บทที่ 36 ฟางชิวกอบกู้เวที
บทที่ 36 ฟางชิวกอบกู้เวที
ยิ่งกีตาร์บรรเลงเร็วขึ้นเท่าไร ท่วงทำนองก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศในที่งานก็ร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเห็นรูปลักษณ์ของคนที่เล่นกีตาร์ พวกห้องสามก็พากันตกตะลึง
เป็นฟางชิวได้อย่างไรกัน?
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าฟางชิวจะขึ้นแสดงด้วย จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนเองก็ต่างอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น
พวกเขารู้แค่ว่าฟางชิวจะขึ้นแสดงพิธีเปิดบนเวที แล้วพวกเขาก็รู้ด้วยว่าฟางชิวถูกแทนที่โดยไอ้สารเลวหลี่ชิงสือ ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็ยังรู้อีกว่าผู้ที่ถอดฟางชิวออกจากตำแหน่งก็คือหลิวเฟยเฟย อาจารย์สาวสวยประจำชั้นห้องสามของพวกเขานั่นเอง
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ ในเวลานี้ ฟางชิวจะอยู่บนเวทีจริง ๆ และเขายังจะร้องเพลงเองอีกด้วย
เรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่?
โลกหมุนเร็วขึ้นเหรอ?
ไม่สนแล้ว ปรบมือให้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
เพราะเจ้าห้าที่แสนดีของพวกเขาจะต้องตกเป็นเป้าสายตา! พวกเขาจะปรบมืออย่างกระตือรือร้นที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!
ทั้งสามคนอวยฟางชิวด้วยความแข็งขัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ก็ตาม
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนต่างพากันตะโกนเรียกชื่อฟางชิว จนเสียงที่ผู้คนรอบบริเวณได้ยินเลยมีแต่คำว่าฟางชิว
เมื่อนึกถึงการแสดงฟลูตมือและการร้องเพลงของฟางชิวตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจในทันที และเพราะไหน ๆ พวกเขาก็เรียนแพทย์แผนจีนร่วมกัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิทยาลัยแพทย์แผนจีนทุกคนเลยตะโกนเรียกชื่อฟางชิวพร้อมกัน
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
นักศึกษาจากคณะอื่นก็พากันแปลกใจ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าใครคือฟางชิว แต่เพราะบรรยากาศคึกคักฮึกเหิม พวกเขาเลยปรบมือให้ฟางชิวอย่างเต็มที่
เจ้าหน้าที่หลายคนขมวดคิ้วทันควันเมื่อเห็นฟางชิวขึ้นมาบนเวที ทำไมถึงเป็นผู้ชายไปได้? ในรายชื่อก็เป็นชื่อของผู้หญิงจูเว่ยอิน ทำไมถึงเปลี่ยนตัวขึ้นมาล่ะ?
คิ้วของหัวหน้าคณะกรรมการสมาคมเยาวชนที่รับผิดชอบโครงการนี้ยิ่งขมวดเข้าไปใหญ่ แต่กระนั้นเสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นฉับพลันก็ทำให้พวกเขาสะดุ้ง
บางที มันอาจจะเป็นแค่การพิมพ์ชื่อผิดก็เป็นได้ คงไม่ใช่การเปลี่ยนตัวหรอก เพราะเด็กคนนี้ดูจะเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษามาก เขาอาจจะเป็นตัวจริงในการขึ้นแสดงครั้งนี้
ตลอดทางเดิน หลี่ชิงสือฟังเสียงตะโกนรอบ ๆ ตัว สายตาขี้อิจฉาของเขากำลังลุกเป็นไฟ ตอนที่เขาขึ้นแสดงบนเวทีนั้น เสียงตะโกนเชียร์ไม่ได้ดังขนาดนี้ แต่ฟางชิวกลับได้รับเสียงเชียร์ดังกว่าเขา
หึ!
ฟางชิว! ฉันจะดูว่าวันนี้นายจะตกจากสวรรค์ลงไปนรกได้อย่างไร!
ฟางชิวดีดกีตาร์พร้อมกับเดินไปตรงกลางของเวที ทันทีที่เดินมาถึงที่หมาย เขาก็เปิดปากร้องเพลง
“ท่านมิเห็นหรือ สายนํ้าที่ไหลกรากในฮวงโหนั้นไหลมาจากเบื้องบน ไหลสู่ทะเลมิอาจหวนหลับ” พอฟางชิวเปิดปากเริ่มร้องเพลง บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาทันที
บทเพลงที่ทุกคนคุ้นเคยทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับหัวกำลังระเบิด เลือดในกายพลันเดือดพล่าน!
น้ำเสียงจะทรงพลังเกินไปแล้ว!
สง่างามมาก!
อีกทั้งยังไพเราะอีกด้วย ทุกคนต่างประหลาดใจ ปรับท่านั่งตัวตรงพร้อมที่จะเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง สายตาของทุกคนต่างตกอยู่ที่คนตรงกลางเวที
แม้ว่าจะไม่มีนักเต้น มีเพียงคนดีดกีตาร์แค่คนเดียว แต่เสียงเพลงของเขาก็ทำให้คนฟังรู้สึกหลงใหลและเคลิบเคลิ้มไปตาม ๆ กัน
“ท่านมิเห็นหรือ ที่น่าโศกาอาดูรนั้น ก็คือผมหงอกขาวตัวเองในกระจกที่ห้องโถง ยามเช้าเส้นผมดำสลวยดุจเส้นไหม ยามคํ่าขาวดุจหิมะ!”
หลังจบท่อนที่สอง ทุกคนที่อยู่บริเวณทางเดินก็ตกตะลึง
เพราะมาก!
เพราะจริง ๆ!
เสียงดีเกินคาด!
“ดีกว่าเวอร์ชันของฉันซะอีก!” จู่เว่ยอินพึมพำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เวอร์ชันนี้อาจดูมีศิลปะน้อยกว่าเวอร์ชันของซ่งจู่อิงมาก แต่เจตจำนง จิตวิญญาณที่มีความทะเยอทะยานและเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งนั้นได้ปลุกเร้าจิตวิญญาณได้อย่างไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง
ทว่าอาจารย์ที่ดูแลการแสดงบนเวทีกลับคิดมากกว่านั้น
เธอเข้าใจทฤษฎีดนตรีก็จริง แต่กลับเข้าใจนักเรียนยิ่งกว่า ยิ่งผู้ชมส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ เพลงนี้เลยฟาดหน้าฟาดใจเข้าเต็ม ๆ เรียกว่าได้ยินเสียงสะท้อนในหัวใจดังออกมาเลย
ฟางชิวทำให้ต้องทึ่งมากจริง ๆ!
พอหายกังวลแล้ว เหล่าผู้ดูแลการแสดงก็ตั้งหน้าตั้งตารอชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของฟางชิวเต็มที่
สู้ ๆ นะ! ฟางชิว!
เจียงเหมี่ยวอวี๋ลอบร้องเชียร์ฟางชิวอยู่ในใจเงียบ ๆ ใบหน้าของเธอนั้นแดงระเรื่อ หมัดกำแน่นเผยความตื่นเต้นขึ้นมา
เธอไม่คิดว่าฟางชิวจะร้องเพลงด้วยท่วงทำนองดุดันเช่นนี้ เพราะสิ่งที่ฟางชิวแสดงให้เห็นในอดีตนั้นมีแต่ความอ่อนโยนและความสดใส
แต่วันนี้เธอได้เห็นอีกด้านหนึ่งของฟางชิวแล้ว นั่นคือความเร่าร้อนของชายหนุ่ม!
“ทำได้ดีมาก! ฉันไม่ได้มองเธอผิด” หลิวเฟยเฟยกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข แรงกดดันอันหนักอึ้งบนบ่าของเธอหายไปพร้อมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมของฟางชิวแล้ว
หลี่ชิงสือถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเอามือกอดอก และเหยียดหยันฟางชิวต่อไป แต่กระนั้นรอยยิ้มกลับจางหาย เพียงฟังแค่สองท่อนแรกเขาก็รู้สึกถึงเสน่ห์ของเพลงนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่าฟางชิวจะเล่นได้ดี บางทีท่อนนี้อาจเป็นท่อนที่ฟางชิวทำได้ดีที่สุดก็ได้
บางทีเขาอาจจะได้รับผลกระทบจากการใช้เสียง แล้วทำให้เขาร้องเพลงผิดคีย์หรือเสียงแตกก็ได้! ไม่เห็นเหรอว่าที่นี่เงียบขนาดไหน? ไม่มีแม้แต่เสียงปรบมือ? สถานที่นี้ช่างเงียบสงบดีจริง ๆ
แท้จริงแล้วทุกคนตกใจมากจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ต่างคนต่างพากันก็จ้องมองไปที่ฟางชิว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้ว่าเพลงโบราณจะสามารถร้องแบบนี้ได้
เมื่อถึงท่อนถัดไป เสียงของฟางชิวก็สูงขึ้นทันที
“ชีวิตคนเราเมื่อปีติยินดีก็ควรสนุกให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าคู่กับแสงจันทร์ ฟ้าประทานความสามารถให้ข้ามาต้องมีประโยชน์ แม้ทองนับพันตำลึงหากใช้หมดแล้วยังหาได้ใหม่!”
เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไป แต่เดินไปข้างหน้าขณะดีดกีตาร์ สายตาประสานกับคนดูแถวหน้า
ราวกับว่าเขาร้องเพลงนี้ให้กับเหล่านักศึกษาทุกคน บอกเล่าสิ่งที่อยากบอกผ่านเนื้อเพลงเหล่านี้
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ท่านต้องมีความสุขในชีวิต และอย่าลืมว่าท่านเกิดมาไม่ได้มีแค่พรสวรรค์แต่ต้องมีประโยชน์”
“อย่าทำให้ช่วงเวลาดี ๆ ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ อย่าทำให้เยาวชนผิดหวัง ตั้งใจเรียน มุ่งมั่นฟื้นฟูประเทศชาติในอนาคต!”
“ชีวิตที่คุ้มค่าก็เป็นเช่นนี้!”
“เยี่ยม!” จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนออกมา ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็ต่างพากันส่งเสียงเชียร์ตามไป
“เยี่ยม!” ทันใดนั้นเสียงปรบมือที่ปรบมือให้ฟางชิวก็ดังสนั่นไปทั่ว!
นี่เป็นเสียงปรบมือที่คึกคักที่สุดนับตั้งแต่เริ่มพิธีเปิด คึกคักกว่าการแสดงแรกและแน่นอนว่าคึกคักกว่าทุกการแสดงที่ผ่านมา
บรรดาผู้คนที่ดูการแสดงจากหลังเวทีต่างงงงวย เพราะการแสดงนี้ได้รับความนิยมมากจากคนดู
ฟางชิวแสดงได้ติดตาผู้ชมเหลือเกิน!
จากนั้นฟางชิวก็ปล่อยมือจากกีตาร์แล้วยกนิ้วโป้งให้กับทุกคน!
ท่านี้ทำให้ฝูงชนรอบตัวเฮลั่น!
“ฟางชิว!”
“ฟางชิว!”
…
เสียงตะโกนว่าฟางชิวยังคงดังอยู่ชื่อเดียว
“บัดซบ! เจ้าห้าคิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ย!” จูเปิ่นเจิ้งพูดออกมาเสียงดังพร้อมกับเอามือปิดหูไปด้วย แต่เสียงรอบ ๆ ตัวเขาก็ดังเกินไปอยู่ดี
“นี่คือเจ้าห้าของพวกเราเอง แข็งแกร่งมากใช่ไหมล่ะ! เขากล้าที่จะหยุดการแสดงพิธีเปิดและยกนิ้วให้กับทุกคน! สุดยอด!” ซุนฮ่าวตะโกนพลางปรบมืออย่างตื่นเต้น
“เล่นใหญ่อย่างนี้สิยิ่งดี! นี่คือความรุ่งโรจน์ของห้องพักห้าศูนย์หนึ่งของพวกเรา! ฟางชิว! ฟางชิว!” โจวเสี่ยวเทียนยังคงตะโกนเชียร์อย่างต่อเนื่อง
แม้ทั้งสามคนจะตื่นเต้น แต่อาจารย์ที่ดูแลการแสดงกับหัวหน้าคณะกรรมการสมาคมเยาวชนต่างพากันเหงื่อตกทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนแต่อย่างใด
อะไรกัน! นี่เรียกว่าการแสดงพิธีเปิดเหรอ ใช้แค่กีตาร์แท้ ๆ พอคิดจะหยุดก็จะหยุดอย่างนี้เหรอ นี่เป็นการขัดจังหวะพิธีไม่ใช่รึไง! และยังกล้าโต้ตอบกับผู้ชมเหมือนเป็นมินิคอนเสิร์ตของตัวเองอีกต่างหาก
นี่คือพิธีเปิด! ไม่ใช่คอนเสิร์ตเดี่ยว!
“อุกอาจมาก!” หลิวเฟยเฟยปรบมือของเธอแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถึงในใจจะยังหวั่น ๆ อยู่ก็ตาม
ฟางชิวเล่นใหญ่จริงๆ!
ถึงจะแสดงได้ดีอยู่หรอก แต่ทำไมถึงทำท่าทางแบบนั้น บ้ารึเปล่า! อย่าขโมยซีนกันแบบนี้สิ
เจียงเหมี่ยวอวี๋แอบเหล่ไปที่ร่างของฟางชิว ดวงตาคู่งามของเธอขับประกายชื่นชมในตัวชายหนุ่มออกมา
พอหลี่ชิงสือเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋แอบมองฟางชิว ใบหน้าของเขาก็มืดคล้ำทันที เขาถึงกับอยากรีบถอดสายกีตาร์และเครื่องเสียงของฟางชิวออกเดี๋ยวนั้นเลย แต่เขาทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่ฟางชิวที่บนเวทีเท่านั้น
เขาต้องยอมรับว่าทักษะการร้องเพลงของฟางชิวนั้นดีอย่างคาดไม่ถึง
นิ้วหัวแม่มือของฟางชิวไม่ได้ยกอยู่ตลอดเวลา เขาวางมันลงทันทีหลังจากผ่านไปห้าวินาที ชายหนุ่มยังคงดีดกีตาร์กับร้องเพลงต่อไป
อาจารย์ที่กังวลอยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ต้มแพะเชือดวัวเพื่อความสำราญ พบกันวันนี้ต้องดื่มหมดสามร้อยจอก”
ท่อนนี้เหมือนจะทำให้นักศึกษาคึกขึ้นกว่าเดิม การตอบรับต่อเสียงร้องและเสียงปรบมือของพวกเขานั้น น่าจะมาจากคำขอบคุณที่เข้าใจพวกเขา
วันหลังมาดื่มกันสามร้อยแก้ว ไม่เมาไม่เลิก!
หลังจากร้องท่อนนี้ไป เสียงดีดกีตาร์อันดุดันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ท่วงทำนองของกีตาร์ทั้งเพลงไม่ได้หนักไป ไม่ได้เบาไป ฉะนั้นที่ดึงความสนใจคือความรู้สึกและอารมณ์ของคนร้องที่อัดแน่นไปกับบทเพลงต่างหาก!
หลังสิบวินาทีผ่านไป การโซโล่กีตาร์ก็สิ้นสุดลง ฟางชิวเดินกลับไปที่ตรงกลางของเวทีอีกครั้ง กระนั้นก็ยังร้องเพลงต่อไป
การโซโล่กีตาร์นี้กินเวลาสิบหกวินาที บวกกับเวลายกนิ้วโป้งก่อนหน้านี้ ถ้าเขาดีดครบทุกโน้ต เพลงทั้งเพลงกินเวลานานกว่าห้านาทีครึ่งแน่นอน
ถ้าคนอื่นรู้ว่าฟางชิวซึ่งถูกจับโยนขึ้นไปบนเวที เปลี่ยนเวอร์ชันของเพลง เปลี่ยนเวลาในการแสดง พวกเขาจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน
นี่มันจะใจกล้าเกินไปแล้ว! นี่แหละที่ว่าผู้มีความสามารถไม่เกรงกลัวสิ่งใด!
“เฉินฟูจื่อเอ๋ย ตานชิวเซิงเอ๋ย เชิญดื่มสุราเถิด ท่านโปรดอย่าได้หยุดยั้ง ข้าจะร้องเพลงให้ท่านทั้งสองฟัง เชิญท่านทั้งสองเงี่ยหูรับฟังเถิด!”
ทุกคนที่เข้าใจในดนตรีได้ยินแล้วก็ตระหนักได้ฟางชิวไม่ได้ใช้เทคนิคใด ๆ นอกจากทักษะที่สมบูรณ์ที่มาจากความเย่อหยิ่งทะเยอทะยานอันมีอิสระของเขา
พวกเขาไม่เคยเห็นเพลงโบราณไหนไม่ใช้เทคนิคเลย บางทีดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น มาจากอะไรที่เรียบง่ายที่สุด จึงเข้าสู่จิตวิญญาณได้โดยตรงที่สุด ตามเนื้อเพลงที่ร้องว่า ‘ข้าจะร้องเพลงให้ท่านทั้งสองฟัง เชิญท่านทั้งสองเงี่ยหูรับฟังเถิด’ เขาแค่อยากจะร้องเพลงที่ภาคภูมิใจให้ทุกคนได้ฟังก็เท่านั้น
ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นว่าฟางชิวไม่ได้ถือกีตาร์ แต่ถือจอกสุรา ผู้ชมในงานเองก็ไม่ได้เป็นแค่นักศึกษา แต่เป็นนักดื่มอันเมามายด้วย
ฟางชิวดูราวกับนักกวีหลี่ไป๋ที่ไม่มีความสุขกำลังถือจอกสุราให้กับแขกทุกคน ยกซดดื่มอย่างไม่เต็มใจพร้อมพูดว่า “ชีวิตคนเราถ้าปีติยินดีก็ควรสนุกให้เต็มที่ อย่าให้จอกทองว่างเปล่าท่ามกลางแสงจันทร์ ฟ้าประทานความสามารถให้ข้ามาต้องมีประโยชน์ แม้ทองนับพันตำลึงหากใช้หมดแล้วยังหาได้ใหม่!”
ชายหนุ่มพูดต่อว่า “ทุกคนฟังข้า!”
“ดนตรีไพเราะ อาหารเลิศรสก็หามีค่าไม่”
“ขอยอมเมามายจนมิรู้ตื่นดีกว่า”
“ตั้งแต่อดีตกาล นักปราชญ์ล้วนแต่โดดเดี่ยวเดียวดาย”
“มีเพียงผู้ดื่มเท่านั้นที่ถูกจารึกนาม”
“ในอดีตองค์ชายเฉิน*[1] ทรงจัดงานรื่นเริงที่หอผิงเล่อ เงินหมื่นซื้อสุราชั้นเลิศหนึ่งถังไม่ติแพง ดื่มกันอย่างสนุกสนานจนหนำใจ”
“เจ้าบ้านทำไมถึงเอ่ยว่าข้าเงินทองน้อย ขอให้ท่านรีบไปซื้อสุรา พวกเรามาดื่มด้วยกันให้จนพอเถิด!”
“เพลงนี้ดีจริง ๆ!” อธิการบดีเองก็ชมฟางชิวจากใจจริง
[1] องค์ชายเฉิน คือเฉาจื้อ ลูกของโจโฉ