บทที่ 66 รายชื่ออาจารย์!
บทที่ 66 รายชื่ออาจารย์!
[ลองนึกดูสิ ตราบใดที่พวกเราเรียนรู้จากอาจารย์และได้ประสบการณ์จริง หลังจากที่พวกเราเรียนจบ พวกเราก็สามารถข้ามช่วงฝึกงาน แล้วกลายเป็นแพทย์ได้ทันที]
[นี่… เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง?]
[ฝึกงานกับอาจารย์เหรอ มันมีประโยชน์สำหรับพวกเทพ ๆ เท่านั้นแหละ!]
[ไม่หรอก ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับเด็กหัวกะทิเท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์สำหรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกคนด้วย การฝึกงานนี้ทำให้พวกเรียนอ่อนมีโอกาสได้ตอกหน้าคนอื่นกลับแล้ว…]
ทุกคนพูดคุยกันอย่างเมามันในเว็บบอร์ด ยิ่งคุยกันมากเท่าไรก็ยิ่งสนใจการฝึกงานนี้มากขึ้นเท่านั้น
การถกเถียงยังดำเนินไปอย่างดุเดือดในหัวข้อนี้
ไม่นานก็มีโพสต์ใหม่ถูกโพสต์ลงมาอีก
‘ใครเป็นคนเสนอความคิดการฝึกงานนี้อ่ะ? โคตรเจ๋งเลย นับถือ ๆ!’
ทันทีที่โพสต์นี้ปรากฏขึ้นก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้ามาพูดคุยกันในทันที
[เมนต์แรกครับ!]
[นับถือเหมือนกัน!]
[หลังจากที่พวกเราฝึกงานแล้ว เราไม่ได้แค่เรียนรู้ตามทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังได้ฝึกฝนตนเองด้วย ลองนึกภาพตามสิ หลังจากนี้ตอนเรากลับบ้านในช่วงปิดเทอม เราจะสามารถจ่ายยาให้ญาติและเพื่อนของเราได้ คิดดูสิว่าจะเท่แค่ไหน]
[ใช่แล้ว ให้ไอ้คนที่ดูถูกพวกเราตอนเลือกเรียนแพทย์แผนจีนเบิกตาดูกว้าง ๆ สิว่า พวกเราน่ะมีพรสวรรค์จริง ๆ!]
[ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นแล้ว!]
[ความคิดที่จะให้ฝึกงานกับอาจารย์ดีมากจริง ๆ อ่ะ]
[ใครเป็นคนคิดวิธีการดี ๆ แบบนี้นะ จะโคตรพ่อโคตรแม่ฉลาดเกินไปแล้ว!]
[นับถือ +10000!]
ใต้โพสต์มีหลายคนได้คอมเมนต์ทิ้งไว้ เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ที่เสนอความคิดนี้!
เพราะความใส่ใจในเรื่องการฝึกงานมันช่างน่าทึ่งจริง ๆ!
ตอนที่ทุกคนกำลังเดากันว่าใครเป็นคนคิดไอเดียนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีอีกโพสต์หนึ่งปรากฏขึ้นมา
‘คนที่เสนอให้ฝึกงาน เป็นรองอธิการบดีคณะแพทย์แผนจีน?’
ตัวโพสต์ได้ตั้งคำถามดังกล่าวเอาไว้ และมันก็กระตุ้นความอยากรู้ของทีมเผือกได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาภายในโพสต์นั้นเรียบง่ายมาก
[ว่ากันว่าแนวคิดการฝึกงานนี้ได้รับการเสนอจากคณบดีฉีไคเหวิน เขาเป็นคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน รองคณบดี จางซินหมิงก็สนับสนุน แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจดำเนินโครงการนี้หลังจากที่เจรจากับคณบดีของคณะอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย
แต่…
จากข่าววงใน ยังมีเรื่องซุบซิบว่าคนที่เสนอไอเดียที่แท้จริงของการฝึกงาน จริง ๆ แล้วเป็นแค่นักศึกษา แถมยังเป็นแค่นักศึกษาใหม่ด้วย]
อ่านแล้วทุกคนก็เกิดอาการอึ้ง
[เป็นไปได้ไงวะ? เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าเรียนเสนอไอเดียแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?]
[เจ้าของโพสต์ต้องบอกว่าคนต้นคิดของไอเดียนี้เป็นคณบดีฉีไคเหวินกับรองคณบดีจางซินหมิงสิ ฉันถึงจะเชื่อ แต่บอกว่าคนที่เสนอไอเดียเป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง มันเป็นไปได้เหรอ?]
[จริงเปล่าเนี่ย?]
[เจ้าของโพสต์ยังบอกด้วยนี่ว่ามันเป็นข่าวซุบซิบ แต่ข่าวซุบซิบจะเชื่อถือได้แค่ไหนกันเชียว ไม่เคยได้ยินคำโบราณเขาพูดเหรอ อย่าเชื่อข่าวลือ อย่าปล่อยข่าวลือ อย่าโกหก!]
[ใช่แล้ว นอกจากนี้ เด็กปีหนึ่งก็เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักสักเท่าไหร่อะ เขาจะเสนอไอเดียการฝึกงานนี้ออกไปตรง ๆ ได้ยังไง?]
[ไม่ว่าใครจะเป็นคนเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา]
[ใช่แล้ว พวกเรามาสนใจผลประโยชน์ตรงนี้กันดีกว่า…]
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกงานที่กำลังจะเกิดขึ้น
งานกินเลี้ยงของมหาวิทยาลัยยังไม่สามารถทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยครึกครื้นได้เท่านี้เลย!
หลังมื้อเที่ยงจบลง ยังมีเวลาพักผ่อนอีกนิดหน่อย นักศึกษาบางคนเลยกลับมาที่หอพัก ในขณะที่เหล่านักศึกษากำลังรวมตัวกันในหอพักอยู่นั้น การพูดคุยของหัวข้อการฝึกงานในเว็บบอร์ดก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดสงครามไปทุกหย่อมหญ้าจริง ๆ
ห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง
“คนในเว็บบอร์ดพากันยกย่องคนที่เสนอไอเดียการฝึกงาน ได้ยินว่าเป็นน้องใหม่ที่เสนอไอเดียนี้ขึ้นมา พวกนายคิดว่าไง” ซุนฮ่าวถามในขณะที่ดูเว็บบอร์ดไปด้วย
“ก็ต้องขอคารวะน่ะสิถามได้ ฉันไม่สนหรอกว่าใครจะเป็นคนเสนอ!”
โจวเสี่ยวเทียนที่นอนอยู่บนเตียงสภาพเหมือนปลาตายยกมือตนเองขึ้นมามอง จากนั้นก็ถอนหายใจ เขากระซิบถามเบา ๆ ว่า “ทำไมฉันถึงคิดเรื่องดี ๆ แบบนี้ไม่ออกบ้างนะ”
พอเห็นว่าไอเดียนี้ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก เขาก็นึกภาพออกเลยว่ามันจะดีสักแค่ไหน ถ้าเขาเป็นคนเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา!
ความรู้สึกที่ได้รับคำชื่นชมมันคงจะดีมากแน่ ๆ เลย!
“ขอนับถือด้วย! ไอเดียนี้แม่งน่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
จูเปิ่นเจิ้งพูดด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ “โครตเข้าท่า ยังต้องพูดเรื่องประโยชน์ของการฝึกงานอีกเหรอ ฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเสนอไอเดียนะ แต่ต้องยอมรับว่าสมองของคนเสนอไอเดียแข็งแกร่งจริง ๆ ว่ะ!”
“แข็งแกร่งจริง ๆ นั่นแหละ! พวกเราจะเทียบก็เทียบไม่ติดหรอก”
ซุนฮ่าวปิดหน้าเว็บบอร์ดแล้วหันกลับมาพูดกับทุกคนว่า “พวกเราควรปรึกษาเรื่องการฝึกงานกันตอนนี้ดีไหม”
“ไม่ต้องรีบหรอก ข้อบังคับอะไรก็ยังไม่ประกาศออกมาเลย ยังถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ!” โจวเสี่ยวเทียนยังคงตอบแบบเพ้อฝันต่อไป
“เด็กน้อยที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวันอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร?” ซุนฮ่าวมองโจวเสี่ยวเทียนอย่างดูถูก เขาหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะพูดว่า “พวกเรามีเวลาเพียงพอที่จะหาอาจารย์ดี ๆ ก่อนที่ข้อบังคับจะประกาศออกมาไม่ใช่เหรอ พวกนายก็รู้ว่าเรื่องฝึกงานน่ะเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเกิดพวกนายอยากฝึกงานกับอาจารย์ท่านหนึ่ง แต่อาจารย์ไม่ยินยอมรับศิษย์โง่ ๆ จะทำยังไง ต้องรอให้ข้าวสารหุงกลายเป็นข้าวสุก*[1] ก่อนเหรอถึงค่อยมาปรึกษากันน่ะ!”
“ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย” โจวเสี่ยวเทียนลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งรีบแล้วพูดอย่างกังวลว่า “ไม่ได้การแล้ว พวกเรามาปรึกษาเรื่องนี้กันดีกว่า!”
“เจ้าห้า นายร้ายกาจกว่าพวกเรา นายมีความคิดเห็นอะไรไหม” โจวเสี่ยวเทียนมองไปที่ฟางชิวด้วยสายตาวิบวับ
ฟางชิว “…”
โห!
ฉันร้ายกาจตรงไหนกัน?
จะเสแสร้งยอกันก็ช่วยทำให้มันเป็นธรรมชาติกว่านี้ไม่ได้เหรอ?
“ไม่มีความเห็น” ฟางชิวตอบแบบหมดคำจะพูด
เขาไม่รู้จริง ๆ แม้ว่าเรื่องนี้จะกวนใจเขาตลอดเวลาก็ตาม
ทุกอย่างมันดำเนินการเร็วเกินไป
คำแนะนำที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อวานนี้กลับได้รับการดำเนินการอย่างจริงจังโดยคณบดีกับรองคณบดีแล้วในวันนี้
เรียกได้ว่าไม่ได้ให้เวลาเขาในการวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติมเลย
ถึงความเร็วยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่ยิ่งเร็วเท่าไรเขาก็ยิ่งวางใจเท่านั้น
เทียบกับการแข่งขันที่เสียเวลาและน่าเบื่อแล้ว การดำเนินการที่เร่งรีบแบบนี้ถือว่า คุ้มค่า!
ระหว่างกินข้าวเที่ยง ฟางชิวก็ได้ยินว่าคนทั้งโรงอาหารกำลังพูดถึงการฝึกงานอยู่ ชายหนุ่มมีความสุขมากที่ได้เห็นความกระตือรือร้นและความหวังบนใบหน้าของทุกคน
เขาไม่สนใจคำเยินยอของทุกคน
สิ่งที่เขาสนใจก็คือผลประโยชน์ของทุกคน
ไม่ว่าทุกคนจะชื่นชมเขามากแค่ไหน แต่ฟางชิวก็ทำแค่เสนอไอเดียออกไปเท่านั้น
ทั้งหมดคณบดีเป็นคนจัดการต่างหาก
“เจ้าห้า นายเป็นหมอแล้ว นายยังต้องฝึกงานในโรงพยาบาลอีกรึเปล่าเนี่ย?” ซุนฮ่าวหัวเราะอย่างสดใสแล้วเอ่ยต่อว่า “ไม่งั้นก็แนะนำอาจารย์ให้พี่น้องของนายสิ ฉันไม่อยากได้อาจารย์ที่โด่งดังเกินไป ขอแค่มีอาจารย์คอยดูแลตอนฝึกงานก็พอแล้ว”
“ใช่แล้ว!” หลังจากที่ซุนฮ่าวกล่าวถึงเรื่องนี้ ดวงตาของโจวเสี่ยวเทียนก็สว่างขึ้นทันที เมื่อมองไปที่ฟางชิว เขาก็ขอร้องวิงวอนว่า “เจ้าห้า ความสุขในอนาคตของพี่น้องขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”
สายตาของทั้งสามคนในหอพักมองฟางชิวเป็นตาเดียว
ฟางชิวหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะเขารู้จักคนในโรงพยาบาลจริง ๆ!
…
หอพักหญิง
“คนเสนอไอเดียการฝึกงานน่าทึ่งมาก!”
หวังอวี๋เปิดดูคอมเมนต์ แล้วเธอก็เห็นคำสรรเสริญมากมาย ดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวเล็ก ๆ ของเธอก็ฉายความประทับใจออกมา “ถ้าที่บอกว่าไอเดียนี้เสนอโดยนักศึกษาใหม่เป็นเรื่องจริงละก็ งั้นก็แสดงว่านักศึกษาใหม่คนนี้ร้ายกาจมาก สามารถทำให้เบื้องบนเคลื่อนไหวได้ เขาต้องเป็นคนที่มีความสามารถแน่ ๆ!”
“นี่ไม่ใช่แค่คนที่มีความสามารถแล้ว แต่ยังเป็นคนที่มีพรสวรรค์เฉพาะตัวด้วย!” น้ำเสียงของหวงหมานหม่านเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ฉันอยากบอกว่าคน ๆ นี้จังว่าเก่ง เพราะเขาไม่ได้ทำแค่เสนอแนวคิดนี้เท่านั้น แต่เขายังทำให้มหาวิทยาลัยเห็นด้วยที่จะดำเนินการตามนั้นอีก” หยวนเป้ยพูดในขณะที่กำลังเล่นช่อผมตัวเองอยู่ แล้วเจ้าตัวก็ยังพูดต่ออีกว่า “เพื่อให้มหาวิทยาลัยฟังความคิดของนักศึกษา ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการพูดแค่หนึ่งประโยคหรือสองประโยคหรอกนะ ฉันได้ยินมาว่าไอเดียนี้ได้รับมติเป็นเอกฉันท์จากคณบดีของทุกคณะด้วย!”
“เห็นอยู่ว่าไอเดียนี้มันต้องดีมาก ดีจนแม้แต่คณบดีก็ปฏิเสธไม่ลง! ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นความคิดของนักศึกษานะ ไม่อย่างนั้นมันจะดูพูดเกินจริงไปหน่อย!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ถอนหายใจในขณะจัดโต๊ะและฟังคำพูดของรูมเมตไปด้วย
เธอชื่นชมคนที่สามารถคิดไอเดียนี้ออกมาอย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นจากคณบดีหรือจากนักศึกษาใหม่ก็ตาม
แค่คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถแก้ไขข้อบกพร่องการเรียนการแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยได้!
คนที่เสนอเรื่องนี้ต้องฉลาดขนาดไหนกัน!
ตอนเจียงเหมี่ยวอวี๋ได้ยินรูมเมตทั้งสามคนพูดถึงนักศึกษาใหม่คนนี้ หญิงสาวก็อดนึกถึงฟางชิวไม่ได้ และเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องนึกถึงฟางชิวด้วย
“ถูกต้อง” หยวนเป้ยหยุดสิ่งที่กำลังทำแล้วหันไปมองเพื่อนสามคนพร้อมกับเอ่ยถามว่า “พวกเธอตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะไปฝึกงานกับอาจารย์คนไหน”
“ตัดสินใจตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร” หวงหมานหม่านยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเราเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยมาไม่นาน แล้วยังรู้จักอาจารย์แค่ไม่กี่คน พวกเราจะไปฝึกงานกันยังไงล่ะทีนี้”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าอาจารย์คนไหนจะปฏิบัติต่อเด็กฝึกงานได้ดีกว่ากัน” หวังอวี๋ขมวดคิ้วจนผูกเป็นโบว์
“สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าอาจารย์คนไหนเก่ง ถ้าต้องการฝึกงานกับเขา พวกเธอต้องเลือกฝึกงานกับอาจารย์ที่เก่งที่สุด จะได้เรียนรู้มาเยอะ ๆ” หยวนเป้ยพูดจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างขมขื่น “น่าเสียดายที่พวกเราไม่รู้จักอาจารย์พวกนั้นเลย”
ฝึกงาน?
เมื่อได้ยินทั้งสามคนพูดคุยกัน เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เริ่มขยับตัว แล้วนึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมา
ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมที่สุด!
บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นดาวรุ่งในวงการแพทย์แผนจีน
ผู้ที่มีมือเทวดาในการช่วยชีวิตคน! เป็นแพทย์แผนจีนที่รักษาได้ทุกโรค
แต่ก็น่าเศร้าที่เขาหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ
คนคนนั้นคือซิ่งหลินเจี้ย โชคร้ายที่ไม่มีข่าวของคนนี้อีกต่อไป เขาปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในมหาวิทยาลัยนี้ก่อนที่จะหายตัวไป
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอสมัครเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ เธอหวังว่าจะได้พบคนคนนี้และเรียนรู้กับเขา
“ถ้าหาตัวเขาเจอ แล้วได้ฝึกงานกับเขาก็ดีน่ะสิ” เจียงเหมี่ยวอวี๋บ่นพึมพำพลางลูบหนังสือการฝังเข็มกับการรมควันโบราณในมือ
ทันใดนั้น
“เฮ้… รายชื่ออาจารย์ออกมาแล้ว!”
หวังอวี๋ที่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่บนโต๊ะ จู่ ๆ ก็เปิดปากตะโกนขึ้นมา “พวกเธอมาดูนี่เร็วเข้า”
พอทั้งสามคนได้ยินอย่างนั้น พวกเธอก็เข้าล้อมโต๊ะคอมทันที
เพราะโครงการการฝึกงาน ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ประกาศรายชื่ออาจารย์ในเว็บบอร์ดของนักศึกษา และสิ่งที่ประกาศออกมานั้นไม่ได้มีแค่ชื่อของอาจารย์ในปัจจุบัน แค่ยังมีอาจารย์ที่เกษียณไปแล้วด้วย ทั้งยังบรรยายถึงความเชี่ยวชาญของอาจารย์แต่ละท่านด้วย
มีรายชื่ออยู่มากมายเป็นเกินสิบคนได้
ในรายชื่อนั้น ยังมีประวัติแนะนำตัวที่สำคัญ ๆ ที่เป็นตัวอักษรตัวหนาและตัวใหญ่แปะอยู่
คนแรกคือเสิ่นชุน!
การแนะนำตัวนั้นง่ายมาก ในเว็บกล่าวไว้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกในแผนกกระดูกและข้อของโรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัย มีนิสัยดี ตรงไปตรงมา และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์
แล้วตามมาด้วยอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีกสิบกว่าคน
มีความเชี่ยวชาญในการใช้ยา
มีความเชี่ยวชาญในการฝังเข็ม
และความเชี่ยวชาญในการนวด
เนื้อหาของทุกคนครอบคลุมมาก ประวัติแนะนำตัวก็มีรายละเอียดดีทีเดียว ทุกรายชื่อล้วนเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่เก่งมาก
สมคำร่ำลือแน่นอน!
หวังอวี๋เลื่อนอ่านต่อไป จนถึงตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ที่รายชื่อสุดท้ายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง!!!’
“อะไรเนี่ย?” เด็กผู้หญิงสี่คนในหอพักหญิงอดไม่ได้ที่จะตะลึง
ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง?
รายชื่ออาจารย์กลุ่มแรกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของสาขาวิชาต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย แล้วอาจารย์ลึกลับคนนี้จะเก่งกว่าอาจารย์คนอื่นอีกเหรอ?
ดวงตาที่สวยงามของเจียงเหมี่ยวอวี๋วาววับราวกับคิดอะไรบางอย่างออก ความรู้สึกที่คาดหวังอย่างแรงกล้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ
“สวีเมี่ยวหลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทั่วไป นรีเวชวิทยา กุมารเวชศาสตร์ การจัดกระดูก การฝังเข็ม ยาต้ม และอื่น ๆ!” หวังอวี๋อดไม่ได้ที่จะอ่านมันออกมา
แค่อ่านเพียงประโยคเดียว ดวงตาของเธอค่อย ๆ ปรากฏความไม่เชื่อ
หยวนเป้ยกับหวงหมานหม่านก็ตกตะลึงเช่นกัน
เก่งทุกอย่าง!
มีคนเก่ง ๆ แบบนี้ในมหาวิทยาลัยด้วยหรือ?
สวีเมี่ยวหลิน!
ดวงตาของเจียงเหมี่ยวอวี๋เผยประกายความตื่นเต้นอออกมา เธอคิดว่าต้องเป็นคนคนนั้นแน่ ๆ!
มีเพียงแค่คนคนนั้นเท่านั้นที่กล้าพูดได้ว่าเก่งทุกอย่าง และในวงการแพทย์แผนจีนไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองเก่งกว่าคนคนนั้นหรอก!
ว่าแต่ คน ๆ นี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้จริง ๆ หรือ?
[1] ข้าวสารหุงกลายเป็นข้าวสุก หมายถึงเรื่องราวต่าง ๆ สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว