในตัวแม่ที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่จะเชื่อมไปยังธาตุภายในตัวเด็กถ้ามีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งมีอาการเจ็บป่วย”

แต่คำตอบของฟางชิวนั้นขัดต่อความคาดหมายของเขาอีกครั้ง!

คำตอบของเขาถูกต้องตรงเผง!

ตามใบหน้าและศีรษะของเฉียวมู่บัดนี้ปรากฏเหงื่อซึมเต็มไปหมด ตั้งแต่ที่สอนมาตลอดหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เหตุการณ์ในห้องเรียนนั้นเหนือการควบคุมของเขา!

“…อะไรคือความหมายของ ‘การก่อเกิดฉัน’ ‘การจำกัดฉัน’ ‘ฉันทำ’ และ ‘ฉันยับยั้งมัน’ ? จงอธิบายโดยการยกตัวอย่าง…”

เฉียวมู่ถามด้วยความกังวล

“‘การก่อเกิดฉัน’ หมายถึง…”

การโต้ตอบนี้เหมือนกับการแข่งขันลองภูมิกันระหว่างสองปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้อย่างไรอย่างนั้น เฉียวมู่กับฟางชิวถามตอบกันอย่างสูสีและเฉียบขาด นักศึกษาทั้งหมดในห้องเรียนถึงกับตาลุกวาว

ทุกคนตะลึงกับฟางชิวมาก

ในฐานะอาจารย์ เฉียวมู่สามารถตั้งคำถามไม่ต้องคิดอะไร นั่นก็แสดงได้ถึงระดับความรู้ที่เขามีแล้ว…

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ขนลุกและตกตะลึงมากนั่นคือการที่ฟางชิวสามารถตอบคำถามทั้งหมดของอาจารย์ได้ถูกต้องเป๊ะ ๆ!

รู้สึกเหมือนเห็นสุดยอดนักดาบจากยุคโบราณกำลังดวลกัน อีกคนหนึ่งโจมตี อีกคนหนึ่งก็โต้กลับ น่าตื่นเต้นสุด ๆ!

อย่างที่พวกเขาได้เห็น แต่ละคำถามนั้นดูรวดเร็วและยากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฟางชิวก็ตอบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นับว่าแม่นยำไร้ที่ติไม่แพ้คำถามก่อนหน้านี้เลย…

ความชื่นชมยินดีผุดขึ้นในใจของนักศึกษาทุกคนที่นั่งอยู่ในห้อง พอ ๆ กับความรู้สึกราวกับสูญเสียอะไรบางอย่าง

“พวกเราทั้งหมดเป็นแค่นักศึกษาแท้ ๆ”

“แต่ดูฟางชิวสิ เขาอ่านทบทวนบทเรียนจนเข้าใจเกือบหมดทั้งเล่มแล้ว ดูฉันสิ! ฉันยังสับสนอยู่เลยว่าแพทย์แผนจีนคืออะไรน่ะ?!”

“ช่องว่างของฟางชิวกับพวกเราใหญ่มาก!”

แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้กระเตื้องหัวใจส่วนลึกของพวกเขาให้ต้องการที่จะพัฒนาตัวเองขึ้น

ยิ่งเฉียวมู่ถามคำถามมากเท่าไร เหงื่อที่หน้าและศีรษะของเขาก็ยิ่งมากขึ้นตาม แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายยิ่งขึ้น

เพราะเขาเพิ่งค้นพบบุคคลทรงคุณค่าเข้าแล้ว…

ฟางชิวอาจเป็นอัจฉริยะแพทย์แผนจีนผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศก็ได้!

ตอนนี้เขาไม่ต้องการที่จะดันทุรังดึงสถานการณ์ให้ตัวเองอีกต่อไป

ไม่มีอะไรที่จะมหัศจรรย์ไปกว่าการพบเจออัจฉริยะแพทย์แผนจีนอีกแล้ว!

หลังจากที่ถามคำถามไปกว่าสิบคำถาม ไม่ว่าจะง่ายหรือซับซ้อน หรือจะเป็นคำถามที่ยากเพียงใด แต่ฟางชิวก็สามารถให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบและเฉียบคมกับเขาได้ทุกข้อ!

เฉียวมู่แทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาจ้องฟางชิวเขม็ง

“เธอเคยเรียนวิชาแพทย์แผนจีนมาก่อนหรือเปล่า?”

นักศึกษาในห้องทุกคนเงี่ยหูและมองฟางชิว เพราะพวกเขาเองก็กำลังสงสัยเหมือนกัน

ทุกคนสงสัยว่าฟางชิวเรียนแพทย์แผนจีนทั้งหมดมาก่อนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความรู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร?

แต่ฟางชิวกลับส่ายหัวยิ้ม ๆ เพราะไม่เคยเรียนแพทย์แผนจีนมาก่อนเลยจริง ๆ

เมื่อเห็นฟางชิวส่ายหัว ทุกคนก็พากันทำหน้าเหลอหลาแล้วเงียบกริบกันหมด

“เขาสามารถตอบคำถามทั้งหมดของอาจารย์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่การทวนหนังสือเนี่ยนะ…”

“เหนือมนุษย์ชัด ๆ!”

“ถ้ามีสอบ ฟางชิวคงจะสอบผ่านฉลุยพร้อมกับคะแนนเต็มแน่นอน!

“ดีมาก! เยี่ยมจริง ๆ!”

เฉียวมู่พูดเสียงทุ้มด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองฟางชิวอย่างชื่นชม “นักศึกษา นามสกุลของเธอคืออะไร?”

“…นามสกุล?”

ทั้งห้องเรียนต่างพากันประหลาดใจ

“อาจารย์ครับ ทำในสิ่งที่อยู่ในขอบเขตหน่อย ถึงเขาจะตอบคำถามได้ถูกหลายข้อ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องอ่อนน้อมกับเขา คุณเป็นอาจารย์ของเขาไม่ใช่เหรอ?”

แต่เฉียวมู่ไม่ถือสา ดวงตาของเขายังคงจ้องไปที่ฟางชิว

“อาจารย์ครับ นามสกุลของผมคือ ฟาง และชื่อเต็มของผมคือ ฟางชิว”

ฟางชิวตอบกลับอย่างสุภาพ

“ฟางชิว… ดี! ดีมาก! เอาล่ะ เธอนั่งลงได้!”

เฉียวมู่ส่งสัญญาณมือบอกให้ฟางชิวนั่งลง จากนั้นก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ฉันรู้สึกแปลกใจมากที่ได้พบกับนักศึกษามากพรสวรรค์ที่ไม่เคยพบมาก่อน ตลอดชีวิตที่ฉันเคยเห็น เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีความรู้นำคนอื่นไปไกลเพียงแค่การอ่านทบทวนบทเรียน…”

“ฉันเชื่อว่านับตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงมา ไม่มีใครบรรลุความสำเร็จได้เท่าเขาแล้ว”

“ทุกคนควรเอาเขาเป็นแบบอย่าง!”

“คนเดียวที่เขาเคยเห็นในชีวิตนี้เหรอ?”

คำพูดของอาจารย์นั้นทำให้หัวใจของนักศึกษาทุกคนเต้นแรง

“น่ายกย่องมาก!”

“ครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเหรอ! น่าตื่นเต้นมาก!”

แล้วสุดท้ายนี้ เฉียวมู่ก็กลับเข้าสู่วงจรเดิมของตัวเอง นั่นคือการปลุกเร้านักศึกษาให้ตั้งใจเรียน

ฟางชิวเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นในตอนนี้ห้องสามจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ตามไปด้วย

ไม่มีใครที่ต้องการอยู่เหนือผู้อื่น แม้ว่าฟางชิวจะทำผลงานไว้ด้วยมาตรฐานที่สูงมากก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่กลัวแต่อย่างใด และก็ไม่ต้องการจะแพ้เขาด้วย!

หลังจากผ่านชั่วโมงเรียนที่ยาวนาน สองบทเรียนแรกก็ถูกสอนจนจบ พอหมดเวลาเรียน เฉียวมู่ก็รีบเก็บหนังสือแล้วออกไปอย่างรีบร้อน

นักศึกษาห้องสามกำลังเก็บหนังสือและข้าวของของตัวเองเพื่อเตรียมตัวย้ายห้องเรียนไปเรียนวิชาต่อไป นั่นคือวิชาภาษาจีนโบราณสำหรับแพทย์แผนจีนโบราณ

ขณะจัดเก็บหนังสือ ซุนฮ่าวก็บ่นกับฟางชิวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว

“เจ้าห้า นายช่วยหรี่ ๆ ความสามารถของตัวเองลงหน่อยได้ไหม? นายมันเจ๋งโคตร พวกเราเหมือนพวกไร้ประโยชน์ไม่ต่างจากขยะเลย!”

“ใช่!”

โจวเสี่ยวเทียนร่วมผสมโรงเช่นกัน สีหน้าแสดงให้เห็นว่าสนับสนุนคำพูดของซุนฮ่าวอย่างเต็มที่ ดวงตาของเขามองมาที่ฟางชิวด้วยความไม่สบายใจ

“เห็นฉันเจ๋งขนาดนี้แล้ว พวกนายไม่เกิดแรงผลักดันจนอยากจะตั้งใจเรียนบ้างเลยเหรอ?”

ฟางชิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อเลียนระหว่างยัดหนังสือกลับเข้ากระเป๋า

“เกิดสิ! พวกฉันรู้สึกอยากตั้งใจเรียนก็จริงแต่ก็ไม่ได้ยินดีหรอกนะ!”

ซุนฮ่าวตอบด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ

“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันตั้งเป้าไว้!”

หลังจากพาดกระเป๋าขึ้นไหล่ตัวเองแล้ว สีหน้าของฟางชิวก็ทวีความจริงจังขึ้น เขาลดเสียงให้ทุ้มต่ำลงแล้วกล่าวว่า “แพทย์แผนจีนรับผิดชอบในการช่วยชีวิตผู้คนและสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ชีวิตมหาวิทยาลัยที่ไร้จุดหมาย ฉันได้เริ่มต้นเรียนแพทย์แผนจีนกับพวกนาย ฉันได้แต่หวังว่าจะนำทางผู้คนให้ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกับไฟในประภาคาร ในเมื่อพวกนายเรียนอย่างหนักเพื่อจะหาทางแซงฉัน ฉันก็หวังว่าความสำเร็จและความรู้เรื่องด้านการแพทย์ของพวกนายจะก้าวหน้า…”

ฟางชิวพูดอย่างจริงจัง ไร้อารมณ์ขี้เล่นปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด

แม้ว่าคำพูดของฟางชิวจะฟังดูเป็นทางการ แต่มันก็มีความหมายลึกซึ้งอยู่เต็มเปี่ยม

ทุกคำพูดล้วนแสดงถึงวัตถุประสงค์จริง ๆ ของฟางชิวออกมา

ฟางชิวไม่ใช่คนประเภทที่หิวแสงและต้องการเป็นจุดสนใจ ถ้าหากเขาเคยศึกษาวิชาอื่น ๆ เขาก็จะแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ ในเมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มเรียนนั้นเป็นวิชาที่ต้องช่วยชีวิตผู้คนที่ป่วยและบาดเจ็บ ทุกคนก็ต้องมีความรู้ทักษะทางการแพทย์ที่ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะยืนขึ้นเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเขา

ในท้ายที่สุดแล้ว พลังของแพทย์แผนจีนคนเดียวมันไม่พอ ถ้าคนเรียนแพทย์แผนจีนได้ดีและกลายเป็นแพทย์ที่ดีขึ้นมา คนที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บบนโลกใบนี้ก็จะมีโอกาสได้รับการรักษาและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

บางคนคิดว่าฟางชิวเป็นพวกชอบผลักดันตัวเองไปข้างหน้าและชอบโอ้อวด แต่ว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะการตัดสินของคนอื่นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว

หลังจากพูดจบ ฟางชิวก็ยิ้มให้กับรูมเมตทั้งสาม แล้วสะพายกระเป๋าพาดไหล่เดินออกไป

ทั้งสามมองแผ่นหลังของฟางชิวจากไป พูดไม่ออกสักคำเดียว

พวกเขาเพิ่งพบว่าตนเองไม่ได้รู้จักเจ้าห้าเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังพบว่าฟางชิวนั้นเป็นพวกที่มีความทะเยอทะยานและเคร่งครัดมากอีกต่างหาก

“ตั้งแต่ฟางชิวมาที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ไม่ว่าจะมีฝึกทหารภาคสนามหรือไม่นั้น…”

“เขาก็ยังคงอ่านหนังสือไม่หยุดเลย”

“ทำไมฉันถึงดูน่าสังเวชแบบนี้นะ!”

ทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะตามฟางชิวไป

ขณะเดียวกัน ในอาคารเรียนแพทย์แผนจีน ประตูห้องของคณบดีก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงดังโครม!

เสียงประตูที่ดังขึ้นมานั้นทำให้คณบดีที่กำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องถึงกับตกใจ

ใบหน้าของคณบดีบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด

“อาจารย์เฉียว ทำไมคุณถึงดูรีบร้อนขนาดนี้? คุณไม่รู้เหรอว่าต้องเคาะประตูก่อน”

คณบดีฉีไคเหวินเอ่ยด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“ผมขออภัยด้วยครับ ท่านคณบดี!”

ชายที่เพิ่งเข้ามานั้นคืออาจารย์เฉียวมู่ผู้สอนวิชาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนนั่นเอง เขารีบควบคุมตัวเองอย่างรวดเร็ว กระนั้นสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ท่านคณบดี ผมพบนักศึกษามีพรสวรรค์ ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ในกลุ่มนักศึกษาน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยของเราแล้ว!”

[1] จงเจียวคือม้ามและกระเพาะอาหาร มีจุดเด่นที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารและน้ำ

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท