บทที่ 67 เขย่าขวัญมหาวิทยาลัยแพทย์แปดแห่ง!
บทที่ 67 เขย่าขวัญมหาวิทยาลัยแพทย์แปดแห่ง!
หวังอวี๋ได้สติกลับมาหลังจากตกใจอยู่นาน เธออ่านคำอธิบายต่อไป “คนคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลในแวดวงการแพทย์แผนจีน และขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำแพทย์แผนจีนแห่งอนาคต!”
“ถึงจะมีพรสวรรค์ แต่ก็มีความผิดพลาดมากมาย หลังจากจ่ายยาให้ผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเขาก็เลยไปกินยาพื้นบ้าน ผู้ป่วยจึงเสียชีวิตในที่สุด!”
“แม้ว่าความผิดของเขาจะถูกตัดสินไปแล้ว แต่เขาก็ยังโทษตัวเองที่มีทักษะทางการแพทย์ที่แย่จึงทำให้ผู้ป่วยต้องตาย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็หลบซ่อนจากผู้คนแล้วหายตัวไปจากวงการแพทย์แผนจีน”
“แต่ว่ากันว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยของพวกเรา คน ๆ นี้เป็นตำนานเสียยิ่งกว่าตำนาน ถ้าใครหาตัวเขาเจอและฝึกงานกับเขาได้ เส้นทางการเป็นแพทย์แผนจีนของคนนั้นก็จะสว่างโชติช่วง!”
“ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยจึงขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง!!!”
แค่การแนะนำง่าย ๆ นี้ก็ทำให้เกิดความสนใจไปทั่วทั้งเว็บบอร์ดทันที ใต้โพสต์จึงมีการพูดคุยเกิดขึ้นมากมาย
[มีแค่ชื่อ แล้วฉันจะหาเขาได้ยังไง ฉันดูรายชื่ออาจารย์ทั้งหมดในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่มีชื่อเขาคนนั้นเลย!]
[มีคนแบบนี้จริง ๆ เหรอ สงสัยมากเว่อร์!]
[เก่งแต่ดูลึกลับมากเลยอะ!]
[มันจะไม่งงเลย ถ้ามหาลัยมีคนที่เก่งขนาดนี้อยู่จริง ๆ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขามาก่อนเลย]
หลายคนฝากข้อความถามไถ่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อ แต่การแนะนำของเจ้าของโพสต์นั้นน้อยเกินไป
มีคนแบบนี้อยู่ในมหาวิทยาลัยจริงดิ?
เก่งทุกอย่าง?
ในวงการแพทย์คงไม่มีหรอกมั้ง?
ไม่นานเจ้าของโพสต์ก็ตอบกลับด้วยข้อความมาว่า
[คุณสวีเมี่ยวหลินมีตัวตนอยู่จริง ๆ คนที่ไม่เชื่อสามารถไปถามนักศึกษาระดับปริญญาโทที่เรียนจบไปแล้ว หรือยังเรียนไม่จบก็ได้ ทุกคนรู้จักทั้งนั้นแหละ เขาเป็นบุคลากรในวงการแพทย์แผนจีนจริง ๆ ในอดีต รู้ไหมว่าเมื่อก่อนมีคนมากมายที่สมัครเข้าเรียนที่มหาลัยนี้เพื่อเขา
แต่น่าเสียดายที่คุณสวีเมี่ยวหลินยุ่งเกินไปในตอนนั้น เลยไม่มีใครเห็นเขาที่มหาวิทยาลัย]
บรรดาผู้ที่สงสัยก็พากันโทรและส่งข้อความหาพี่น้องของตนเองเพื่อถามถึงสวีเมี่ยวหลิน
ผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก
มีคนแบบนี้อยู่ในมหาวิทยาลัยจริง ๆ!
ในตอนนั้น คนคนนี้เพียงคนเดียวก็ยกระดับศักยภาพของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้!
หลังจากรู้ข่าวนี้ สติของทุกคนก็กลับมา ดูจากความเก่งของเขาแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย
[พูดตามจริง อาจารย์สวีคนนี้น่าสงสารเกินไปแล้ว]
[จริงด้วย มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย ต้องโทษคนไข้ที่อยากกินยาพื้นบ้าน ตัวยาเลยตีกัน!]
[น่าเสียดายที่คนเก่งแบบนี้หายตัวไป]
[มันไม่ใช่ความผิดของเขา แล้วทำไมเขาถึงต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ]
[ฉันอยากด่าคนไข้ที่ไม่เชื่อหมอ ไม่เพียงแต่ไม่เชื่อ แต่คนไข้กลับเลือกที่จะเชื่อสูตรยาพื้นบ้าน ถ้าจะอยากกินยาพื้นบ้าน คนไข้ก็ต้องถามความเห็นจากหมอล่วงหน้าก่อนสิ!]
[ถึงได้มีคนไข้สามรายเสียชีวิตจากการรักษาด้วยวิธีแพทย์แผนจีนไง ถ้าไม่เชื่อใจกันก็รักษาไม่หายหรอก!]
[เขาไม่ได้ถูกตัดสินว่าบกพร่องต่อหน้าที่ทางการแพทย์ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย น่าเสียดายที่แพทย์ที่เก่ง ๆ แบบนี้ต้องมาฝังใจกับคนไข้ที่ตายไปแล้วตลอดชีวิต… เฮ้อ!]
[ในเมื่อมหาวิทยาลัยมีอาจารย์เทพ ๆ อย่างนี้อยู่ ฉันก็อยากจะเป็นลูกศิษย์ของเขา ฉันต้องหาเขาให้เจอ! ทุกคน ฉันจะเป็นศิษย์คนโตของอาจารย์สวี! หากทุกคนอยากเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สวีด้วย ก็ต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่ก่อน!]
[สวัสดีศิษย์พี่ กรุณาเขยิบ ศิษย์พี่จะได้คลายร้อน!]
[อาจารย์สวีเป็นของฉัน อย่ามาแย่งกับฉันนะ ยังไงพวกเธอก็แย่งไปไม่ได้หรอก!]
[ฉันจองเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ต้องเป็นฉันเท่านั้นที่จะได้เป็นลูกศิษย์!]
เมื่ออ่านความคิดเห็นที่ใต้โพสต์ เหล่ารูมเมตก็พากันงงตาแตก
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เถียงกันล่ะเนี่ย
แต่พวกเธอก็อยากจะฝึกงานกับอาจารย์สวีเมี่ยวหลินเหมือนกัน!
เจียงเหมี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างกันก็ถอนหายใจเบา ๆ
ตอนนี้ยังไม่มีร่องรอยของสวีเมี่ยวหลินเลย
…
ห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง
“สุดท้ายแล้วอาจารย์สวีเมี่ยวหลินก็เก่งกาจจริง ๆ!”
เมื่ออ่านโพสต์ของรายชื่ออาจารย์ ดวงตาของซุนฮ่าวก็เกือบจะถลนออกมา
“เก่งทุกอย่าง พอฉันอ่านคำนี้แล้ว ฉันเลยรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์คนนี้ไม่ธรรมดา!” จูเปิ่นเจิ้งพูดด้วยน้ำสียงตกตะลึง
“ถ้าอาจารย์สวีคนนี้เก่งจริง ๆ ละก็ หากได้เขามาเป็นอาจารย์ พวกเราคงจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย”
ทันใดนั้น ดวงตาของโจวเสี่ยวเทียนก็เปล่งประกายก่อนที่จะเอ่ยว่า “เงิน นั่นแหละที่ฉันต้องหา!” จากนั้นเขาก็หันไปหาฟางชิวแล้วพูดว่า “เจ้าห้า ตอนอยู่โรงพยาบาลก็อย่านิ่งนอนใจไปล่ะ พวกเราต้องหาอาจารย์กันแล้วนะ”
สวีเมี่ยวหลิน?
ฟางชิวพึมพำกับตัวเอง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ลึกลับ’ แล้ว เขาก็จะนึกถึงบรรณารักษ์ที่ขอลากิจทันที
มหาวิทยาลัยนี้มีใครที่ดูลึกลับอีกบ้าง
คนแรกก็คือเขา และอีกคนก็คือบรรณารักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวคนนั้น!
เห็นทีต้องหาโอกาสไปหาบรรณารักษ์ดูซะแล้ว
ฟางชิวรู้ว่าการอ่านหนังสือคนเดียวจะทำให้เขาก้าวหน้าได้ช้า ดังนั้นเขาจึงต้องหาอาจารย์มาสอน!
เดิมทีจุดประสงค์การฝึกงานของฟางชิวนั้นก็เพื่อหาอาจารย์มาสอนเขา
อาจารย์ฝึกงานควรเป็นอาจารย์ที่เก่งที่สุด!
เขาจะได้เก่งขึ้น!
คิดได้ดังนั้นแล้ว ฟางชิวก็ตัดสินใจที่จะรอให้บรรณารักษ์กลับมาจากการลากิจก่อน
เมื่อสิ้นสุดการพักกลางวัน มหาวิทยาลัยก็ออกเอกสารอย่างเป็นทางการออกมา
‘ผู้บริหารทุกระดับของมหาวิทยาลัยได้มีมติว่า
จากนี้ไป ทางมหาวิทยาลัยจะทดลองการฝึกงานรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มเติมจากหลักสูตรเดิม
นักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยสามารถเลือกไปฝึกงานกับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการแพทย์แผนจีนในช่วงเวลาเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ก็ตาม ทุกคนควรเข้าร่วมการฝึกงานนี้ด้วยความสมัครใจ รายชื่ออาจารย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะประกาศหลังวันหยุดวันชาติ! โดยจะมีการประกาศข้อบังคับในวันนั้นด้วย!’
เพราะมีเอกสารนี้ออกมาเป็นทางการ ทำให้ข่าวเกี่ยวกับการฝึกงานจึงคลี่คลายลงในที่สุด
แทนที่จะหารูถ้ำที่ก่อให้เกิดลม*[1] ไม่สู้รอให้ความจริงมันปรากฏออกมาเองดีกว่า!
เมื่อเห็นประกาศ อาจารย์และนักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างพากันส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน
บรรดาอาจารย์ที่เกษียณอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของมหาวิทยาลัย พอได้ยินข่าวแล้วกลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง!
“รับลูกศิษย์ได้ แล้วยังไปสอนอีกด้วย”
“ครั้งนี้ไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นเด็กฝึกงาน!”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ! ไม่ต่างกันหรอก! เกษียณอายุมาแล้วฉันก็อัดอั้นตันใจมาตลอด! ในที่สุดฉันก็มีอะไรให้ทำ ฉันจะเป็นคนแรก ๆ ที่ลงทะเบียนเลย คอยดู!”
“ฉันต้องการพักผ่อน คงทำไม่ได้แล้ว”
“หาอะไรทำดีกว่าอยู่เฉย ๆ น่า! จะได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศชาติ!”
…
เหล่าอาจารย์เฒ่าทุกคนมารวมตัวกันแล้วพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
อาจารย์เฒ่าบางคนที่ขาไม่ค่อยดีและเซื่องซึมทั้งวันถูกจิตวิญญาณของความเป็นครูเข้าสิงทันที!
พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการสอนและให้ความรู้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัย พอเกษียณกลับจบลงด้วยการที่ไม่มีที่จะไป
ถึงจะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีน พวกเขาก็ไม่สามารถสอนให้คนรุ่นใหม่ได้อีกเพราะเกษียณไปแล้ว
นี่มันทำให้พวกเขารู้สึกเก็บกด!
ที่ผ่านมาทำได้แต่อ่านหนังสือและค้นคว้าต่อไป
แต่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งทุกข์ทรมาน เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความรู้เหล่านั้น และไม่ได้รีบใช้ด้วย
ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาคิดทั้งวันว่าจะนำความรู้ไปใช้อย่างไรดี พวกเขาเลยขอให้ทางมหาวิทยาลัยช่วยจัดเวทีบรรยายความรู้ให้กับนักศึกษา หรือตามเว็บบอร์ดก็ได้
สุดท้ายบรรดาผู้บริหารของมหาวิทยาลัยกล่าวว่าพวกเขาแก่แล้วและไม่ต้องการให้พวกเขาทำงานอีกต่อไป
ไร้สาระ!
พวกเขายังแข็งแรงดี!
เหล่าอาจารย์เฒ่าต่างก็เรียนแพทย์แผนจีนกันทุกคน แม้ว่าการบรรยายจะทำให้คนอายุมากอย่างพวกเขาเหนื่อยมากก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้เรื่องการรักษาทางแพทย์แผนจีนกับการดูแลสุขภาพมากกว่าพวกเขากัน สุดท้ายพวกเขาก็สามารถใช้ความรู้ที่มีมาดูแลตัวเองได้อยู่ดี
สุขภาพของอาจารย์เหล่านี้ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว! พวกแพทย์แผนจีนดูแลตัวเองดีแบบนี้แหละ
ในที่สุดคณบดีรุ่นน้องคนนี้ก็ลงมือทำโครงการนี้ขึ้นมา!
เมื่ออาจารย์เฒ่าเหล่านี้เห็นโอกาสที่จะใช้ความรู้ที่เหลือ พวกเขาก็มีพลังขึ้นมาทันที และทุกคนก็รู้สึกเบิกบานใจราวกับว่าได้ทำผลงานชิ้นใหญ่
“ทุกคน พวกเรามีเรื่องต้องทำแล้ว!”
“จริงด้วย! นี่เป็นความคิดที่ดีมาก! ในที่สุด ตาแก่อย่างฉันก็กลับมามีประโยชน์อีกครั้ง!”
“ฉันนึกว่าฉันจะต้องเอาความรู้มากมายฝังไปพร้อมกับฉันซะแล้ว ไม่คิดว่ามันจะได้ใช้ประโยชน์วันนี้ ฮ่า ๆๆ!”
“วันนี้ฉันต้องกินข้าวเพิ่มสองสามชามแน่ จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกยี่สิบปี!”
“ฉันจะสอนสักสามสิบปีเลย!”
“ฉันจะสอนสี่สิบปี!”
กลุ่มอาจารย์แก่ที่เกษียณอายุแล้วทะเลาะกันจนเสียงดัง พวกเขาเถียงกันจนหน้าแดงราวกับว่าเป็นเด็กน้อย
“จะรออะไรอีกล่ะ สมัครเลยสิ!” อาจารย์ชราคนหนึ่งรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วพูดว่า “ฉันพลาดโอกาสนี้ไม่ได้แล้ว ทำไมไม่โทรไปสมัครแทนล่ะ”
จริงด้วย!
ต้องลงชื่อ!
อาจารย์วัยเกษียณกลุ่มนี้รีบพากันหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรไปสมัครทันที ส่วนบางคนก็รีบออกจากบ้านจนลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วย
จบกัน จะมีตำแหน่งว่างให้กับพวกเขาไหมเนี่ย!
แค่ครู่เดียว โทรศัพท์ของสำนักงานวิชาการของมหาวิทยาลัยก็ดังราวกับถูกระเบิดลง
“ทำไมเยอะขนาดนี้?” ในสำนักงานวิชาการ เจ้าหน้าที่หญิงที่เพิ่งรับสายพูดด้วยสีหน้าตกใจ “แค่ได้ยินโครงการฝึกงาน ทำไมพวกเขาถึงได้ดูตื่นเต้นกันจัง?”
“ก็อาจารย์เหล่านี้อุทิศตนให้กับการสอนมาตลอดชีวิต พวกเขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัย หลังเกษียณอายุไปแล้วคงเหงา ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะกระตือรือร้นมากขนาดนี้”
พนักงานอีกคนถอนหายใจออกมา
“ทั้งหมดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยและเพื่อนักศึกษา!”
“ฉันชื่นชมการเสียสละของพวกอาจารย์จริง ๆ พวกเขาทำงานหนักมาทั้งชีวิต และพวกเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย!”
“ภูเขาสูง*[2]จริง ๆ!” เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการทุกคนกล่าวด้วยความยกย่อง
สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพต่อการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวของอาจารย์เฒ่าเหล่านี้
คนที่ได้ยินคำพูดที่ตื่นเต้นและกระตือรือร้นของอาจารย์เฒ่า ดวงตาของพวกเขาก็แดงก่ำ และมีน้ำตาเอ่อคลอ
ในเวลาเดียวกัน ข่าวเรื่องมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้เปิดตัวหลักสูตรการฝึกงานกับอาจารย์ ก็แพร่กระจายไปถึงหูของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยอีกแปดแห่ง
สำนักงานอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
“ฝึกงาน?”
อาจารย์ใหญ่ที่มีผมหงอกเต็มหัวและมีอายุมากกว่าครึ่งชีวิตกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มีไอเดียนี้ขึ้นมากันล่ะ”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะครับ”
ชายวัยกลางคนสวมแว่นที่อยู่ในห้องอีกคนก็ได้พูดขึ้นว่า “การฝึกงานนี้ฟังดูแล้วยุ่งยาก อาจจะไปรบกวนการเรียนรู้ของนักศึกษาได้ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีละก็ ข้อดีของมันมีมากกว่าข้อเสีย และยิ่งไปกว่านั้น ผลงานของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน”
“ใครเป็นคนเสนอความคิดเรื่องการฝึกงาน” อาจารย์ใหญ่เอ่ยถาม
“ผมได้ยินมาว่าเป็นนักศึกษาใหม่ที่เสนอขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม?” ชายวัยกลางคนตอบกลับ
“นักศึกษาใหม่?” อาจารย์ใหญ่ผงะไปครู่หนึ่งแล้วบ่นว่า “ถ้าเป็นนักศึกษาจริง มหาวิทยาลัยนั้นก็มีผู้มีความสามารถออกมาแล้ว!”
จากนั้นอาจารย์ใหญ่ก็พึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมนักศึกษาที่มีความสามารถถึงไม่มาที่มหาวิทยาลัยของเรานะ”
“ใครบอกว่าไม่ล่ะ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวแล้วตอบว่า “คงจะดีถ้านักศึกษาคนนี้อยู่มหาลัยของเราแทน แต่น่าเสียดายที่เขาลงทะเบียนเรียนไปแล้ว”
“ดูจากเอกสารนี้แล้ว การแข่งขันความรู้น้องใหม่ในครั้งนี้ พวกเขาพยายามที่จะกลับมาชิงรางวัลใช่ไหม?”
อาจารย์ใหญ่ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ ในเมื่อพวกเขาสามารถจัดทำการฝึกงานกับอาจารย์ได้ แล้วทำไมมหาวิทยาลัยของเราถึงจะทำบ้างไม่ได้”
เมื่อพูดแบบนั้นออกมา อาจารย์ใหญ่ก็หัวเราะออกมาทันที
“จะเลียนแบบเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“อะไรคือการเลียนแบบ พวกเราแค่เรียนรู้จากพวกเขาก็เท่านั้น”
อาจารย์ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณรวบรวมคนให้ผมที แล้วเตรียมการประชุมด้วย พวกเราจะมาหารือโครงการฝึกงานนี้ด้วยกัน! พวกเขาเป็นแพทย์แผนจีนแต่พวกเราไม่ใช่ พวกเราใช้ได้ทั้งยาจีนและยาตะวันตก!”
ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นที่คิดแบบนี้
ยังมีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจว มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ย มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจงโจว และมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงฉางที่คิดเหมือนกันอีก
ตอนที่มหาวิทยาลัยทั้งเจ็ดแห่งได้รู้ข่าวว่ามหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้เปิดโครงการฝึกงานกับอาจารย์ ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งก็ต่างตกตะลึง
ท้ายที่สุดแล้วการฝึกงานก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
และเมื่อผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งได้ยินว่าไอเดียของโครงการนี้มาจากนักศึกษาใหม่ ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและเกิดความโลภขึ้นมา!
ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว
ข้อเสนอแนะของโครงการฝึกงานกับอาจารย์นี้เป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยทุกแห่งอย่างมาก
ลูกศิษย์เก่งขนาดนี้ จะไม่อิจฉาได้อย่างไร!
เพียงไม่นาน มหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่งต่างก็เริ่มทำตาม พวกเขาได้รับคำสั่งให้หารือเกี่ยวกับโครงการฝึกงานกับอาจารย์ภายในมหาวิทยาลัยทันที
พวกเขาทั้งหมดพร้อมที่จะสร้างผลงานใหญ่แล้ว!
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ข่าวเกี่ยวกับการฝึกงานนี้ก็ได้พัดกลับไปยังมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงอีกครั้ง
[1] รูถ้ำที่ก่อให้เกิดลม หมายถึงข่าวลือทั้งหลายล้วนไม่มีมูลเหตุความจริง เชื่อถือไม่ได้
[2] ภูเขาสูง เป็นคำอุปมา หมายถึงมีศีลธรรมและบุคลิกอันสูงส่ง