บทที่ 75 โม่อี้ฉีคืนเงินให้!
บทที่ 75 โม่อี้ฉีคืนเงินให้!
ฟางชิวจำได้อย่างชัดเจน
ตาเฒ่าบอกเขาว่ามีสมุนไพรของแดนสวรรค์สามสิบหกชนิดและมีสมุนไพรของแดนมนุษย์อยู่เจ็ดสิบสองชนิดบนโลกใบนี้ แต่ละชนิดก็จะมีสรรพคุณแตกต่างกันไป สมุนไพรเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับคนทั่วไป อย่างมากที่สุดก็แค่สามารถยืดอายุขัยได้
แต่กลับมันมีประโยชน์มากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์!
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์นั้น สมุนไพรเหล่านี้ไม่เพียงแต่รักษาบาดแผลและยืดอายุขัยเท่านั้น แต่มันยังทำให้พวกเขาสัมผัสถึงพลังงานของสวรรค์และโลกได้
ความสามารถเป็นแก่นแท้ของพลัง แต่ขุมทรัพย์สมุนไพรนั้นซับซ้อนกว่ากันเล็กน้อย
ถ้าผู้ฝึกยุทธ์คนไหนได้ครอบครองขุมทรัพย์สมุนไพร พลังปราณในร่างกายก็จะเพิ่มมากขึ้น
ในเรื่องการฝึกยุทธ์ หากผู้ฝึกตนต้องการบุกทะลวงระดับปรมาจารย์ก็ต้องเข้าใจปราณภายในของตนเองเสียก่อน
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็ปรารถนาที่จะบุกทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์กันทั้งสิ้น หากพวกเขาไม่สามารถรวบรวมพลังปราณภายในร่างกายได้ ก็ต้องไปพึ่งปราณภายนอกเท่านั้น
แม้ว่าการรวบรวมพลังปราณภายนอกจะได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่ากับการรวบรวมพลังปราณภายใน แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย!
และขุมทรัพย์สมุนไพรก็เป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณภายใน แล้วนำสู่การเลื่อนระดับในที่สุด
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ฟางชิวคุ้นเคยกับเรื่องระดับเป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเก่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ก็คือปรมาจารย์
ขั้นของผู้ฝึกยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นเก้าขั้น โดยต้องเดินลมปราณทะลวงสิบสองเส้นชีพจรในแต่ละขั้น เพื่อจะได้โคจรและบ่มเพาะพลังปราณให้เข้มข้น และพลังปราณภายในทั้งหมดต้องสามารถกลั่นกรองออกมาให้บริสุทธิ์ที่สุด
ทว่าการฝึกฝนพลังปราณไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะใช้เวลาสองสามปีในการฝึก แต่ก็ยากที่จะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพลังปราณภายใน
อย่าว่าแต่กลั่นให้พลังปราณบริสุทธิ์เลย ถึงจะสัมผัสได้ก็ยากที่จะฝึกควบคุม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมสมุนไพรถึงมีค่ามาก
หากผู้ฝึกยุทธ์ใช้สมุนไพรเหล่านั้น พวกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงพลังปราณภายในร่างกายของตน
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์?
ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือความแข็งแกร่งอย่างไรล่ะ
นอกเหนือจากการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่าแล้ว วิธีที่ดีที่สุดที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขาก็คือการพึ่งพาสมุนไพร
แม้ว่าสมุนไพรจะให้ผลลัพธ์ด้อยกว่าการฝึกฝน แต่มันก็ยังคงเป็นความฝันของผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากอยู่ดี
“ไท่ซาน!” เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตาเฒ่าบอก ฟางชิวก็เกิดความคิดขึ้นมาทันที
ไปไท่ซาน!
เพราะสมุนไพรมีความสำคัญต่อผู้ฝึกยุทธ์อย่างยิ่ง เขาจึงต้องไปหามาให้ได้
ทำไมเขาจะไม่ไปหาสมุนไพรบนภูเขาไท่ซานด้วยตัวเองล่ะ
ถ้าหาสมุนไพรได้ แม้จะเป็นเพียงแค่ต้นเดียว มันก็อาจจะแลกเป็นเงินได้ถึงสามแสนเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ฟางชิวจึงตัดสินใจทันที
“หลังจากเสร็จงานวันอาทิตย์แล้ว ฉันจะไปที่ภูเขาไท่ซานด้วย” นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาคิดได้ นอกจากนี้ การที่จะหาเงินสามแสนหยวนในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ถึงแม้ว่าอาจจะหาไม่เจอเลยสักต้นเดียว แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีความหวังอันริบหรี่อยู่ไม่ใช่หรือ?
หลังจากตัดสินใจแล้ว ปัญหาการเงินของฟางชิวก็ถูกพักไว้ชั่วคราว
ในห้องพัก
ซุนฮ่าวกำลังยุ่งอยู่กับการจองตั๋ว ส่วนจูเปิ่นเจิ้งก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ ส่วนโจวเสี่ยวเทียนกำลังนอนอยู่บนเตียง พูดคุยล้อเล่นกับรูมเมตทั้งสองคนพลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“พี่ใหญ่ นี่ก็ใกล้เวลาอาบน้ำนอนแล้วนะ” ระหว่างที่พูดคุยกัน จู่ ๆ โจวเสี่ยวเทียนก็หัวเราะออกมา เจ้าตัวมองหน้าจูเปิ่นเจิ้งแล้วพูดว่า “ไฟใกล้จะปิดแล้ว ถ้าไฟดับจริง ๆ คงถูสบู่ไม่สะอาดแน่ ๆ”
“นายจองตั๋วได้รึยัง” จูเปิ่นเจิ้งไม่สนใจโจวเสี่ยวเทียน แต่หันไปถามซุนฮ่าวแทน
“เพิ่งจองเสร็จเลย” ซุนฮ่าวตอบด้วยรอยยิ้มแล้วกดปิดหน้าเว็บจองตั๋ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร?” ขณะที่ถาม จูเปิ่นเจิ้งก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกเขาก็เห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นแปลกหน้าที่ยืนอยู่หน้าประตู
เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่พวกเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำ
“สวัสดี” นักศึกษาคนนี้มีรูปร่างผอมไปนิดแต่ดูร่าเริงมาก ระหว่างที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องพัก เธอก็เหลือบมองชายหนุ่มทั้งสี่คน จากนั้นเบือนสายตามามองที่จูเปิ่นเจิ้งอีกครั้งแล้วพูดแนะนำตัว “ฉันคือโม่อี้ฉี”
“โม่อี้ฉี?” ซุนฮ่าวตกตะลึง
“เธอคือโม่อี้ฉีที่ป่วยเป็นมะเร็งใช่เปล่า?” โจวเสี่ยวเทียนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เขาจ้องมองที่โม่อี้ฉีขึ้นลงหลายรอบ จากนั้นถามด้วยความสงสัยว่า “เธอหายป่วยแล้วเหรอ?”
“ฮะ ๆ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ฉันหายดีแล้วจริง ๆ” โม่อี้ฉีตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปหยิบซองเงินสี่ซองออกจากกระเป๋าตัวเอง
“ขอโทษนะ ใครคือจูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าว และโจวเสี่ยวเทียนเหรอ?”
“ฉันเอง” จูเปิ่นเจิ้งและอีกสองคนตอบด้วยความมึนงง
“ขอบคุณสำหรับการบริจาคของพวกนายตอนที่ฉันป่วยนะ ขอบคุณมาก!”
โม่อี้ฉีคำนับพวกเขาทั้งสามคนอย่างสุดซึ้ง เธอยื่นซองให้ทั้งสามแล้วพูดว่า “อาการป่วยของฉันหายดีแล้ว ส่วนเงินพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป ฉันขอคืนให้พวกนาย ขอบคุณมากนะ!”
พูดจบ จูเปิ่นเจิ้ง ซุนฮ่าวและโจวเสี่ยวเทียนก็มองหน้ากันด้วยความสับสน
พวกเขาจะรับหรือไม่รับเงินดี?
“เธอเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ไปซื้ออาหารเสริมกับของบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเถอะ” ในที่สุด จูเปิ่นเจิ้งก็เป็นคนพูดขึ้นมา
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของพวกนายนะ แต่อาการป่วยของฉันหายดีแล้ว ฉันคงรับเงินพวกนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก” โม่อี้ฉีอธิบายพลางผลักซองเงินทั้งสามซองในมือไปให้ชายหนุ่มสามคนพร้อมกัน
จากนั้นเธอก็หยิบซองที่หนาที่สุดออกมาแล้วถามว่า “โทษนะ ฟางชิวคือคนไหนเหรอ?”
“ก็คนที่กำลังฝึกเป็นเซียนคนนั้นไง!” รูมเมตทั้งสามคนชี้ไปที่ฟางชิวที่กำลังนั่งสมาธิและดูเหรียญทองแดงอยู่
ฟางชิวค่อย ๆ ลืมตา จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียงแล้วมองไปที่โม่อี้ฉี
หญิงสาวแอบสังเกตฟางชิว ดูแล้วเขาคงเป็นคนจิตใจดี ตอนที่เธอได้รับความยากลำบากจากอาการป่วยนี้ ผู้คนต่างเฉยชา แต่ชายคนนี้ไม่
“เพื่อนร่วมชั้นฟางชิว ขอบคุณสำหรับการบริจาคของนายนะ” โม่อี้ฉีโค้งคำนับต่อฟางชิว
นี่คือเป็นผู้ที่บริจาคเงินมากที่สุด
โม่อี้ฉีไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่เขาสามารถบริจาคเงินให้มากมายโดยไม่ตระหนี่แต่อย่างใด แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เงินเหล่านั้นเลย แต่เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณฟางชิวมากอยู่ดี
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว” ฟางชิวยิ้มและยื่นมือออกไป
ทันใดนั้น ฟางชิวก็ลอบถ่ายเทพลังปราณไปยังร่างกายของโม่อี้ฉีอย่างเงียบ ๆ
เมื่อพลังปราณนี้เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายของโม่อี้ฉีก็รู้สึกดีขึ้น ก่อนหน้านี้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยเพราะเธอเดินทางไกล แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมีกำลังมากขึ้นอย่างน่าประหลาด และความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ หายไป
เอ๋?
โม่อี้ฉีรู้สึกประหลาดใจมาก
เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสดชื่นจากร่างกายของเธออย่างชัดเจน
แม้จะแปลกใจไปบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้คิดมาก
โม่อี้ฉีคิดว่าเพราะได้ขอบคุณฟางชิว ความหนักอึ้งในใจของเธอก็เลยหายไป
เธอรีบยื่นซองในมือให้ชายหนุ่ม “อาการป่วยของฉันหายดีแล้ว เงินพวกนี้ขอคืนให้นาย” ฟางชิวมองไปที่ซองเงินหนา ๆ แล้วยิ้มออกมา ก่อนที่จะรับซองจดหมายมาแบบไม่คิดมาก
เมื่อเห็นว่าฟางชิวรับซองไปแล้ว โม่อี้ฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเธอก็ขอเบอร์ติดต่อทางโทรศัพท์และวีแชตของชายหนุ่มทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว
“ถ้าพวกนายต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ก็ติดต่อฉันทันทีเลยนะไม่ต้องเกรงใจ! ฉันไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกนายแล้ว ขอบคุณพวกนายมาก!” โม่อี้ฉีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นเธอก็จากไป โดยที่พวกเขาลงไปส่งที่ใต้ตึก
“นี่ พวกนายดูสิ พอหายป่วยแล้วก็คืนเงิน แต่คนในสังคมทุกวันนี้บางคนยังใช้ความเจ็บป่วยมาหากินกันอยู่เลย ถึงจะเป็นคนเหมือนกัน แต่ทำไมถึงมีความแตกต่างได้มากขนาดนี้นะ!” โจวเสี่ยวเทียนมองด้านหลังของโม่อี้ฉี แล้วพูดด้วยอารมณ์หดหู่
จูเปิ่นเจิ้งกับซุนฮ่าวก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เตรียมตัวนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังอยากไปวิ่งอยู่ไหม” ฟางชิวถาม
“ไม่วิ่งแล้ว!” รูมเมตทั้งสามคนปฏิเสธและส่ายหน้าพร้อมกัน
นายมันโรคจิต ยังจะมาหาเรื่องคนอื่นอีก!
ฟางชิวส่ายหัวและหันกลับไปที่เตียง
“เดี๋ยวก่อน!” ซุนฮ่าวตะโกน เขามองหน้าฟางชิวแล้วหัวเราะฮี่ ๆ ออกมา จากนั้นก็ถามว่า “เมื่อกี้นี้ ใครเอ่ยที่ร้องห่มร้องไห้บอกว่าตัวเองจนอยู่เลยอะ”
“ฉันจำได้ เหมือนว่าจะเป็นเจ้าห้าใช่ไหม?” จูเปิ่นเจิ้งมองฟางชิวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“ได้เงินคืนเยอะมาก!” โจวเสี่ยวเทียนจ้องไปที่ซองหนาในมือของฟางชิวด้วยสายตาเป็นประกาย แล้วเขาก็เริ่มประจบประแจงทันที “อาหารมื้อใหญ่กำลังโบกมือให้ฉันอยู่แหละ!”
“มื้อนี้ไม่เลี้ยงคงไม่ได้แล้วพี่น้อง” ซุนฮ่าวพยักหน้าเห็นด้วยทันที “เจ้าห้า เลี้ยงพี่เลี้ยงน้องเถอะ”
“ฝันหวานเกินไปแล้ว ถ้างั้นพวกนายก็ฝันกันต่อไปแล้วกัน” ฟางชิวเหลือบมองรูมเมตทั้งสามคนด้วยความรำคาญแล้วหันกลับมาที่เตียง
“จะไม่เลี้ยงกันใช่ไหม?” โจวเสี่ยวเทียนรีบวิ่งไปที่ด้านหน้าของฟางชิว และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “นายยังเป็นพี่น้องของพวกเราอยู่ไหม ถ้านายไม่เลี้ยง พวกเราขาดกัน! ใช่แล้ว ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับนาย!”
“น้องห้า…” ซุนฮ่าวส่งยิ้มให้ฟางชิว และพูดอย่างประจบสอพลอว่า “ที่เจ้าสี่มันอยากตัดความสัมพันธ์กับนายก็เป็นเรื่องของมันไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันจะไม่เลิกคบกับนาย ฉะนั้นโปรดเลี้ยงข้าวเพื่อนคนนี้ด้วยนะ”
“นายเพ้อฝันมากไปแล้ว!” ฟางชิวแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ซุนฮ่าวพลางตอบปฏิเสธ
“เลิกคบ! เลิกคบ!” ซุนฮ่าวส่ายหัว พลางพูดเสียงดังด้วยความมั่นใจ
“ถ้างั้น…” จูเปิ่นเจิ้งก้าวไปตรงหน้าของฟางชิวแล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ฉันจะช่วยนายใช้เงิน เป็นไง?”
“ไปเล่นตรงนู้นไป” ฟางชิวขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้ว่านายเลยนะ!” จูเปิ่นเจิ้งถอนหายใจ ส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “เจ้าห้า ขืนนายยังทำตัวแบบนี้นายได้เสียเพื่อนไปง่าย ๆ แน่”
“ได้! เพื่อน ๆ ทุกคน ตอนนี้ฉันยังขาดเงินอีกหลายแสน พวกนายก็ให้เพื่อนคนนี้ยืมเงินหน่อยก็แล้วกัน” ฟางชิวพูดพลางเขย่าซองจดหมายในมือของเขา แล้วมองหน้าเพื่อนทั้งสามคน
จากนั้นจึงเป็นเหตุให้ทั้งสามคนทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ฟางชิวพูด แล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเข้านอน
“เฮ้ ๆ อย่าเพิ่งหนีสิ ขอยืมเงินหน่อย! ให้ฉันยืมคนละร้อยก็ได้ ฉันไม่รังเกียจเงินอันน้อยนิดของพวกนายหรอกนะ!” ฟางชิวตะโกน
แต่ไม่มีใครสนใจ
“อนิจจา! คนสมัยนี้ใจดำจริง ๆ!” ฟางชิวกล่าวด้วยความหดหู่
จากนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นไปนอนบนเตียง ขณะมองดูเงินในมือ และก็อดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้
ตอนแรกเขาได้เบิกจ่ายเงินล่วงหน้ามาแล้วหนึ่งพันหยวน บวกกับสองหมื่นเก้าหยวนในมือ
ตอนนี้เขายังค้างติดหนี้อยู่สามแสนหยวน หักเงินสองหมื่นเก้าพันหยวนไปไม่พออยู่ดี
ยากจนดีแท้!
เขาหวังว่าจะได้เจอขุมทรัพย์สมุนไพรบนภูเขาไท่ซาน!
ถึงจะเจอสมุนไพรได้ยากก็เถอะ!
…
วันรุ่งขึ้น ตอนบ่าย
หลังเลิกเรียน ฟางชิวก็ตรงไปที่จุดให้ยืมของห้องสมุดตามเวลาที่ตกลงกันไว้
“อาจารย์สวี” เมื่อเห็นสวีเมี่ยวหลิน ฟางชิวก็ทักทายด้วยความเคารพ
“มาแล้วเหรอ” สวีเมี่ยวหลินตอบด้วยรอยยิ้ม
โดยไม่ต้องพูดให้มากความ จากนั้นชายวัยกลางคนก็ยกกล่องพลาสติกสีเขียวขนาดเล็กที่คล้ายกับกล่องเครื่องมือขึ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าของเขา
ฟางชิวตกตะลึงเมื่อเห็นข้อความบนกล่อง เพราะมีคำว่า ‘ไพ่นกกระจอกจีน’ เขียนอยู่
“นี่คือ…” ฟางชิวถาม
“ก็ไพ่นกกระจอกไง” สวีเมี่ยวหลินเทไพ่นกกระจอกลงบนโต๊ะแล้วถามว่า “เธอเคยเล่นไหม”
“ไม่เคยครับ” ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธ
“เธอรู้ไหมว่าไพ่ด้านบนนี้เรียกว่าอะไร”
“ผมรู้” แม้ว่าฟางชิวจะไม่เคยเล่น แต่เขาก็พอจะรู้จักไพ่นกกระจอก
“ดีมาก” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ฉันรู้ว่าเธอมีความจำดี ตอนนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีก่อนที่ฉันจะเลิกงาน ฉันจะให้เวลาเธอสิบนาทีในการดูไพ่นกกระจอกชุดนี้ แล้วจดจำพวกมันเอาไว้ให้ดี หลังหมดเวลาแล้วฉันจะทดสอบเธอ”