บทที่ 60 เธอทำเสร็จแล้วเหรอ?!!
บทที่ 60 เธอทำเสร็จแล้วเหรอ?!!
ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นอาจารย์เฉียวมู่รอเขาอยู่ที่หน้าประตู และยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องไปทำแบบทดสอบอีกครั้ง
แต่เขาก็ยังตอบตกลงที่จะไปที่สำนักงานคณบดี หลังจากที่เรียนวิชาที่สองเสร็จ
เฉียวมู่ไม่ได้บอกเหตุผลให้ฟางชิวรู้ เขาไม่ต้องการให้นักศึกษาธรรมดามีส่วนร่วมในเรื่องราวบาดหมางระหว่างคณบดีกับรองคณบดี
เพราะสิ่งเดียวที่นักศึกษาควรทำตอนนี้คือการตั้งใจเรียน!
เฉียวมู่กลับไปที่สำนักงานของคณบดีแล้วรายงานให้คณบดีทราบว่าฟางชิวกำลังเรียนอยู่
คณบดีพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นเขาก็มองไปทางจางซินหมิงที่เพิ่งกลับมาหลังจากไปเอาแบบทดสอบ
จางซินหมิงหยิบแบบทดสอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นแบบทดสอบในรอบแรกของการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนเมื่อปีก่อน เพราะพวกคุณบอกว่าฟางชิวเก่งมาก งั้นก็ให้เขาทำแบบทดสอบชุดนี้เป็นไง”
แบทดสอบการแข่งขันของปีที่แล้ว?
ใบหน้าของเฉียวมู่กับฉีไคเหวินถึงกับเหยเกอยู่ครู่หนึ่ง
พวกเขาจำได้ดีว่าคำถามในการแข่งขันของปีที่แล้วเรียกได้ว่าเป็นคำถามมรณะของการแข่งขันแห่งปีเลยก็ว่าได้!
เพราะเป็นคำถามที่ไม่ยุติธรรมกับผู้แข่งมาก!
ในปีนั้น นักศึกษาทั้งหมดแปดสิบเอ็ดคนจากเก้ามหาวิทยาลัย แต่ได้คะแนนดีที่สุดแค่หกสิบห้าคะแนนเท่านั้น
แย่สุดคือสิบห้าคะแนน ซึ่งมันต่ำจนน่ากลัว!
เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งว่าแบบทดสอบนี้ยากและไม่ยุติธรรมเพียงใด!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จางซินหมิงจะยอมเห็นด้วยง่าย ๆ เพราะกำลังรอให้พวกเขาติดกับนี่เอง
ในตอนแรก จางซินหมิงไม่เคยพูดถึงแบบทดสอบชุดนี้มาก่อนเลย เดาได้ว่าเขาต้องการระบายความแค้นส่วนตัว พอรู้ว่าฟางชิวกำลังเรียนอยู่ก็เลยรีบไปหยิบแบบทดสอบชุดนี้มาทันที
ร้ายกาจ!
จางซินหมิงมองทั้งสองคนอย่างเยาะเย้ย อีกทั้งยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก
ต้องการที่จะสู้กับเขาหรือ?
ยังอ่อนหัดนัก!
เขาไม่เชื่อว่าผู้ชายที่ชื่อฟางชิวจะสามารถตอบคำถามแบบทดสอบชุดนี้ได้
ยิ่งฟางล้มเหลวมากเท่าไรก็จะร่วงหล่นลงพื้นมากขึ้นเท่านั้น
จางซินหมิงไม่เชื่อถือคะแนนที่สมบูรณ์แบบบนกระดาษทดสอบของฟางชิวเลย
ไม่มีนักศึกษาที่เก่งขนาดนั้นอยู่หรอก
เขารู้สึกว่านักศึกษาคนนี้ต้องเส้นสายส่วนตัวในการขอเข้าไปอยู่รายชื่อแน่ ๆ บางทีฟางชิวอาจจะมีพื้นฐานดี แต่ก็ไม่มีทางรู้หมดทุกอย่างหรอก หลังทดสอบเสร็จ เขาจะกลับไปให้กำลังใจหลี่ชิงสือ อย่างไรซะหลานชายของเขาก็เอาชนะฟางชิวได้แน่นอน
“เป็นยังไงล่ะ พอได้ใช่ไหม?” จางซินหมิงถามทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
“รองคณบดีจางครับ แบบทดสอบนี้ยากเกินไป ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กอัจฉริยะก็เถอะ เขาจะทำได้ยังไง” เฉียวมู่ตอบพลางส่งยิ้มพิลึก ๆ มาให้
“พวกคุณเอาแต่พูดว่าเด็กคนนั้นมีความสามารถ แล้วคนที่มีความสามารถจริง ๆ จะมากลัวอะไรกับแบบทดสอบที่ยากแค่นี้?” จางซินหมิงพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉีไคเหวิน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ รอให้ฟางชิวมาก่อน” ฉีไคเหวินบอกอย่างใจเย็น แต่ในใจของเขานั้นไม่สงบเลย
การต่อสู้รอบนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์นี้เท่านั้น คนอื่นไม่สนใจหรอกว่าแบบทดสอบนี้จะยากสักแค่ไหน
ถ้าฟางชิวถูกคัดชื่อออก ครั้งนี้ฉีไคเหวินจะแพ้ให้กับรองคณบดี
ฉีไคเหวินทำได้เพียงภาวนาขอให้ฟางชิวมีความสามารถจริง ๆ ตามที่เฉียวมู่กล่าว
เวลา 11:40 น. ฟางชิวก็ออกจากชั้นเรียน เขาส่งกระเป๋าให้รูมเมตและขอให้พวกเขาเอากลับไปที่หอพักด้วย จากนั้นตนก็ไปตึกคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนคนเดียว
เมื่อมาถึงห้องทำงานของคณบดี ฟางชิวก็เคาะประตูสามครั้ง
“เข้ามา!” เสียงอนุญาตจากข้างในดังลอดออกมา
ฟางชิวเปิดประตูเข้าไป แล้วเห็นว่ามีคนทั้งหมดสามคนนั่งอยู่ในห้องนั้น
ฟางชิวรู้จักแค่เฉียวมู่เท่านั้น
“คณบดีฉี รองคณบดีจาง นี่คือฟางชิวครับ”
เฉียวมู่ลุกขึ้นยืนและเอ่ยแนะนำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แนะนำให้ฟางชิวรู้จักกับคนในห้อง “นี่คือคณบดีฉีของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนของพวกเรา แล้วนั่นคือรองคณบดีจาง”
“สวัสดีครับ ท่านคณบดีและท่านรองคณบดี” ฟางชิวโค้งคำนับและคำนับ
ฉีไคเหวินกับจางซินหมิงจ้องมองนักศึกษาที่พวกเขาเคยได้ยินแต่ชื่ออย่างสนใจ โดยเริ่มมองตั้งแต่ฟางชิวเปิดประตูเข้ามา
พวกเขาดูทุกอย่าง แม้แต่การพูดทักทาย แล้วก็เห็นสี่คำที่บ่งบอกถึงนิสัยของนักศึกษาคนนี้
ไม่มีการนอบน้อม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า มีความหยิ่งยโสนั่นเอง!
ไม่เลว!
ฉีไคเหวินแอบพูดในใจ ส่วนจางซินหมิงแอบคิดว่า
นี่เป็นนักศึกษาที่เก่งกว่าหลานชายของเขาอย่างนั้นหรือ? ได้ยินว่าหลี่ชิงสือก็ถูกชายคนนี้ทำให้ขายหน้านี่?
จางซินหมิงมองไปที่ฟางชิวอีกครั้ง
ฉันจะดูซิว่าเธอจะหนีจากเงื้อมมือของฉันได้อย่างไรในวันนี้!
“ในเมื่อคนก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเรามาทำแบบทดสอบกันเถอะ” จางซินหมิงหยิบกระดาษออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะกาแฟข้างโซฟา
ฟางชิวเหลือบมองจางซินหมิง สัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของรองคณบดีที่มีต่อตนอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มสับสนมาก เขาไม่เคยทำให้รองคณบดีโกรธเคืองสักหน่อย
จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เฉียวมู่หวังจะสอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ แต่เฉียวมู่แค่พยักหน้าให้แล้วยื่นปากกามาก็เท่านั้น
ฟางชิวจึงหยิบปากกาขึ้นมาก่อนจะไปนั่งบนโซฟาพร้อมที่จะทำแบบทดสอบ
“มีเวลาหนึ่งชั่วโมง” จางซินหมิงกล่าว
ฟางชิวพยักหน้าแล้วเริ่มทำแบบทดสอบอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ต้องทำแบบทดสอบอีก แต่ทั้งสามคนในสำนักงานดูจริงจังมาก มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้แน่นอน
แต่แค่ทำแบบทดสอบ ก็ช่วยตรวจสอบระดับความรู้ในตัวได้
ฟางชิวรีบเขียนจนเกิดเป็นเสียงดังแกร่ก ๆ คลอไปทั้งห้อง
เวลาผ่านไป สายตาของคนสามคนในสำนักงานก็ยังคงจ้องมองไปที่ฟางชิวจากมุมห้อง
หนึ่งนาที
สองนาที
ห้านาที
สิบนาทีผ่านไป
นักศึกษาที่ชื่อฟางชิวไม่คิดหยุดเขียนสักหน่อยเหรอ?
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสามคนประหลาดใจ โดยเฉพาะจางซินหมิง
เขารู้ถึงความยากของแบบทดสอบชุดนี้ ฟางชิวทำแบบทดสอบอย่างรวดเร็วและไม่หยุดพักได้อย่างไร?
จางซินหมิงต้องการเห็นคำตอบ แต่กลัวฉีไคเหวินจะบอกว่าเขาจงใจแทรกแซงการทดสอบ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองอย่างสงสัยเท่านั้น
ความเชื่อมั่นในใจของฉีไคเหวินเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ความประหลาดใจก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
นักศึกษาคนนี้ดีพอที่เขาจะเอามาสู้กับฉีไคเหวินในครั้งนี้ไหมนะ?
ถ้าเป็นอย่างนี้ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนก็ถือได้ว่าสามารถสรรหาผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง!
ในตอนแรก เฉียวมู่ยังกังวลว่าฟางชิวจะเอาชนะคำถามของแบบทดสอบปีศาจชุดนี้ไม่ได้ แต่พอได้เห็นฟางชิวทำแบบทดสอบโดยไม่หยุดพักเหมือนตอนทำแบบทดสอบในห้องเรียนแล้ว เฉียวมู่จึงค่อย ๆ คลายความกังวลใจไป
ฟางชิวพลิกกระดาษทดสอบและทำข้อสอบต่อไป ในช่วงเวลาที่กระดาษกำลังพลิก ทั้งสามคนก็เห็นคำตอบที่หนาแน่นบนกระดาษ
ดวงตาของฉีไคเหวินและเฉียวมู่เปล่งประกายตื่นเต้น ส่วนจางซินหมิงยังคงยิ้มต่อไป ทว่าดวงตาดูมืดมนเล็กน้อย
สิบห้านาที
ยี่สิบนาที
สามสิบนาที
สี่สิบนาทีผ่านไป
ยังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีก่อนครบหนึ่งชั่วโมงตามที่จางซินหมิงกำหนด ฟางชิวยังคงเขียนคำตอบตั้งแต่ต้นจนจบและไม่มีการหยุดพัก ดูเหมือนว่าทุกคำถามไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดเลย
ชายหนุ่มเขียนทันทีที่เห็นเลยก็ว่าได้ พอทำข้อหนึ่งเสร็จแล้วก็ทำข้อต่อไปทันที
ไม่ปวดมือบ้างเลยเรอะ!
จางซินหมิงแอบสูดอากาศเข้าปอด ภายในหัวใจของเขาเริ่มก่อลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น
พอครบสี่สิบห้านาที ฟางชิวก็หยุดเขียน พฤติกรรมนี้ทำให้ดวงตาของจางซินหมิงสว่างวาบขึ้นทันที
สุดท้ายก็ทำต่อไม่ได้แล้วใช่ไหมล่ะ?
แต่ฟางชิวกลับวางปากกาลงแล้วหยิบกระดาษทดสอบขึ้นมา เขาลุกยืนขึ้น มองไปที่ทั้งสามคนแล้วพูดว่า “เสร็จแล้วครับ”
คุณพระ!!
ทั้งสามคนตกใจ
เสร็จแล้ว?
นี่ใช่แบบทดสอบปีศาจหรือเปล่า?
ทำเสร็จแล้ว?
ภายในสี่สิบห้านาที???
ไม่มีใครทำแบบทดสอบนี้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ทุกคนจะเขียนคำตอบจนถึงวินาทีสุดท้ายของการส่งกระดาษทดสอบ
แต่ฟางชิวกล้าบอกว่าทำเสร็จแล้ว
“ฟางชิว เธอทำเสร็จแล้วเหรอ” เฉียวมู่ถามด้วยความตกใจ
ฟางชิวพยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้!” จางซินหมิงหาเสียงของตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ
เขาทำเสร็จได้อย่างไร?
ในฐานะอาจารย์ เขาอาจจะทำยังไม่เสร็จภายในสี่สิบนาทีด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนักศึกษาที่เพิ่งเข้าเรียนแค่สองคลาส!
ฉีไคเหวินเดินไปหยิบกระดาษทดสอบจากมือของฟางชิวแล้วพลิกอ่านอย่างรวดเร็ว
แล้วเขาก็พบว่าฟางชิวทำเสร็จแล้วจริง ๆ!
ฉีไคเหวินเงยหน้ามองหน้าฟางชิวอย่างประหลาดใจ ฟางชิวใช้เวลาแค่สี่สิบนาทีในการทำแบบทดสอบของการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยเมื่อสองปีที่แล้วได้อย่างไร
เขากวาดสายตาอ่านคร่าว ๆ
คำถามข้อบน ๆ ไม่ได้เขียนตอบมั่ว ๆ และคำถามบางข้อก็ตอบได้ดีมาก
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงผลิตคนเก่งออกมาได้จริง ๆ หรือ?
“รองคณบดีจาง คุณต้องการตรวจคำตอบเลยไหม หรือว่าจะให้ฟางชิวเช็กกระดาษทดสอบอีกครั้งก่อน?” ฉีไคเหวินยิ้มพร้อมกับส่งกระดาษทดสอบให้จางซินหมิง
จางซินหมิงรับกระดาษทดสอบมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่ได้ถามฟางชิวว่าต้องการตรวจอีกรอบใหม่ด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเขาบอกว่าทำเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเช็กหรอก”
จางซินหมิงหยิบกระดาษเฉลยออกจากกระเป๋าตัวเอง แล้วเริ่มอ่านคำถามทีละข้อ
คำถามแรกถูกต้อง
อืม ก็แค่คำถามแบบปรนัย มันก็จะง่ายแบบนี้แหละ อีกทั้งยังเดาได้ง่ายด้วย
คำถามที่สองถูกต้อง
เขาตอบถูกอีกแล้ว!
คำถามที่สามถูกต้อง
ดวงดีจริง ๆ นะเอ็ง!
คำถามที่สี่ถูกต้อง
โชคดีอะไรขนาดนั้น!
คำถามที่ห้าก็ถูกต้องเช่นกัน
…
จนถึงคำถามที่สิบ จางซินหมิงก็เงียบไป
มีคำถามแบบปรนัยสิบคำถามติดต่อกัน
ดูเหมือนว่าฟางชิวคนนี้ยังมีพื้นฐานอยู่บ้าง เพราะฉีไคเหวินไม่น่าจะใช่คนที่ดันใครขึ้นมาปุปปัป
นี่ถือว่าเป็นคำถามที่ง่ายที่สุด เมื่อสองปีที่แล้วมีนักศึกษาแปดสิบเอ็ดคนทำแบบทดสอบนี้ ส่วนใหญ่คนตอบคำถามผิดเพียงข้อเดียวในสิบข้อแรก ส่วนคำถามอื่น ๆ ตอบถูกต้องทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าคำถามทั้งสิบข้อนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ!
ฟางชิวตอบคำถามทั้งสิบข้อได้ถูกต้อง และได้รับคะแนนไปแค่ห้าคะแนนเท่านั้น!
จางซินหมิงอ่านคำตอบไปเรื่อย ๆ
คำถามที่สิบเอ็ด
ถูกต้อง
คำถามที่สิบสอง
ถูกต้อง
คำถามที่สิบสาม
ถูกต้อง
…
จางซินหมิงเอาแต่จ้องคำถามข้อที่ยี่สิบ
ตอบคำถามถูกต้องทั้งหมดเลย!
เขาทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
จางซินหมิงจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อสองปีก่อน มีนักศึกษาแค่สี่สิบคนเท่านั้นที่ตอบคำถามถูกสิบข้อ จากทั้งหมดยี่สิบข้อ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฟางชิวเรียนมาจนถึงระดับที่ทำแบบทดสอบของสองปีที่แล้วได้ นี่ทำให้เขายอมรับได้ยาก
นักศึกษามากกว่าแปดสิบคนที่ทำข้อสอบนี้ได้เตรียมตัวมาตลอดทั้งเดือน พวกเขาทบทวนความรู้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาไม่ดีสักเท่าไร
เด็กคนนี้เรียนมานานแค่ไหนแล้ว?
หนึ่งสัปดาห์กับอีกครึ่งวัน!
แถมยังเข้าร่วมการฝึกทหารด้วย ใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์เท่านั้น
เรียนมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
ใช้เวลาเตรียมตัวในช่วงวันหยุดฤดูร้อนหรือเปล่า?
จางซินหมิงอดคิดไม่ได้ แต่เขาก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที
นักศึกษาที่เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีหรือจะไม่เอาแต่เล่นสนุก การเรียนก็เหมือนแมลงปอที่กำลังกินน้ำ ค่อย ๆ กินทีละนิด ถ้าอัดความรู้เข้าไปในหัวเยอะ ๆ สุดท้ายแล้วก็จำได้ไม่หมดอยู่ดี
แค่เดาเท่านั้น!
ฟางชิวแค่เดาถูกเท่านั้นแหละ!
จางซินหมิงมั่นใจในความคิดตัวเองมาก เขาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง
มาถึงคำถามที่ตอบได้มากกว่าหนึ่งคำตอบ
ความยากมากกว่าคำถามปรนัยสองเท่า
เขาจำได้ว่ามีเพียงสิบห้าคนเท่านั้น ที่ตอบคำถามแบบที่ตอบได้มากกว่าหนึ่งคำตอบถูกต้องทั้งหมดยี่สิบข้อ
ข้อแรก
ถูกต้อง
ก็แค่ดวงดีเท่านั้นแหละ!
ข้อที่สองถูกต้องอีกแล้ว
หรือว่าเรากำลังทำตัวเองขายหน้า?
ฉีไคเหวินคิด
ข้อที่สาม
เขาตอบผิด!
ฮ่า ๆๆๆ…
สุดท้ายก็ตอบผิด!
โชคดีของแกหมดลงแล้ว!!!
จางซินหมิงมีความสุขมาก ใบหน้าของเขาฉายแววความเบิกบานออกมา
ฟางชิวสังเกตเห็นการแสดงออกของจางซินหมิง ขณะคิดในใจว่าคำถามข้อนั้นเป็นคำถามที่เขาตั้งใจตอบผิดเอง
ชายหนุ่มมั่นใจ ว่าเขาจะต้องเคยทำให้จางซินหมิงไม่พอใจแน่นอน
ไม่เช่นนั้นจางซินหมิงจะรู้สึกยินดีกับคำถามที่เขาตอบผิดได้อย่างไร
คำถามนั้นเป็นจุดบอดของเขาจริง ๆ เพราะเขาไม่ได้อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องของคำถามมาก่อนเลย และไม่แปลกที่เขาจะตอบผิด
ฉีไคเหวินกับเฉียวมู่ต่างก็ตกตะลึง
พวกเขาไม่ได้อ่านแบบทดสอบเลยไม่รู้ว่าฟางชิวตอบคำถามแบบทดสอบอย่างไร พอพวกเขาเห็นจางซินหมิงมีความสุขมากก็คิดว่าคำตอบของฟางชิวนั้นอาจจะผิด
จางซินหมิงเพิกเฉยต่อทั้งสามคนที่อยู่ในห้อง และยังคงตรวจคำตอบต่อไป
เอาล่ะ คำถามที่สี่