คุรุการแพทย์ – บทที่ 77 อัศวินขี่ม้าขาว

คุรุการแพทย์

บทที่ 77 อัศวินขี่ม้าขาว

บทที่ 77 อัศวินขี่ม้าขาว

“รู้สึกถึงพลังปราณนิด ๆ แล้ว ไม่เลวเลย”

ดูเหมือนว่าหลังจากสกัดการโจมตีในคืนนั้น เฉินชงก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย

‘แต่ถ้านายต้องการก้าวเข้าสู่วงการผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ นายต้องฝึกอีกเยอะ ตอนนี้ยังอีกไกลกว่านายจะได้บรรลุ’ ฟางชิวแอบคิดในใจแล้วหันหลังออกไปฝึกซ้อมบนเกาะใจกลางทะเลสาบ

ช่วงเช้า

เมื่อนักศึกษากำลังเรียนอยู่ในห้องเรียน

คณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน ฉีไคเหวิน เดินตรงไปที่จุดให้ยืมหนังสือของห้องสมุด

“ศิษย์น้อง?” ทันทีที่ฉีไคเหวินเดินผ่านเข้าประตูมา เขาก็หัวเราะพร้อมกับตะโกนเรียกใครบางคน

“หืม?” เมื่อเห็นฉีไคเหวิน สวีเมี่ยวหลินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ช่วงนี้ต้องต้อนรับคนคนนี้บ่อยจริง ๆ!

“ฉันมาเยี่ยมนาย” ฉีไคเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำดีหวังผล” สวีเมี่ยวหลินเหลือบมองรุ่นพี่ของตัวเองแล้วเอ่ยถามว่า “พูดมาตรง ๆ เถอะ มาหาผมทำไม”

“แฮะ ๆ” ฉีไคเหวินโน้มตัวไปข้างหน้า เขามองหน้าสวีเมี่ยวหลินแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เรื่องความสามารถนายนั่นแหละ เก่งกาจกว่าแต่ก่อนจริง ๆ แค่ลงมือครั้งเดียวก็รักษาโรคมะเร็งกระเพาะจนหายขาดได้”

ดูเหมือนว่าฉีไคเหวินจะได้ยินข่าวที่โม่อี้ฉีหายป่วยแล้ว

จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “แพทย์ธรรมดา ๆ ทำแบบนายไม่ได้หรอก ตอนนี้นักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยรู้แล้วว่าอาการป่วยระยะสุดท้ายของโม่อี้ฉีหายขาดแล้ว ในสายตาของนักศึกษาพวกนั้นนี่ก็เป็นปาฏิหาริย์ชัด ๆ ยินดีด้วยนะ นายทุ่มเททั้งแรงใจและแรงกายมากจริง ๆ!”

“ก็งั้น ๆ แหละ แต่ว่านะรุ่นพี่ ดูเหมือนว่าทักษะทางการแพทย์ของพี่จะไม่มีการพัฒนาเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา!” สวีเมี่ยวหลินเงยหน้าขึ้น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น รอยยิ้มของฉีไคเหวินก็แข็งค้างไป

จะตีคนอย่าตีที่หน้า จะด่าคนก็อย่าด่าเปิดเผย แต่มันกลับพูดจาร้ายกาจขนาดนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

นี่ มัน หมาย ความ ว่า อย่าง ไร!

“ไอ้รุ่นน้อง!” ฉีไคเหวินรีบเปลี่ยนมาประชดประชันทันที “มีคำกล่าวที่ว่า ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งต้องรับผิดชอบ ถึงฉันจะไม่เก่งเท่านาย แต่ฉันก็ยังทำงานหนักเพื่อวงการแพทย์แผนจีน ส่วนนาย ในเมื่อยังรักษาได้ จะทำเป็นตาบอดไปทำไม”

“โอ้ รุ่นพี่หมายความว่ายังไง” สวีเมี่ยวหลินถาม

“ฉันหมายความว่าในเมื่อนายลงมือรักษาไปแล้ว ก็อย่าหลบซ่อนตัวอีกเลย” ฉีไคเหวินรีบชักชวนต่อ “ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยเริ่มดำเนินโครงการฝึกงานแล้ว นายสามารถพาเด็กสองสามคนไปฝึกงานได้ แล้วนายจะเลือกนักศึกษาคนไหนก็ได้ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตราบเท่าที่นายต้องการ บอกฉันมาได้ตรง ๆ เลยว่าจะเลือกคนไหน”

“เฮอะ ที่แท้รุ่นพี่ไม่ได้มาเยี่ยมผม อุตส่าห์ซาบซึ้งไปแล้ว” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยเสียงเรียบ “แบบนี้มันหวังดีประสงค์ร้ายชัด ๆ”

ซาบซึ้งกับผีสิ!

ฉีไคเหวินเกือบจะทนไม่ไหวแล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าน้องรักของเขาแล้ว

นายไม่เข้าใจคำพูดตามมารยาทรึไง!

ถึงในใจจะด่ารุ่นน้อง แต่ฉีไคเหวินก็ฉีกยิ้มต่อไป

“หวังดีสิ! หวังดีทั้งนั้น! ว่าแต่รุ่นน้อง นายคิดยังไงกับข้อเสนอของฉัน?”

“พี่มาช้าไป ผมไม่รับลูกศิษย์แล้ว ผมเพิ่งรับนักศึกษาคนหนึ่งเอาไว้” สวีเมี่ยวหลินตอบ

หา?!

ฉีไคเหวินอึ้งกิมกี่ พูดไม่ออกอยู่นาน เขาทำแค่จ้องมองสวีเมี่ยวหลินราวกับกำลังตั้งคำถามหาความจริงในสิ่งที่สวีเมี่ยวหลินเพิ่งพูดออกมา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินสักนิด

ก่อนมา ฉีไคเหวินก็เตรียมคำเชิญชวนเอาไว้ในหัวมากมาย

สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้!

เขานึกว่าแงะรุ่นน้องคนนี้ออกจากรูจะยากซะอีก แต่กลายเป็นว่ามันดันรับนักศึกษาเอาไว้แล้ว?

“รับใครไว้?” ฉีไคเหวินถามอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นเรื่องใหญ่!

นักศึกษาคนไหนที่เก่งเข้าตาศิษย์น้องของเขา!

ฉีไคเหวินรู้ว่าสวีเมี่ยวหลินเป็นคนเย่อหยิ่ง มีความมั่นใจและหมกมุ่นกับการแพทย์แผนจีนสูง ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นแทบจะไม่สนใจเลย

ในฐานะแพทย์แผนจีนและรุ่นพี่ของสวีเมี่ยวหลิน เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีมาตรฐานสูงเพราะเจ้าตัวอุทิศตนให้การแพทย์แผนจีน

แล้วมันสูงแค่ไหนน่ะหรือ?

เขาจะพูดให้ฟัง

ในแง่ของมนุษย์สัมพันธ์ การเคารพอาจารย์กับลัทธิเต๋า สวีเมี่ยวหลินทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีมาตรฐานความเข้าใจและคุณสมบัติของแพทย์แผนจีนค่อนข้างเข้มงวด

แม้แต่คณบดีของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนอันทรงเกียรติก็ยังไม่เข้าตาสวีเมี่ยวหลิน นับประสาอะไรกับคนอื่น

อย่างไรก็ตาม คนที่เย่อหยิ่งและเข้มงวดอย่างนี้ กลับรับลูกศิษย์เป็นแล้วหรือ?

ฉีไคเหวินไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่านักศึกษาคนนั้นใช้วิธีการอะไรล่อลวงจนทำให้สวีเมี่ยวหลินเกิดความประทับใจแล้วรับตัวเองเป็นลูกศิษย์

หรือศิษย์น้องจะบังเอิญเจออัจฉริยะ?

ไม่ มันไม่ถูกต้อง

ถ้ามีอัจฉริยะในมหาวิทยาลัยจริง ๆ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?

แต่ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะ แล้วรุ่นน้องของเขาจะรับเป็นลูกศิษย์ได้อย่างไร?

สวีเมี่ยวหลินขลุกอยู่ในห้องสมุดแห่งนี้มานานแล้ว ไม่เห็นว่ามีใครสามารถเข้าตารุ่นน้องเขาเลยสักคน หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ศิษย์น้องของเขายอมออกจากถ้ำ?

ใช่มันต้องเป็นแบบนี้แหละ

แต่ว่าเขาพลาดตรงไหนไปนะ

ฉีไคเหวินคิด

“เด็กปีหนึ่งหรือปีสองล่ะ ไม่งั้นก็เป็นเด็กปีสามกับปีสี่ ฉันรู้จักเขาไหม” ฉีไคเหวินเอ่ยถามอีกประโยคอย่างรวดเร็ว

“อัศวินขี่ม้าขาวของรุ่นพี่นั่นแหละ!” สวีเมี่ยวหลินเฉลยพร้อมกับขยิบตา

ฉีไคเหวินตกตะลึงอีกครั้ง

อะไร

อัศวิน?

อัศวินขี่ม้าขาวอะไร?

ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอัศวินขี่ม้าขาวของเขาด้วยหรือ

คำตอบของสวีเมี่ยวหลินทำให้ฉีไคเหวินดูเหมือนพระภิกษุรูปที่สอง*[1] สมองงงงวยไปหมด

“แล้วเป็นใครกันแน่?” ด้วยความสงสัย ฉีไคเหวินจึงเปิดปากถามอีกครั้ง

“เดาดูสิ!” สวีเมี่ยวหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แล้วจะให้เดาอะไรล่ะ!” ฉีไคเหวินรู้สึกเศร้าใจ

ทำไมเขาถึงไม่เคยชนะรุ่นน้องคนนี้เลยนะ?

เดาแล้วเขาก็หาคำตอบไม่ได้อยู่ดี

“ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก” ฉีไคเหวินตอบกลับด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็หันหลังจากไป

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว

สวีเมี่ยวหลินรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการก็พอแล้ว

และสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เขาหวังจริง ๆ ก็คือการให้กำลังใจสวีเมี่ยวหลิน

เหตุการณ์ในปีนั้นส่งกระทบต่ออีกฝ่ายอย่างหนัก และเขาก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงไม่ค่อยพูดถึงสวีเมี่ยวหลินกับใครเลย และให้เวลาอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็ค่อย ๆ ตะล่อมไปเรื่อย ๆ เพื่อพยายามดึงสวีเมี่ยวหลินออกจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สวีเมี่ยวหลินจะได้ฟื้นฟูจิตใจและกลับสู่วงการแพทย์แผนจีนอีกครั้ง

ตอนนี้ฉีไคเหวินทำสำเร็จแล้ว สำหรับเรื่องของโม่อี้ฉีนั้น เขาไม่ได้คิดที่จะขอให้สวีเมี่ยวหลินมาช่วยรักษาเลย

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร เพราะเขารู้ดีว่าสวีเมี่ยวหลินไม่น่าจะตกลงกันได้ แต่เขาไม่คาดคิดว่า อีกฝ่ายจะยอมรักษาให้เองในบ่ายวันนั้น

หลังจากรักษาโม่อี้ฉีหายไม่กี่วันแล้วกลับมาที่ห้องสมุด สวีเมี่ยวหลินก็รับลูกศิษย์แล้ว

เมื่อนำสองสิ่งนี้มาเชื่อมโยงกัน คนโง่ยังดูออกเลยว่าเรื่องนี้ต้องมีคนมากระตุ้นแน่นอน แต่ไม่ว่าสิ่งที่มากระตุ้นจะดีหรือร้ายก็ตาม สวีเมี่ยวหลินก็ได้ฟื้นสภาพจิดใจกลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

แม้ว่าฉีไคเหวินจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนกระตุ้นศิษย์น้องของเขา แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณมาก

ฉีไคเหวินยิ้มอย่างมีความสุขไปตลอดทางกลับสำนักงาน

“อัศวินขี่ม้าขาวของฉันเป็นใครกัน?” ขณะที่เขากำลังคิด ก็มีภาพคน ๆ หนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขา

แต่หลังจากขบคิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน ฉีไคเหวินก็ไม่เคยคิดเลยว่าแท้จริงแล้วจะเป็นฟางชิว

ด้วยมาตรฐานการรับศิษย์ของสวีเหมี่ยวหลิน อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องมีพื้นฐานในการแพทย์แผนจีน และแม้แต่ภูมิหลังทางครอบครัวก็อาจจะต้องเป็นแพทย์แผนจีนด้วย

มีคนจำพวกนี้ไม่มากในมหาวิทยาลัย

ท้ายที่สุด คนที่มีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนแทบไม่มาเรียนที่นี่เลย ส่วนใหญ่มักไปหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงและขอฝึกงานด้วย

ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีภูมิหลังทางครอบครัวเป็นแพทย์แผนจีนเลย

หากอยู่ในครอบครัวแพทย์แผนจีน ส่วนใหญ่พวกเขากลัวว่าเพื่อนนักศึกษาด้วยกันไม่รู้สิ่งพวกเขาเคยเรียนเมื่อตอนเป็นเด็กแล้วการสอนจะล่าช้า การมาเรียนจึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า

“ไม่ได้เป็นแค่อัศวินขี่ม้าขาว แต่ยังมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมและมีพื้นฐานดีด้วยงั้นเหรอ…”

ฉีไคเหวินก้าวขาเดิน พึมพำกับตัวเองไปตลอดทาง “ถ้าเขาเข้าตาของรุ่นน้องได้ เขาก็น่าจะเป็นแพทย์แผนจีนที่มีคุณธรรมใช่ไหม?”

“ด้วยคุณสมบัติมากมายแบบนี้ ในมหาวิทยาลัยจะมีคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”

ฉีไคเหวินสะดุดกับคำถามตัวเอง

เพราะเขารู้ว่าไม่มีคนเก่ง ๆ แบบนั้นแล้ว

แล้วสวีเมี่ยวหลินก็ได้รับเป็นศิษย์ไปเรียบร้อย!

“เลิกคิด เลิกคิดแล้ว… ศิษย์น้องออกจากถ้ำแล้ว ยังจะต้องคิดอะไรอีก” ฉีไคเหวินส่ายหัวแล้วเดินไปยิ้มไปต่อ

ในห้องสมุด

เมื่อนึกถึงตอนที่ฉีไคเหวินกลับไป ใบหน้าสวีเมี่ยวหลินก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก อย่างไรซะ เขาก็เข้าใจเจตนาดีของศิษย์พี่จึงรู้สึกขอบคุณมาก

“เทียบจากไอคิวของรุ่นพี่แล้ว เขาไม่น่าจะเดาออก” สวีเมี่ยวหลินยิ้ม พลิกหน้าหนังสือต่อไป

พอตกกลางคืน

เนื่องจากตั๋วรถไฟที่ซุนฮ่าวจองไว้คือเวลาสี่ทุ่ม ดังนั้นหลังอาหารเย็น ทั้งสามคนจึงเริ่มจัดกระเป๋าอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมขึ้นรถไฟไปยังภูเขาไท่ซานในคืนนี้ ที่ไปคืนนี้เพราะจะได้ถึงที่หมายตั้งแต่เช้าตรู่

เวลา 20:40 น. ฟางชิวไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปส่งรูมเมตทั้งสาม

ตอนแรกฟางชิวคิดว่ามีเพียงโจวเสี่ยวเทียน ซุนฮ่าวและจูเปิ่นเจิ้งที่ไปเที่ยวกันสามคน เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเพื่อนร่วมชั้นชายและหญิงกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่ประตูมหาวิทยาลัยด้วย

นี่มันกรุ๊ปทัวร์แล้ว!

“พวกเขาไปกับพวกนายเหรอ?” ฟางชิวถามด้วยความประหลาดใจขณะมองดูฝูงชน

“นายไม่ได้ฟังพวกเราคุยกันเลยใช่ไหม!” โจวเสี่ยวเทียนดูไม่พอใจแล้วพูดต่อ “ยังไงก็แล้วแต่ การรวมพลของพวกเราแข็งแกร่งมากใช่ไหมล่ะ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะเสียใจนะ ตอนนี้นายอาจจะซื้อตั๋วเที่ยวเดียวกับพวกเราทันนะ!”

“นายจะจ่ายให้ปะล่ะ?” ฟางชิวถาม

“ถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” โจวเสี่ยวเทียนกระโดดหนีจากฟางชิวอย่างรวดเร็ว

เมื่อกวาดสายตามอง ฟางชิวก็พบว่าคนที่มาเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเพื่อนของรูมเมตทั้งสามคน อีกสี่คนเป็นรูมเมตของเจียงเหมี่ยวอวี๋ แล้วบางคนก็เป็นเพื่อนในชั้นเรียนของพวกเขา

รวมแล้วมีมากกว่าสามสิบคนเลยมั้งเนี่ย

พอมองดูกลุ่มคนที่กำลังพลุกพล่าน ฟางชิวก็คลี่ยิ้มจาง ๆ คิดดูแล้วคนเยอะขนาดนี้ ระหว่างไปเที่ยวพวกเขาน่าจะเกิดปัญหากันไม่น้อยเลย

ทันใดนั้น เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มองไปที่ฟางชิว ทั้งสองคนจึงพยักหน้าให้กันท่ามกลางฝูงชน

ในทางกลับกัน ด้านข้างของเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มีชายหนุ่มรูปหล่อคอยมองฟางชิวอย่างระแวดระวัง

ฟางชิวไม่สนใจผู้ชายคนนั้นเลย จากนั้นเขาก็หันไปคุยกับรูมเมตต่อไป

เมื่อทุกคนมารวมกัน เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ทุกคนพากันถือกระเป๋าใบใหญ่และกระเป๋าใบเล็กแล้วขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าสองสามคันเพื่อรีบไปที่สถานีรถไฟ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง รถบัสก็จอดที่จัตุรัสด้านนอกของสถานีรถไฟ

“เจ้าห้า” โจวเสี่ยวเทียนที่ลงจากรถก่อน มองไปยังฟางชิวแล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ นายไม่อยากมากับพวกเราจริง ๆ เหรอ?”

“วันอาทิตย์ฉันต้องไปทำงานที่โรงพยาบาล ไปเที่ยวไม่ได้” ฟางชิวตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องห่วง” ซุนฮ่าวที่เพิ่งลงจากรถก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พอฉันไปถึงแล้ว ฉันจะถ่ายรูปส่งให้นายดู ให้นายอิจฉาพวกฉันเล่น ๆ!”

“ฉันจะร้องไห้แล้วนะ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย!” ฟางชิวพูด ในใจคิดว่าตนจะไปที่ภูเขาไท่ซานมะรืนนี้คนเดียว

แต่เขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อนทั้งสามคนหรอก เพราะสถานที่ที่เพื่อนของเขาจะเข้าไปนั้นเป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ส่วนตัวเขาจะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา

เมื่อพูดถึงทิวทัศน์ ก็ไม่มีสถานที่ไหนสวยเท่าภูเขาไท่ซานแล้ว

“ครั้งนี้ไม่ได้ไป ครั้งหน้าค่อยไปด้วยกันก็ได้ ยังไงซะพวกเราก็มีเวลาเหลือเฟือ!” ซุนฮ่าวพูดด้วยรอยยิ้ม พลางเอนตัวไปที่ด้านข้างของฟางชิวแล้วชี้ไปที่เจียงเหมี่ยวอวี๋ ถามด้วยเสียงต่ำออกมาว่า “นายไม่อยากเข้าไปทักเธอจริง ๆ เหรอ?”

[1] พระภิกษุรูปที่สอง เป็นสำนวนจีน แปลว่า ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มาจากนวนิยายจินผิงเหมย

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท