คุรุการแพทย์ – บทที่ 40 ฉันไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่เพลงกำลังบอกเล่าเรื่องราวของฉัน

คุรุการแพทย์

บทที่ 40 ฉันไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่เพลงกำลังบอกเล่าเรื่องราวของฉัน

บทที่ 40 ฉันไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่เพลงกำลังบอกเล่าเรื่องราวของฉัน

ได้ยินคำพูดของฟางชิวแล้ว จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนก็รู้สึกโล่งใจ จากความเข้าใจของพวกเขานั้น ฟางชิว เจ้าเด็กคนนี้ไม่เคยกล้าทำอะไรถ้าไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จ

อย่างเช่นตอนที่ไฟดับกลางเวทีของงานเทศกาลไหว้พระจันทร์!

ไหนจะตอนที่ต้องขึ้นแสดงในพิธีเปิดอย่างฉุกละหุกนั่นอีก!

คราวนี้ก็เหมือนกัน!

ไม่งั้นฟางชิวคงจะไม่เลือกร้องเพลงเชิญดื่มสุรามาร้องเป็นแน่

เมื่อวานนี้ พอพวกเขากลับมาที่หอพัก พวกเขาได้ฟังฟางชิวเล่าถึงที่มาการปรากฏตัวของตัวเองบนเวทีอย่างกะทันหันในพิธีเปิด

พวกเขาทั้งสามคนจึงรีบโค้งคำนับความกล้าหาญของศิลปินระดับปรมาจารย์ฟางชิวทันที

ฟางชิวกล้าที่จะทำสิ่งที่อันตราย แถมยังมั่นใจว่าจะทำมันออกดี

ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน!

ตรงชมรมฝังเข็ม เจียงเหมี่ยวอวี๋เห็นว่าฟางชิวมั่นอกมั่นใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ใจกลางสนามกีฬา หลี่ชิงสือพยักหน้าให้ฟางชิวแล้วกล่าวว่า “ต่อจากนี้ขอมอบเวทีให้ฟางชิวก็แล้วกัน” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ข้างสนามที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่มากมาย หมายจะให้ฟางชิวควบคุมส่วนที่เหลือ ส่วนตัวเขาเดินไปที่ข้างสนาม

ฟางชิวหายใจเข้าลึก ๆ ยกไมโครโฟนขึ้นภายใต้การจับจ้องของทุกคน

“ที่จริงแล้ว การร้องเพลงไม่ยากเท่าไหร่ ขอแค่เสียงดี ร้องได้ครบห้าคีย์ก็พอ”

ฟางชิวเปิดปากของเขา

การพูดประโยคนี้ทำให้คนรอบข้างตะลึงงัน

นี่หมายความว่าอะไร?

เขาจะมาพล่ามแทนการร้องเพลงเหรอ

หลี่ชิงสือก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ฟางชิวกำลังทำอะไรอยู่?

“อันที่จริง การร้องเพลงก็ยากนิดหน่อย เพราะนอกจากจะร้องให้เพราะแล้ว ยังต้องร้องให้เพลงเข้าถึงหัวใจของทุกคนและก็ทำให้คนฟังมีอารมณ์ร่วมด้วย”

ฟางชิวไม่สนใจปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัวตนเอง เขายังคงพูดต่อไป “แต่มันก็ไม่ยากขนาดนั้น แค่เพิ่มอารมณ์ อาศัยทักษะอีกเล็กน้อย”

เมื่อพูดถึงประโยคนี้ ฟางชิวก็มองไปที่หลี่ชิงสือแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็กล่าวว่า “สิ่งที่ยากที่สุดคือบทเพลง ไม่ใช่ตัวคนร้อง”

“ในสมัยโบราณ หลู่เซียงซานกล่าวว่า ‘ข้าไม่ได้เป็นคนอธิบายหลักทั้งหกประการ แต่หลักทั้งหกประการเป็นผู้อธิบายตัวข้าต่างหาก’ การร้องเพลงก็เหมือนกัน”

“การที่ใครสักคนร้องเพลงแล้วถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับเพลงนั้น อารมณ์ของเขาก็จะจมอยู่ในเพลง”

“จะว่าเพราะก็เพราะอยู่หรอก”

“แต่เพลงนี้ไม่เหมาะกับหลี่ชิงสือ”

“แล้วมันก็ไม่ได้เหมาะคนอื่นเหมือนกัน น่าเสียดายจริง ๆ”

คำพูดของฟางชิวกระแทกไปที่หัวใจของหลี่ชิงสือเข้าอย่างจัง

มันทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดในทันใด

หลี่ชิงสือรู้ว่าที่ฟางชิวเอ่ยเรื่องนี้เพราะอยากล้อเลียนเขา หาว่าเขาไม่เข้าใจการร้องเพลง

มันก็เป็นทฤษฎีเดียวกับทฤษฎีน่ารำคาญที่เขาเคยได้ยินจากครูสอนร้องเพลง เขาเถียงไม่ได้แต่อย่างใด

แต่เขาก็ไม่เคยเชื่อว่าฟางชิวสามารถทำได้

การร้องเพลงไม่ใช่ผู้ร้องที่ร้องเพลง แต่เป็นเพลงที่บอกเล่าถึงตัวผู้ร้องแทนน่ะเหรอ แค่พูดน่ะมันง่าย นายลองมาร้องดูเองสิ!

คนรอบข้างฟางชิวดูเหมือนจะเข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อแล้ว แต่เจียงเหมี่ยวอวี๋พยายามที่จะไตร่ตรองคำพูดของฟางชิวอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

ประโยคที่ฟางชิวพูดถึงหลู่เซียงซานนั้น เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสน ฟางชิวก็หันพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่

เจ้าหน้าที่ยกมือทำทาง ‘โอเค’ เป็นอันรู้กันว่า ควรเริ่มร้องเพลงได้แล้ว

เสียงเพลงดังขึ้น ทำสติของทุกคนกลับคืนมา พวกเขาต้องการดูว่าการร้องเพลงของฟางชิวกับการร้องเพลงของหลี่ชิงสือนั้นจะแตกต่างกันแค่ไหน

ในขณะที่เสียงเพลงนั้นดังขึ้น บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของฟางชิวก็เปลี่ยนไปในทันที ชายหนุ่มดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น

“ฉันอยากให้เธออยู่เคียงข้างฉัน

ฉันอยากดูเธอแต่งหน้า

สายลมที่พัดคืนนี้ พัดจนใจฉันเจ็บเหลือเกิน แม่สาวน้อย…

ฉันได้แต่นั่งมองดูดวงจันทร์ อยู่ยังแดนไกล”

ทันทีที่เขาอ้าปากร้องเพลง ทุกคนก็ตกตะลึงและมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ

เพลงเป็นเพลงเดียวกัน ทำนองแบบเดียวกันแท้ ๆ

แต่ทำไมพวกเขารู้สึกว่าฟางชิวไม่ได้กำลังร้องเพลง

เหมือนเขากำลังบอกเล่าเรื่องราวให้ทุกคนฟังผ่านเสียงของตัวเอง เขาไม่ได้ร้องเพลง เขากำลังบอกเล่าเรื่องราวอยู่ต่างหาก!

การค้นพบนี้ทำให้หลาย ๆ คนมองหน้ากันอย่างงุนงง เป็นไปได้ด้วยหรือที่เพลงนี้จะยังร้องแบบนี้ได้?

แต่มันก็ฟังดูเพราะดี อย่างน้อยก็จริงใจกว่าการร้องเพลงของหลี่ชิงสืออย่างไรชอบกล

“พยายามส่งเสื้อผ้าสวย ๆ ไปให้เธอ

มองดูเธอแต้มดอกไม้สีเหลืองที่กลางหน้าผาก

คืนนี้ฉันประหม่าเหลือเกิน

คืนนี้เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน แม่สาวน้อย

เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด…”

หลังจากร้องท่อนนี้แล้ว ทุกคนก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

รวมถึงหลี่ชิงสือด้วย!

ทุกคนที่เคยได้ยินหลี่ชิงสือร้องเพลงรู้ว่านี่เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อกล่าวถึงชายหนุ่มในต่างแดนที่คิดถึงหญิงสาวที่เขารักมาก

ทว่าตอนนี้

ฟางชิวกลับร้องเพลงที่สื่อถึงชายหนุ่มที่ปรารถนาที่จะมีความรัก

บทเพลงเดียวกัน ทำนองเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างแม้แต่น้อย แต่ทำไมพอฟางชิวร้องแล้วเหมือนให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิมอย่างนี้

ช็อก!

ทุกคนช็อก!

บอกเลยว่าเพราะมาก!

เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปที่ฟางชิวด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ฟางชิวเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้แล้ว

เขารู้ว่าอายุเพียงเท่านี้ควรจะร้องเพลงอะไร

เขารู้ว่าความรู้สึกแบบนี้ควรร้องเพลงแบบไหน!

ตัวเอกที่สื่อออกมาจากเพลงนี้คือหนุ่มสาวที่ต้องพบเจอความเปลี่ยนแปลง ไร้ประสบการณ์ใดในเรื่องความรัก

มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมายในชีวิตที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจ

พวกเขาทำได้แค่จินตนาการเท่านั้น

ถึงการร้องเพลงของหลี่ชิงสือจะไม่มีข้อบกพร่อง แต่ก็มีปัญหาร้ายแรงอยู่ นั่นคือ ‘การแสร้งเป็นรู้สึก!’

ฟางชิวไม่อยากร้องเพลงแบบใช้ความรู้สึกตอนที่อายุเท่านี้เท่าไรนัก

ปกติก็ไม่คิดจะร้องหรอก แต่ครั้งนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ เขาเลยต้องร้องเพลงแนวนี้

ความรู้สึกที่ทุกคนได้ฟังนั้น เป็นความเศร้าแต่น่ารื่นรมย์ ต้องเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวถึงจะสามารถถ่ายทอดมันออกได้ อารมณ์เพลงถึงจะเศร้าแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความพึงใจ

ฟางชิวนั้นไม่เหมือนใคร เขาร้องเพลงที่สื่อถึงความปรารถนา แสวงหาความรักในช่วงวัยรุ่น

นี่ก็เป็นไปตามที่เขาพูด เขาไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่เพลงกำลังบอกเล่าเรื่องราวของเขา!

เฉียบ!

ร้ายกาจจริง ๆ!

เจียงเหมี่ยวอวี๋ชื่นชมฟางชิวมาก

เธอเคยคิดว่าฟางชิวร้องเพลงได้ดีมาก แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมาถึงระดับนี้

หลี่ชิงสือก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ไม่อยากเชื่อเลยว่าฟางชิวร้องเพลงถึงระดับที่ครูสอนร้องเพลงของเขาเคยบอกได้!

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อายุน้อยจะร้องเพลงเก่งกว่า!

เขาไม่อยากเชื่อ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับด้วย!

เขาคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา

ใช่ ทั้งหมดมันเป็นแค่ภาพลวงตา!

หลี่ชิงสือรอฟังต่อ อยากจะดูว่าฟางชิวจะมีความสามารถจริง ๆ หรือไม่!

เขาอยากเห็นด้วยตาของตัวเขาเองว่าฟางชิวก็แค่โอ้อวดไปอย่างนั้นเอง!

“ต้องโทษบรรยากาศของคืนนี้ที่ทำให้คนเกือบจะเป็นบ้า

ต้องโทษกีตาร์ ที่เสียงแข็งเกินไป

โอ้ ฉันอยากร้องเพลง

โอ้~ ฉันจะร้องเพลง

ได้แต่แอบคิดถึงเธอ แม่สาวน้อยของฉัน

เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด…”

หลังจากที่ฟางชิวร้องเพลงมาถึงท่อนนี้ ทุกคนก็จมดิ่งไปกับเพลง

ราวกับพวกเขาจะไม่ได้ฟังเพลง แต่กำลังฟังเสียงในใจของตัวเอง

ต่างคนต่างเต็มไปด้วยจินตนาการ เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาให้กับความรักในอนาคต พวกเขายังบ่นว่าเฒ่าจันทราทำให้ความรักของพวกเขาไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้

พวกเขาเกลียดท้องฟ้า เกลียดกลางคืน เกลียดกีตาร์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ความรักของพวกเขามาช้า

“สุดท้ายแล้ว แม่สาวน้อยของฉัน เธออยู่ที่ใด

ฉันอยากจะมอบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเธอ

ฉันอยากจะช่วยเธอแต้มดอกไม้สีเหลืองที่หน้าผาก

ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ใด”

สนามกีฬาทั้งหมดอบอวลไปด้วยบรรยากาศโรแมนติก ปราศจากความเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีแต่ความคาดหวังในความรักเท่านั้น

ไม่มีใครปรบมือ

ไม่ใช่ว่าพวกเขารู้สึกว่ามันแย่

แต่พวกเขาแค่ลืมเฉย ๆ

ทุกคนเหมือนจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องเพลงแล้ว เพราะต่างคนต่างตกอยู่ในความเพ้อฝันและความปรารถนาของตัวเอง

ฟางชิวไม่ได้กำลังร้องเพลง แต่กำลังกล่าวถึงเสียงในใจของพวกเขา

นี่เป็นเสียงของพวกเขา!

เป็นการปล่อยพวกเขาได้ร้องเพลงออกมา

คนที่ได้ฟังไม่อาจอธิบายได้ว่าไพเราะหรือไม่ เพราะมันอยู่นอกเหนือขอบเขตของการประเมินไปแล้ว

นี่ไม่ใช่แค่ความเพลิดเพลินในการฟังเพลง แต่เป็นการที่ฟางชิวใช้เสียงของตนเองนำทางให้พวกเขาเข้าไปยังก้นบึงในจิตใจของพวกเขาเอง

เราต่างได้ลิ้มรสความเยาว์วัย ลิ้มรสชาติแห่งความรัก!!

“ต้องโทษบรรยากาศของคืนนี้ ที่ทำให้คนเกือบจะเป็นบ้า

ต้องโทษกีตาร์ ที่เสียงแข็งเกินไป

โอ้ ฉันอยากร้องเพลง

ได้แต่แอบคิดถึงเธอ แม่สาวน้อยของฉัน

เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด…”

ความรู้สึกของทุกคนกำลังจะระเบิดอีกครั้ง

ความรักที่พวกเขาร้องขออยู่ที่ไหน?

ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาจากลำโพง

“สุดปลายแผ่นดิน สุดขอบท้องทะเล

พยายามมองหาเพื่อนรัก

น้องสาวตัวน้อยก็ร้องเพลงและบรรเลงเปียโน

พวกเรารวมเป็นหนึ่งใจ…”

ราวกับฤดูแล้งพานพบกับฤดูฝน พวกเขาเหมือนจะได้ยินคำตอบของคนที่รักแล้ว

เสียงนั้นไม่ต่างกับสายลมที่พัดผ่านมา ทำให้พวกเขารู้สึกสงบลง

อีกทั้งยังรู้สึกปลอดโปร่งใจ

คล้ายกับว่ามีเสียงหนึ่งกำลังพร่ำบอก สุดท้ายแล้ว หลังจากนี้จะมีคนรอพวกเขาอยู่เสมอ

ไม่ว่านานแค่ไหน ฉันจะไปตามหาเธอ จนกว่าฉันจะพบเธอ ไม่ว่าเธอจะอยู่สุดขอบโลกก็ตาม

เนื้อเพลงทำให้พวกเขาคาดหวังที่จะพบใครสักคน ฟังแล้วแอบบ่นในใจไม่ได้ เจอเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ

“ต้องโทษบรรยากาศของคืนนี้ ที่ทำให้คนเกือบจะเป็นบ้า

ต้องโทษกีตาร์ ที่เสียงแข็งเกินไป

โอ้ ฉันอยากร้องเพลง

ได้แต่แอบคิดถึงเธอ แม่สาวน้อยของฉัน

เธอมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ใด…”

เนื้อเพลงช่วงนี้ หลังที่จากบ่นแล้ว ก็เป็นคำสารภาพสุดน่ารัก

เมื่อใดก็ตามที่ฉันพบเธอ ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป

ฉันจะช่วยให้เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกเอง…

“ฉันอยากให้เธออยู่เคียงข้างฉัน

ฉันอยากดูเธอแต่งหน้า

สายลมที่พัดคืนนี้ พัดจนใจฉันเจ็บเหลือเกิน แม่สาวน้อยของฉัน…”

หลังจากเพลงจบลง ผู้ชมก็ยังคงเงียบ

ทุกคนจมอยู่ในหัวใจของตัวเอง ไม่สามารถที่จะคลี่คลายความรู้สึกของตัวเองได้เป็นเวลานาน

คนแรกที่ได้สติคือหลี่ชิงสือ แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเตือนสติตัวเองจากเสียงร้องเพลงของฟางชิวแล้ว แต่เขาก็ยังตกลงไปในภวังค์นั้นอยู่ดี

เพราะเขาไม่อยากจะฟังต่อ เขาจึงเป็นคนแรกที่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ไปสบกับดวงตาของฟางชิวตอนที่ร้องเพลงจบแล้วพอดี เขาเลยเผลอสูดอากาศเข้ากะทันหัน

ฟางชิวยิ้มเล็กน้อย เคาะนิ้วไปที่ไมโครโฟนในมือเบา ๆ

ตึก ๆ!

ทุกคนจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ ดวงตาของพวกเขางุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะได้สติขึ้นใดทันใด เสียงปรบมือของผู้ชมดังกึกก้องไปทั่ว!

“มารดามันเถอะ นี่เป็นเพลงที่ดี ฉันอยากจะร้องตามเลย!”

“อธิบายไม่ได้เลยว่าไพเราะแค่ไหน พูดได้คำเดียวว่ามันวิเศษมาก!”

“เทียบกับฟางชิวแล้ว เมื่อกี้หลี่ชิงสือร้องอะไรนะ?”

“ใช่ นี่แหละคือการร้องเพลงที่แท้จริง แม่เจ้า! อยากฟังมันอีกครั้งจริง ๆ!”

ทุกคนรู้สึกท่วมท้นไปกับเพลงที่พวกเขาได้ฟัง ต่างพากันแสดงอารมณ์เป็นคำสบถออกมา

จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนปรบมืออย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของพวกเขาทวีแดงขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาโดยรอบของผู้คน

เจ๋ง!

เจ้าห้าเก่งเกินไปแล้ว!

ผู้ชายคนนี้คงแอบซ่อนความสามารถมาตลอด ซ่อนลึกมากไปมันก็ไม่น่าสนใจหรอกนะ!

ตอนนี้ฟางชิวกำลังจะบดขยี้หลี่ชิงสือ ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ ด้วย!

สีหน้าของหลี่ชิงสือคล้ำลงจนน่ากลัวเมื่อเขาได้ยินคำพูดของคนในบริเวณนั้น

เขารู้ตัวว่า เขาแพ้การร้องเพลงในครั้งนี้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นจากเสียงวิจารณ์ของคนอื่นหรือการประเมินภายในใจของเขาเอง

ฟางชิวบดขยี้เขาจนแหลก

เขาร้องเพลงไม่เก่งเท่าฟางชิว

แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะนี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น!

เขาเตรียมอะไรเอาไว้มากมาย มากพอที่จะล้มฟางชิวลง!

ทว่าเห็นได้ชัดว่าฟางชิวไม่ยอมหลี่ชิงสืออีกต่อไป โดนเหยียบหน้าขนาดนี้แล้ว ถ้าฟางชิวไม่คิดที่จะเอาคืนก็ไม่ใช่คนแล้ว

“พวกเขาจะแสดงอะไรอีก!”

ฟางชิวมองหลี่ชิงสืออย่างเย็นชา แล้วชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงดุดันว่า “ทิ้งขยะในห้องของฉัน จงใจแจ้งผู้ดูแลหอพัก ตั้งใจขโมยการแสดงในพิธีเปิดกับนักร้องนำอย่างเจียงเหมี่ยวอวี๋ คราวนี้บังคับให้ฉันยอมลงแข่งร้องเพลง ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การเริ่มต้นของนาย ก็อย่าเพิ่งหยุดก่อนก็แล้วกัน!”

“จะเล่นสกปรกอะไรก็มาเลย!”

“ฟางชิวคนนี้พร้อมรับมือ!”

ทั่วทั้งสนามกีฬาเงียบสงัดทันที

ทุกคนตกใจกับการแฉหลี่ชิงสือของฟางชิว

แม่ง!

นี่มันสถานการณ์อะไรกันวะเนี่ย?

ทิ้งขยะในหอพัก แล้วยังแย่งร้องเพลงในพิธีเปิดอีก?

เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นว่าหลี่ชิงสือตั้งใจทำให้ฟางชิวลำบากใจ ฟางชิวเลยต้องโต้ตอบกลับ เรื่องนี้เข้าใจได้ อันนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

แต่สองเรื่องก่อนหน้านี้ล่ะ?

เหมือนว่าเรื่องราวมันจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ?

สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดก็คือ ฟางชิวไม่กลัวที่จะฉีกหน้าของหลี่ชิงสือในที่สาธารณะ

นี่คือประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเลยนะ ฟางชิว!

คงเป็นดั่งที่ตำราสงครามบอกเอาไว้ว่า ถ้าจะคิดการณ์ใหญ่ ใจต้องนิ่ง!

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท