บทที่ 70 ขยะ!
บทที่ 70 ขยะ!
[บ๊ะ! แก๊งโจรนี่มันใจกล้ากันเกินไปแล้ว ถึงได้กล้าปลอมเป็นตำรวจ นี่มันอาชญากรรมร้ายแรงไม่ใช่เหรอ?]
[มากไปแล้วนะคนพวกนี้! โหดร้ายอะ! นี่มันปล้นกันชัด ๆ ปลอมเป็นตำรวจงี้มันได้เหรอ?]
[เฮ้ย ถ้าตำรวจปลอมเมื่อคืนก่อนมาช่วยลูกน้องตัวเองจริง ๆ แล้วใครเป็นคนจับตำรวจปลอมได้ล่ะ]
[ใช่ ไม่เคยได้ยินเรื่องการปราบปรามเลย]
[หรือว่าจะเป็น… ชายลึกลับ?]
แม้ใต้โพสต์ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่โพสต์นี้ก็ดึงดูดคนที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาด้วย
[เกิดอะไรขึ้นอะ ชายลึกลับปรากฏตัวอีกแล้วเหรอ?]
[เป็นไปได้ไหมว่าโจรกลุ่มนี้ถูกชายลึกลับจับได้น่ะ]
[เรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่ ถ้าใครรู้ก็โปรดอธิบายให้ทุกคนฟังที]
เพราะมีการร้องขออย่างแรงกล้าของคนที่ไม่รู้เรื่องราวจำนวนมาก นักศึกษาหลายคนก็เลยเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ทุกคนก็เลยคุยกันอย่างเมามันมากยิ่งขึ้น
[พวกมันไม่ได้หนี แต่พวกมันต้องถูกชายลึกลับจัดการแน่ ๆ!]
[ฉันก็คิดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ก่อนที่ชายลึกลับจะปรากฏตัว โจรกลุ่มนี้อาละวาดจนตำรวจจับไม่ได้ แต่พอชายลึกลับปรากฏตัวแล้ว พวกโจรก็ถูกจับได้ซะงั้น]
[ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นไปได้]
[มันไม่ได้เรียกว่าเป็นไปได้ มันเรียกว่าชัวร์ป้าบ!]
[ลองคิดดูดี ๆ แล้วในคืนนั้นชายลึกลับหายตัวไปเหมือนกัน ที่แท้ก็ไปวิ่งไล่ตามจับกลุ่มโจรนี่เอง]
[แน่นอนว่าต้องเป็นชายลึกลับอยู่แล้วล่ะ]
[ขอคารวะชายลึกลับ เขาเป็นฮีโร่ของพวกเรา]
[ขอคารวะ +1]
[ใครมีข้อมูลติดต่อของชายลึกลับบ้าง ฉันอยากฝึกงานกับเขา]
[มหาวิทยาลัยกำลังจะเปิดให้ฝึกงานแล้ว ถ้าใครมีข้อมูลติดต่อของชายลึกลับจริง ๆ ละก็ ฉันให้ไปเลยสามร้อยหยวน]
[ฉันให้ห้าร้อย]
[ฉันให้หนึ่งพัน…]
แม้ว่าหัวข้อเรื่องขโมยถูกจับได้จะเป็นที่นิยมมาก แต่ใจของผู้คนจำนวนมากก็ยังอยู่ที่เรื่องการฝึกงาน
ไม่มีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับชายลึกลับคนนั้นเลย ถึงชื่อของชายลึกลับจะไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายชื่ออาจารย์ของโครงการฝึกงาน ทว่าก็มีหลายคนที่ใฝ่ฝันจะนับถือชายลึกลับเป็นอาจารย์
ณ หอพักหญิง
“เหมี่ยวอวี๋ เธอบอกว่าชายลึกลับคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกันกับอาจารย์สวีเมี่ยวหลิน คนที่ทางมหาวิทยาลัยแนะนำในรายชื่อของการฝึกงานใช่ไหม?”
ภายในหอพักหญิง หวังอวี๋กำลังกอดโน้ตบุ๊กเอาไว้ในแขน พร้อมกับพูดด้วยแววตาเป็นประกาย “ถ้าเป็นคนเดียวกันจริง ๆ ก็คงจะดีสินะ”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะสายตาของเธอเอาแต่กวาดมองไปที่คำว่า ‘ชายลึกลับ’ ที่โน้ตบุ๊ก
คืนนั้นที่เธออยู่ในเหตุการณ์
ถ้าชายลึกลับไม่ได้เป็นคนลงมือก่อน เธอคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระเป๋ามีรอยกรีด และเธอก็เกือบจะเชื่อว่าโจรเป็นผู้บริสุทธิ์
เมื่อมองดูคำว่าชายลึกลับสามคำนี้แล้ว จู่ ๆ เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เห็นภาพชายลึกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
ชายลึกลับคนนี้เป็นใครกันนะ?
เธออดสงสัยไม่ได้จริง ๆ
…
ห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง
“จังหวะนี้ชายลึกลับอยากดังแน่ ๆ เพิ่มความฮอตให้ตัวเองด้วยการเล่นใหญ่ โคตรเจ๋งเลยว่ะ!” ซุนฮ่าวกดดูเว็บบอร์ดพร้อมกับพูดอย่างใส่อารมณ์
โจวเสี่ยวเทียนกระโดดลงจากเตียงแล้วพูดว่า
“ทุกคน เอาแต่นอนในหอพักกันตลอดเวลาก็ไม่ได้มีปัญหาหรอกนะ แต่ว่าตอนกลางคืนไปเดินเล่นรอบทะเลสาบกลางกันสักสองสามรอบเป็นไง”
พูดจบ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงจากปกติเป็นน้ำเสียงออดอ้อนแทน “ร่างกายที่ดีคือต้นทุนของการปฏิวัติ*[1] บางทีพวกเราอาจจะเจอเพื่อนร่วมชั้นที่หน้าตาน่ารัก ๆ สองสามคนก็ได้ พวกเราต้องใช้แสงจันทร์อันเจิดจ้านี้ให้เป็นประโยชน์สิ ไปกันไหม เผื่อเราได้คุยกับสาว ๆ ใต้แสงดาวกับแสงจันทร์ จะคุยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คุยเรื่องชีวิตหรืออุดมคติก็ได้”
ดวงตาของซุนฮ่าวกับจูเปิ่นเจิ้งก็สว่างวาบขึ้นมาทันที พวกเขาสองคนย่อมตกลงเห็นด้วยอยู่แล้ว
แต่แล้ว พวกเขาก็เห็นว่าฟางชิววางหนังสือในมือลง
“ไปเดินเล่นตอนกลางคืน ระวังจะเจอเรื่องไม่ดีนะ” ได้ยินอย่างนั้น ดวงตาทั้งสามคู่ก็หันไปมองฟางชิวทันที
“ทำไมการไปเดินเล่นตอนการคืนถึงจะเจอเรื่องไม่ดีด้วย?”
“ก็เพราะว่า…” ฟางชิวมองหน้ารูมเมตทั้งสามคนแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“จากมุมมองของแพทย์แผนจีน กลางวันคือหยาง กลางคืนคือหยิน นี่เป็นวิธีการรักษาสุขภาพตามกฎของธรรมชาติ”
“หยางจะเพิ่มขึ้นในตอนกลางวัน ส่วนหยินจะเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน ในตอนกลางคืนพวกนายต้องบำรุงหยิน พลังงานหยางจะซ่อนอยู่ในร่างกายเหมือนต้นไม้ในฤดูหนาวจำศีล แต่ถ้าพวกนายยืนกรานที่จะออกไปตอนอากาศหนาว ๆ มันก็สวนทางกับกฎน่ะสิ นี่ไม่ใช่ฝืนธรรมชาติของร่างกายเหรอ?”
ฟังจบ ทั้งสามคนในหอพักก็มองหน้ากันอย่างงุนงง
พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้เลยจริง ๆ
“เจ้าห้า นายไม่ต้องพูดให้เว่อร์ขนาดนั้นก็ได้!” โจวเสี่ยวเทียนดีดนิ้วแล้วเอ่ยแย้ง “แล้วทำไมพวกนักเต้นตามตลาดนัดกลางคืนไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย” ซุนฮ่าวกับจูเปิ่นเจิ้งพยักหน้าสนับสนุน
“พวกเธอมาเต้นที่ตลาดแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ระยะเวลาสั้น ๆ ดูไม่ออกหรอกว่าร่างกายมีปัญหา แต่ในระยะยาวยังไงซะก็ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว” ฟางชิวกล่าว
เขาไม่เห็นด้วยกับการเต้นระบำในตอนกลางคืนเลย
เพราะมันเป็นการกระทำที่ทำร้ายสุขภาพตัวเองไปเปล่า ๆ
มีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่มีพฤติกรรมการทำงานและการพักผ่อนที่ถูกต้อง หนึ่งคือ พระสงฆ์ นักพรต และคนทั่วไปที่ทำงานและพักผ่อนตามกฎธรรมชาติอย่างเคร่งครัด
สองคือ พวกฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ พวกเขามีความเข้าใจกฎของธรรมชาติอย่างถี่ถ้วนและปฏิบัติตามเส้นทางนั้นอย่างแน่วแน่!
“เจ้าห้า นายยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่เข้าใจอีกเหรอ!” จูเปิ่นเจิ้งถอนหายใจแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ถ้าเป็นตามที่นายบอกจริง ๆ งั้นฉันควรทำไงดี ตอนกลางคืนฉันอยากออกกำลังกายอ่า”
“ไม่ยาก” ฟางชิวยิ้มแล้วตอบว่า “นั่งสมาธิสิ เงียบสงบดีด้วย แค่นั่งอยู่อย่างนั้นแล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปฝืนมัน หรือไม่ก็เข้านอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นแต่เช้าเพื่อไปออกกำลังกาย”
“ถ้าไม่ตื่นจะทำไงเล่า?” โจวเสี่ยวเทียนพึมพำถามอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันจะปลุกนายเอง” ฟางชิวมองหน้าโจวเสี่ยวเทียนแล้วถามออกมากวน ๆ ว่า “ประมาณตีสามเป็นไง?”
“อย่า อย่าเด็ดขาด!” โจวเสี่ยวเทียนรีบยกมือห้ามทันที ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ตีห้าก็ว่าเช้าแล้วนะ แต่ตีสามเนี่ย? นายจงใจปลุกฉัน คิดไม่ดีกับฉันใช่ไหม!”
“งั้นตีห้าก็แล้วกัน” ฟางชิวกล่าวอย่างเด็ดขาด
ซุนฮ่าวกับจูเปิ่นเจิ้งเหลือบมองโจวเสี่ยวเทียน โดยไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
ต้องตื่นตีห้าเพื่อไปวิ่งตอนเช้า!
ตีห้า นกบางตัวยังไม่ตื่นเลย นับประสาอะไรกับผู้หญิง!
วันรุ่งขึ้น เวลาตีห้า
ฟางชิวปลุกรูมเมตทั้งสามคนให้ตื่นตรงเวลา ส่วนเขานั่งสมาธิบนเตียงรออยู่สองชั่วโมงแล้ว
ในช่วงเช้าตรู่ของปลายเดือนกันยายน ความชื้นจะสูงมาก แต่ป่าก็มีความร่มรื่นอยู่บ้างเหมือนกัน
พวกเขาทั้งสี่คน เดินขึ้นเนินของมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังทะเลสาบ ในกลุ่มของพวกเขา มีคนหนึ่งเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา อีกสามคนที่เหลือยังหาวไม่ตื่น
“วิ่งกี่รอบล่ะ” ขณะที่เดิน ซุนฮ่าวก็ถามไปหาวไป
“วิ่งสองรอบเถอะ” จูเปิ่นเจิ้งอธิบาย “เส้นรอบวงของทะเลสาบกลางคือสองกิโลเมตร วิ่งสองรอบก็เกือบชั่วโมงแล้ว ประมาณนี้แหละ กำลังพอดี”
พวกเขาสามคนรวมถึงฟางชิวพยักหน้าเป็นอันว่าตกลง
วิ่งสองรอบก็เป็นสี่กิโลเมตร เริ่มวิ่งวันแรกในตอนเช้า วิ่งประมาณนี้แหละกำลังดี
หลังจากออกกำลังด้วยท่าง่าย ๆ พลังงานหยางในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น แล้วสติก็จะกลับมา ทำให้ไม่รู้สึกง่วงเหมือนตอนแรก
ทั้งสี่คนก็เดินขึ้นไปที่ริมทะเลสาบแล้วยืนเคียงข้างกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา
“ยังมีคนมาวิ่งตอนเช้าด้วยเหรอ” โจวเสี่ยวเทียนถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อทั้งสี่คนหันหลังกลับไปมองก็เห็นกลุ่มคนในชุดวอร์มวิ่งมาแต่ไกล
“นั่นเป็นทีมกรีฑา” จูเปิ่นเจิ้งมองดูอยู่นานแล้วเอ่ยออกมาว่า “ไม่แปลกหรอกที่จะเจอพวกเขา ก็พวกเขาเป็นนักกรีฑา วิ่งในตอนเช้าเป็นเรื่องปกติ”
“ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก พวกเราก็วิ่งของพวกเราไป” ซุนฮ่าวพูดตัดบททิ้ง
ฟางชิวหันหน้าไปมองสมาชิกของทีมกรีฑาที่อยู่ไม่ไกล แค่แวบแรกเขาก็เห็นเกาเฟยในฝูงชนแล้ว
ในขณะเดียวกัน เกาเฟยก็สังเกตเห็นฟางชิวเช่นกัน
“หึ!”
เมื่อเห็นฟางชิว เกาเฟยก็รู้สึกประหลาดใจพลางคิดสงสัยในใจว่า เช้าขนาดนี้ยังลุกมาวิ่งอีก
จากนั้นเกาเฟยส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา
เพราะเมื่อวานนี้ กลุ่มเพื่อนของเขาเล่าทุกอย่างให้เขาฟังหมดแล้ว เพื่อนของเขาเอาชนะฟางชิวไม่ได้จริง ๆ
ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีล่ะกัน ฟางชิว!
ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยไปหรอกนะ!
พอคิดว่าตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้เล่นสนุกกับฟางชิวแล้ว เกาเฟยจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที
เหอ ๆ
ฟางชิวเลิกสนใจเกาเฟย เขาหันหน้ากลับมาแล้วเริ่มไปวิ่งกับรูมเมตของตน ส่วนทีมกรีฑาก็เริ่มวอร์มร่างกายด้วยการดึงและขยับข้อต่ออยู่อีกฟากหนึ่ง
ช่วงเช้าจะมีหมอกมาก
ทั้งสี่คนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดและแวะชมเป็ดป่าตัวน้อยที่แหวกว่ายในทะเลสาบไปด้วย
พวกเขาวิ่งพร้อมกับหัวเราะไปด้วย ถึงจะวิ่งไม่เร็วแต่ก็สนุกมาก
หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกของทีมกรีฑา นำโดยเกาเฟยก็วิ่งตามพวกเขาทันอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เกาเฟยกำลังวิ่งไล่ตามทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหน้า เขาก็พูดประชดประชันออกมาว่า
“ขยะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของฟางชิวก็หรี่ลงไปชั่วครู่หนึ่ง
แม้ว่าเสียงวิ่งจะดังเล็กน้อย แต่ฟางชิวก็ได้ยินเสียงด่าของเกาเฟยชัดเต็มสองรูหู รวมถึงโจวเสี่ยวเทียน ซุนฮ่าวและจูเปิ่นเจิ้งที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินเช่นกัน
เกาเฟยทำท่าทางเหยียดหยามแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับรอยยิ้ม ปล่อยให้ฟางชิวมองตามด้วยสายตาเย็นชา
ครั้งที่สามแล้วนะ!
ครั้งแรกก็เตะบอลใส่เขาที่สนามฟุตบอล ครั้งที่สองก็ไปหาคนมาเล่นงานเขาเมื่อวานนี้ แล้ววันนี้ยังกล้ายั่วยุเขาอีก!
ฉันมันน่ารังแกขนาดนั้นเลยรึไง?
ฟางชิวไม่ได้พูดอะไรออกมา และทั้งสี่คนก็วิ่งกันต่อไป
สิบนาทีต่อมาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตามหลังพวกเขามาอีก ยังคงเป็นทีมกรีฑา เกาเฟยกับสมาชิกของทีมคงเริ่มต้นวิ่งรอบใหม่แล้ว
“ขยะ” เมื่อเกาเฟยวิ่งเฉียดฟางชิวเป็นครั้งที่สอง เกาเฟยก็หัวเราะเยาะออกมาอีกครั้งแล้ววิ่งหนีไป
“ป่วยหรือเปล่าวะ” โจวเสี่ยวเทียนเอ่ยถามเพื่อนอย่างโกรธเคือง
“เขาด่าใคร” จูเปิ่นเจิ้งจ้องไปที่แผ่นหลังของเกาเฟยด้วยความจริงจัง
“อย่าคุยกัน” ฟางชิวอ้าปากบอกเพื่อนและเตือนด้วยความหวังดีว่า “ตั้งใจวิ่งให้ดี อย่ารบกวนจังหวะการหายใจ”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับแล้ววิ่งต่อไป พวกเขาแค่วิ่งเหยาะ ๆ กันเท่านั้น
สิบนาทีต่อมา เสียงฝีเท้าดังตามหลังพวกเขาอีกครั้ง เป็นเกาเฟยเจ้าเดิม แถมยังตั้งใจวิ่งเฉียดเหมือนเดิม
กระซิบด่าอีกเหมือนเดิมด้วย
“ขยะ!”
โจวเสี่ยวเทียน ซุนฮ่าวและจูเปิ่นเจิ้งต่างก็เริ่มโมโห
“วันนี้คนบ้าลืมกินยาเหรอวะ!” ซุนฮ่าวพูดอย่างโกรธเคือง
แม้ว่าจะมุ่งเป้าไปที่ฟางชิวอย่างชัดเจน แต่ก็ทำอะไรฟางชิวไม่ได้อยู่ดี!
ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย ด่ากันแบบนี้มันก็เหมือนหลอกด่าพวกเขาไปด้วยนั่นแหละ!
“เขาตั้งใจก่อกวนพวกเราแน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาแค่วิ่งเร็วหรอกเหรอ ถ้ามีความสามารถจริงก็ไปแข่งที่โอลิมปิกดิ จะมาเห่าหอนอะไรตรงนี้” โจวเสี่ยวเทียนตะโกนออกมาอีกว่า “ถ้าฉันเป็นเตี่ยเขานะ ฉันจะทุบตีเขาให้หนัก ๆ เลย!”
ซุนฮ่าวกลอกตา จากนั้นลดเสียงลงก่อนจะพูดว่า “ไม่งั้นรอให้เขาวิ่งมาอีกรอบ แล้วพวกเราค่อยผลักเขาลงไปในทะเลสาบดีไหม ดูแล้ว น้ำไม่น่าลึกนะ…”
ทันทีที่ความคิดนี้ถูกเสนอออกมา ทั้งสามคนก็หันหน้าไปมองซุนฮ่าวด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“แฮ่ ๆ…” ซุนฮ่าวหัวเราะออกมาแห้ง ๆ แล้วรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็วว่า “ฉันแค่ล้อเล่นเฉย ๆ อย่าจริงจังกันนักสิ พวกเราเป็นคนดีกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“อันที่จริง… ก็ทำได้นะ” โจวเสี่ยวเทียนพึมพำเห็นด้วยเบา ๆ
“ให้ฉันจัดการเอง เพราะฉันเป็นเป้าหมายของเขา” จู่ ๆ ฟางชิวก็เปิดปากเสนอตัวเอง
ให้นายจัดการ?
รูมเมตทั้งสามคนหันหน้ามองฟางชิวอย่างสงสัย
นายจะจัดการอย่างไรล่ะ?
“แผนของนายคืออะไร?” จูเปิ่นเจิ้งถามด้วยความอยากรู้
“คอยดูเถอะ ฉันขอวิ่งนำไปก่อนแล้วกัน!” ฟางชิวคลี่ยิ้มออกมาก่อนที่จะกดส้นเท้าของตนเบา ๆ
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็เหมือนว่ากำลังควบม้าศึกอยู่ เขาวิ่งจนตัวปลิว ในชั่วพริบตา รูมเมตทั้งสามคนก็โดนฟางชิวทิ้งห่างไปสิบกว่าเมตรแล้ว
แม่ง… แม่งเอ๊ย!
รูมเมตทั้งสามคนตกใจจนกรามแทบหลุด!
พวกเขาเกือบจะหมดแรงอยู่แล้ว ทำไมเจ้าห้าถึงยังมีเรี่ยวแรงอยู่อีกล่ะเนี่ย?
ที่สำคัญก็คือ เจ้าห้ามันวิ่งเร็วขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
วิ่งเร็วขนาดนี้ยังกล้ามาวิ่งเล่นกับพวกเขาอีก!
“เจ้าห้าจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!” ซุนฮ่าวมองไปที่แผ่นหลังของฟางชิว ขณะถอนหายใจอย่างแรงแล้วถามความเห็นเพื่อนว่า “ความเร็วระดับนี้ เร็วกว่าไอ้เกาเฟยใช่ไหม?”
“เร็วกว่ามันแน่นอน!” โจวเสี่ยวเทียนตอบด้วยความมั่นใจ
สิบนาทีต่อมา เกาเฟยก็นำพาทีมกรีฑามาวิ่งที่ทางเดียวกันอีกรอบ และก็ยังคงวิ่งไล่ตามหลังมาเช่นเคย
เกาเฟยเตรียมจะด่าอีกครั้ง แต่จู่ ๆ เขาเกิดความงงงวย
ทำไมมีแค่สามคนล่ะ?
ฟางชิวไปไหนแล้ว?
เกาเฟยไม่ทันได้สติกลับมา เขาก็ได้ยินเสียงวิ่งดังมาข้างหลังเลยหันไปมองด้วยความสงสัย จากนั้นก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เขาพบว่าฟางชิวกำลังวิ่งไล่ตามหลังเขาด้วยความไวแสง
ว้าก ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงวิ่งตามหลังเขามาได้?
[1] ร่างกายที่ดีคือต้นทุนของการปฏิวัติ หมายถึง ร่างการของคนเราก็เหมือนเมืองหลวง ถ้าเมืองหลวงน่าอยู่ ก็แสดงว่าเมืองหลวงนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนกับร่างกายของคน ถ้าหากร่างกายแข็งแรงดีนั่นก็แสดงให้เห็นว่าร่างกายนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี