บทที่ 50 ตะลึงกับรายชื่อในอันดับ
บทที่ 50 ตะลึงกับรายชื่อในอันดับ
“เหล่าเสิ่น ยินดีด้วย! คุณอยู่ในรายชื่ออีกแล้ว โบนัสคงจะไม่หายไปไหนแน่นอน!”
แพทย์ที่รู้จักเสิ่นชุนเป็นอย่างดีตบไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นชุนแค่ยิ้มตอบเพราะยังไม่ตื่นจากการตกใจที่เห็นชื่อของฟางชิว
“นี่ แผนกกระดูกและข้อของคุณมีหมอที่ชื่อฟางชิวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยล่ะ รูปถ่ายก็ไม่มีเลย”
แพทย์คนนั้นมองลงมาที่รายชื่ออีกครั้ง จากนั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นชื่อของฟางชิวอยู่ด้านล่าง
ในเวลานี้ มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้สังเกตเห็นชื่อฟางชิวแล้ว
“ใครคือฟางชิว ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้”
“ฉันก็เหมือนกัน มีหมอคนนี้ในแผนกกระดูกและข้อหรือเปล่า”
“ไม่เคยได้ยินเรื่องหมอคนใหม่มาก่อนเลย แล้วหมอคนใหม่มาอยู่ในรายชื่อได้ยังไง”
…
หลายคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว
รายชื่อในนั้นเป็นเป็นแพทย์อาวุโส แพทย์ที่เพิ่งมาใหม่จึงไม่น่ามีชื่อโผล่ให้เห็นได้
นี่เป็นความคิดภายในใจของบรรดาแพทย์ทั้งหลาย
แต่ใครจะอธิบายเรื่องนี้ได้ คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อ ทำไมถึงกับติดอันดับได้
ทุกคนจึงค่อย ๆ หันไปมองเสิ่นชุนด้วยสีหน้าสงสัย
เสิ่นชุนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก
เขาจึงพูดได้เพียงว่า “ฟางชิวเป็นหมอคนใหม่ในแผนกของพวกเราจริง ๆ วันนี้เขามาทำงานวันแรกน่ะ”
อะไรนะ!
วันนี้เป็นวันแรกของการทำงาน?
เป็นไปไม่ได้?
ทุกคนมองหน้าเสิ่นชุนด้วยความตกใจ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่สะสมคะแนนโหวต
แพทย์คนใหม่จะได้รับคำชมมากมายในวันแรกที่มาทำงานได้อย่างไรกัน
“อาจจะเป็นพวกหน้าม้าก็ได้” จู่ ๆ แพทย์หนุ่มคนหนึ่งก็พูดขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของแพทย์ทุกคนในที่นั้นก็แทบหยุดเต้นทันที
ในช่วงเริ่มต้นของการจัดอันดับแพทย์ดีเด่น มีแพทย์บางคนที่กระสับกระส่ายกลัวเสียหน้า พวกเขาจึงติดสินบนผู้ดูแลทางการแพทย์และคนอื่น ๆ เพื่อขอให้คนไข้ปลอมความคิดเห็นในเชิงบวกและโหวตให้พวกเขา พวกคนไข้ปลอมก็จะใช้เวลาไม่นานในการแสดงความคิดเห็น
ต่อมาทางโรงพยาบาลก็รู้เข้า หลังจากที่โรงพยาบาลไล่แพทย์จำนวนมากออกไปด้วยประเด็น ‘ไม่มีจริยธรรมทางการแพทย์’ ก็ไม่มีใครกล้าทำอีก
เวลาพบความผิดปกติของข้อมูล โรงพยาบาลจะตัดสินว่าคนไข้เป็นคนไข้จริงหรือคนไข้ปลอมผ่านแง่มุมต่าง ๆ อย่างเช่น กล้องวงจรปิด
ตอนนี้เลยไม่มีแพทย์คนไหนกล้าทำเช่นนั้นแล้ว
พวกเขาต้องจ่ายเงินมหาศาลกว่าจะได้ความคิดเห็นที่ดี
คุณสามารถช่วยคนไข้ชำระค่าลงทะเบียน ชำระค่ายาได้ ส่วนเหนือจากนี้นั้นไม่สมควรจ่าย
แต่ฟางชิวนี้เป็นน้องใหม่ ดังนั้นเขาจึงน่าจะยังไม่รู้กฎเกณฑ์และคงยังไม่กล้าลงทุนขนาดนั้น
ผู้คนจึงหันมามองเสิ่นชุนอีกครั้ง เสิ่นชุนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแผนกกระดูกและข้อ ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะอธิบาย
เสิ่นชุนขมวดคิ้ว พูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
“ทำไมล่ะครับ” แพทย์คนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“เขาเป็นน้องใหม่ จะต้องการคอมเมนต์ดี ๆ ไปเพื่ออะไร?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากเสิ่นชุน ทุกคนหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเงียบเสียงลง
เป็นไปได้อย่างไร
เป็นแค่นักศึกษา
อีกทั้งยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่งอีก
เด็กปีหนึ่งเพิ่งเปิดเทอมเองนะ!
เป็นนักศึกษาใหม่จริงหรือ?
อยากจะบ้าตาย!
แล้วมาตรวจโรคในโรงพยาบาลได้อย่างไร เขาจะเป็นแพทย์โดยที่ไม่ต้องเรียนหนังสือได้อย่างไร?
“เหล่าเสิ่นล้อเล่นแล้ว” แพทย์วัยกลางคนกลืนน้ำลายลงคอแล้วยิ้มแห้ง ๆ
สายตาของทุกคนหันไปมองเสิ่นชุนอีกครั้งด้วยความสงสัย
“ไม่ได้ล้อเล่น เขาได้รับการคัดเลือกจากผู้อำนวยการเป็นกรณีพิเศษ” เสิ่นชุนตัดสินใจบอกทุกคนว่าผู้อำนวยการเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
หลังจากที่เขาพูดจบ เขายังเสริมอีกว่า “ยังจำคนที่มาก่อความวุ่นวายในแผนกของพวกเราได้ไหม คนที่เครื่องมือตรวจไม่พบสาเหตุของโรค ที่ป่วยมามากกว่าหนึ่งเดือนน่ะ”
ทุกคนพยักหน้า เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในโรงพยาบาล ทำไมพวกเขาจะไม่รู้
เสิ่นชุนชี้ไปที่ชื่อ ‘ฟางชิว’ บนหน้าจอ
“เขารักษาหาย!”
“อะไรนะ?!”
แพทย์หลายคนร้องออกมาด้วยความตกใจ ฟางชิวคนนี้รักษาคนไข้ที่ไม่สามารถวินิจฉัยให้หายได้อย่างนั้นหรือ?!
มีเรื่องอย่างนี้ด้วย?
ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกใจมาก
ตอนพวกเขาได้ยินว่าฟางชิวได้รับคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษจากผู้อำนวยการ ความคิดแรกของพวกเขาก็คือ ฟางชิวต้องเป็นญาติของผู้อำนวยการแน่ ๆ!
แค่ได้ยินว่ารักษาคนไข้เจ้าปัญหาหายก็รู้แล้วว่าฟางชิวจะต้องเก่งกาจมากแน่นอน!
แต่เด็กปีหนึ่งจะเก่งขนาดนั้นเลยหรือ?
แพทย์บางคนที่นี่ตอนนี้ไม่ได้เรียนแค่สิบปีหรือยี่สิบปีถึงจะเข้าโรงพยาบาลนี้ได้ พวกเขาต้องสะสมประสบการณ์หลายปีกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้
ผลก็คือ วันนี้พวกเขาโดนชายหนุ่มโค่นในพริบตา
เรื่องนี้นับว่าน่าตลกไม่น้อย
เสิ่นชุนไม่ได้สนใจกับอาการตกใจของทุกคนมากนัก ก่อนที่จะเดินจากไป เขามองใบหน้าตกใจของทุกคนอย่างพึงพอใจ!
คนที่เขาค้นพบช่างน่าทึ่งจริง ๆ!
ฮ่า ๆๆ!!
อีกด้านหนึ่ง
ฟางชิวไม่ได้รับรู้ถึงความวุ่นวายในโรงพยาบาลที่เกิดจากตนเองเลย เขาไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหาร จากนั้นก็กลับมาที่หอพักเพื่ออ่านหนังสือ
แล้วเขาก็พบว่ารูมเมตทั้งสามคนอยู่ในหอพัก
“เจ้าห้า ตอนบ่ายนายไปทำอะไรมา ชมรมหนังสือพิมพ์นัดสัมภาษณ์พวกเราสามคน ผลคือทุกอย่างเป็นไปได้ดี ข้อเสียอย่างเดียวคือแต่ละชมรมต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกยี่สิบหยวน” เมื่อโจวเสี่ยวเทียนเห็นฟางชิวกลับมาก็รีบโม้ทันที
“ยี่สิบหยวนถือว่าเป็นค่าตั๋วไปหาสาว ๆ ไม่แพง ไม่แพง”
ซุนฮ่าวพูดขณะเปิดดูหน้าเว็บไปด้วย จากนั้นจึงหันไปหาฟางชิวแล้วถามว่า “เจ้าห้า ตอนนี้นายเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยของเราแล้ว มีอะไรจะพูดไหม”
“ตัวอย่างเช่น ขอบคุณรูมเมตของนายและเลี้ยงข้าวรูมเมตน่ะ?”
“ไม่!” ฟางชิวตอบด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“อนิจจา! จิตใจคนเราไม่เหมือนอดีตแล้ว!”
ซุนฮ่าวถอนหายใจแล้วส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “นายมีตังค์บริจาคไปตั้งสองหมื่นเก้าพันหยวน ไม่อยากบริจาคค่าขนมบ้างเหรอ?”
ฟางชิวตกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
เขาบริจาคไปตั้งสองหมื่นเก้าพันแล้ว ยังจะมาดูดเงินไปอีกเหรอคนพวกนี้?
นี่ไม่ใช่เรื่องดี!
“เจ้าห้า นายเป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองจริงปะ?”
ทันใดนั้น โจวเสี่ยวเทียนก็เดินมาประชิดหน้า พลางส่งสายตาหาฟางชิวด้วยสายตาเขินอายแล้วพูดว่า
“ฉันเป็นพ่อของทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง!”
ฟางชิวตีโจวเสี่ยวเทียนเบา ๆ “ฉันได้เงินมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เหลือเงินติดตัวพันสองร้อยหยวน ฉันสิที่ต้องให้พวกนายช่วย!”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ นายจะตีฉันอีกทำไม?” โจวเสี่ยวเทียนลูบไหล่พลางพึมพำ
สำหรับคำพูดของฟางชิวที่จะให้พวกเขาช่วยเหลือในภายหลังนั้น พวกเขาแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ช่วยเผด็จการอย่างนายน่ะเรอะ ไปเล่นไกล ๆ หน่อยเถอะ!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็โล่งใจเล็กน้อยที่ฟางชิวไม่ใช่ทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง เพราะนั่นอาจจะทำให้มีช่องว่างระหว่างฐานะของพวกเขาขึ้น
เหลือเงินเพียงพันสองร้อยหยวน จะใช้ชีวิตต่ออย่างไรล่ะทีนี้!
“พี่ใหญ่ ฉันมีข่าวดีมาบอก” ฟางชิวพูดกับจูเปิ่นเจิ้งที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
“ข่าวดีอะไร” จูเปิ่นเจิ้งถาม
“หวังอวี๋บาดเจ็บที่มือ เธอเจ็บมือขณะเล่นบาสเกตบอล” ฟางชิวกำลังจะสื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่นายจะต้องแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษออกมา
ใครจะคิดว่าก่อนที่ฟางชิวจะพูดอะไร จูเปิ่นเจิ้งก็ลุกจากเตียงด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เห็นได้ชัดว่าเขาโทรไปถามอาการของหวังอวี๋
ซุนฮ่าวมองไปที่ประตู พลางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ทีกับการเรียนนะ ยังไม่เห็นจะใส่ใจขนาดนี้เลย”
หลังจากพูดจบ ซุนฮ่าวก็หันไปมองฟางชิว ถามออกมาว่า “เจ้าห้า ถ้าหวังอวี๋ได้รับบาดเจ็บที่มือแล้วหยวนเป้ยล่ะ มือของเธอเจ็บด้วยไหม?”
“หวงหมานหม่าน ยังมีหวงหมานหม่านอีกคน เธอได้รับบาดเจ็บด้วยไหม” โจวเสี่ยวเทียนตะโกนมาจากด้านข้างทันที
“ไม่รู้สิ” ฟางชิวหมดคำจะพูด
เมื่อได้ยินฟางชิวพูดอย่างนี้ ทั้งสองคนก็รู้สึกผิดหวังในทันที
สิบนาทีต่อมา จูเปิ่นเจิ้งก็กลับมาด้วยสีหน้าแปลก ๆ แล้วมองฟางชิวด้วยสายตาสับสนระคนตกใจ
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น? แสดงความเป็นสุภาพบุรุษแล้วยังถูกปฏิเสธอีกเหรอ?” โจวเสี่ยวเทียนมองไปที่จูเปิ่นเจิ้งแล้วรีบถามไถ่
ซุนฮ่าวก็มองไปที่จูเปิ่นเจิ้งด้วยความสงสัยเช่นกัน
จูเปิ่นเจิ้งเพิกเฉยต่อพวกเขาทั้งสอง เขาหันไปถามฟางชิวแทน แต่เสียงของเขาดูเหมือนจะถูกบีบออกจากลำคอ “เจ้าห้า นายเป็นหมอใช่ไหม”
“หมอ? หมออะไร?” โจวเสี่ยวเทียนกับซุนฮ่าวถาม
“บ่ายวันนี้ เจ้าห้าอยู่ที่แผนกกระดูกและข้อของโรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเรา อาการบาดเจ็บที่นิ้วของหวังอวี๋ เจ้าห้าเป็นคนรักษาให้!” คำพูดของจูเปิ่นเจิ้งสร้างความตกตะลึงอย่างแท้จริงให้กับรูมเมตที่เหลือ
สมาชิกห้องพักห้าศูนย์หนึ่งเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
ภาพทั้งหมดเหมือนจะหยุดนิ่ง
ดวงตาสามคู่จับจ้องไปที่ฟางชิวด้วยความตกใจ และก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เจ้าห้ากลายเป็นหมอ?
นายเป็นหมอได้ไงวะฮะ?
ฟางชิวพยักหน้าให้ทั้งสามคนแล้วตอบว่า “ก็ฉันอยู่ที่นั่นตอนบ่าย”
ตู้ม!
จากนั้นห้องพักก็กลับมามีชีวิตชีวาในทันที
“เจ้าห้า นายไปเป็นหมอได้ไง?”
“ใช่แล้ว นี่เป็นความฝันของฉันหลังเรียนจบเลยนะ นายเป็นหมอแล้วจริง ๆ เหรอ”
“รีบบอกมาสิ นายเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ยังไง”
“พยาบาลสวยเปล่าน้องรัก”
“นายรู้สึกยังไงที่ได้ตรวจโรค มีความสุขเปล่า”
…
ทั้งสามคนยิงคำถามไม่หยุด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในตลาดผักทันที
“หยุด!”
ฟางชิวยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหน้าแล้วกำมันเอาไว้แน่น
ทั้งสามคนหยุดถามทันทีแล้วมองไปที่ฟางชิวอย่างกระตือรือร้น
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่เท้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว พวกนายก็อยู่ที่นั่นใช่ไหมล่ะ จำอาจารย์เสิ่นชุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ไหม คนนั้นแหละ เขาชอบทักษะการรักษาของฉันเลยเชิญฉันไปเป็นผู้ช่วยแพทย์ ทุกสุดสัปดาห์ฉันจะต้องไปที่นั่นในตอนบ่าย และบ่ายนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปตรวจโรค”
ฟางชิวอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะดูธรรมดา แต่ไม่ได้หมายความว่านายไม่เก่งนะ!!” โจวเสี่ยวเทียนมองไปที่ฟางชิวด้วยความประหลาดใจ
รูมเมตที่นอนด้วยกันกลายเป็นผู้ช่วยแพทย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนกฟีนิกซ์บินออกมาจากเล้าไก่
อา ไม่สิ
ความรู้สึกนี้เหมือนนกฟีนิกซ์บินออกจากรังหงส์ต่างหากล่ะ!
“เจ้าห้า ที่บ้านนายเป็นหมอกระดูกเหรอ?” จูเปิ่นเจิ้งถามด้วยความสงสัย
จู่เปิ่นเจิ้งจำฉากนั้นได้ หลังจากที่ฟางชิวเดินออกไป ดูเหมือนหมอเสิ่นจะไล่ตามฟางชิวไปด้วย
“ไม่ใช่ ฉันเรียนรู้กับคนอื่น”
ฟางชิวตอบอย่างคลุมเครืออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ไม่ต้องสนใจเรื่องฉันหรอก นายกับหวังอวี๋คุยโทรศัพท์กันเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จูเปิ่นเจิ้งก็ดูอายนิด ๆ
อีกสามคนในห้องพักประหลาดใจมากเลยเริ่มหยอกล้อพี่ใหญ่
“พี่ใหญ่ นายเขินขนาดนี้ เหมือนความสัมพันธ์จะก้าวหน้านะ!”
“เป็นไปได้ไหมที่สินค้าขายไม่ออกของพวกเราจะขายออกแล้ว ดีใจจัง พี่ใหญ่ ยินดีด้วย!”
ยิ่งพูด ใบหน้าของพี่ใหญ่ก็ยิ่งแดง
“ฉันจะไปร่วมกิจกรรมแรกของชมรม!” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวแล้วหนีออกจากห้องทันที
“อย่าหนีสิ เพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง เจ็ดโมงครึ่งเป็นเวลาสำหรับกิจกรรมไม่ใช่เหรอไง”
ซุนฮ่าวตะโกนไล่หลัง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้
“ไม่สิ ไปแต่เช้าดีกว่า จะได้มีเวลาคุยกับสาว ๆ มากขึ้น!” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็สวมรองเท้าและวิ่งออกไป
โจวเสี่ยวเทียนหายตัวไปทันทีที่เห็นอย่างนั้น สุดท้ายพวกรูมเมตก็ปล่อยให้ฟางชิวดูแลห้องพักคนเดียว
เมื่อเห็นทั้งสามคนจากไป ฟางชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แทนที่จะอ่านหนังสือต่อไป เขาเลือกที่จะไปนั่งบนเตียงเพื่อฝึกฝนจิตใจ
ทันทีที่จัดท่านั่งเสร็จ ฟางชิวก็ใช้ความคิดของเขาในการควบคุมเหรียญทองแดง
‘ไปทางซ้าย’
และแล้วฉากอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น!
เหรียญทองแดงเคลื่อนที่ไปทางซ้ายจริง ๆ!