บทที่ 84 ฉันเจอท่านเซียน!
บทที่ 84 ฉันเจอท่านเซียน!
สุดยอด!
แบบนี้ก็ซ่อมได้แล้วน่ะสิ!
ฟางชิวจ้องดูรถที่ถูกสตาร์ตติดด้วยความตกตะลึง
เขารีบเหลือบมองดูหน้าจอโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาซ่อมรถเพียงแค่สามนาทีเท่านั้น
นี่มันเป็นเพราะโชคช่วยหรือ?
คำขอธรรมดา ๆ ของเขากลายเป็นความจริงได้
พระเจ้าจะเห็นแก่หน้าเขามากเกินไปแล้ว!
“รถซ่อมเสร็จแล้ว มาเถอะ พวกเราจะพาคุณไปส่ง” ชายเจ้าของรถเปิดประตูรถแล้วหันมาพูดกับฟางชิว
“ขอบคุณนะ!” ฟางชิวรีบไปที่ประตูรถและเข้าไปนั่งด้านหน้าทันที
แล้วรถก็ได้ขับผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางมุ่งตรงไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง
เพราะใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว หญิงสาวที่ง่วงนอนมานานก็ผล็อยหลับไปที่เบาะหลัง
การคุยกับใครสักคนในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นการให้กำลังใจกันและเป็นการช่วยไม่ให้ง่วงนอน
ระหว่างทาง ฟางชิวกับเจ้าของรถก็คุยเรื่องสัพเพเหระกัน บางครั้งก็คุยกันถึงชีวิตในมหาวิทยาลัย บางครั้งพูดคุยถึงเรื่องประวัติศาสตร์ และบางครั้งก็พูดคุยเกี่ยวกับกิจการระดับชาติ ช่างเป็นการสนทนาที่มีความสุขมาก
สองชั่วโมงต่อมาก็เป็นเวลาตีห้าครึ่ง
ในที่สุดรถก็เข้าสู่เขตภูเขาไท่ซาน
หญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ถูกชายหนุ่มปลุกเพื่อจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน
“ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพวกเราไปถึงภูเขาไท่ซานไม่ทันแฮะ” หลังปลุกแฟนสาวให้ตื่นขึ้น คนพูดก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา
“แต่ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนถนนก็ดีไปอีกแบบนะ!” หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณไปภูเขาไท่ซานเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเหรอ” ฟางชิวถามด้วยความสงสัย
“พวกเรายังไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเลย วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่พวกเราคบกัน พวกเรากะจะไปเที่ยวภูเขาไท่ซานเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะ”
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูหดหู่ แต่ตอนที่เขาพูด ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความสุข
“ดีจังเลยนะ!” ฟางชิวยิ้มเล็กน้อย
ชายคนนั้นมองไปข้างหน้าแล้วหันกลับไปมองแฟนสาวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เธอเลยส่งยิ้มหวานให้แฟนหนุ่มตัวเอง
ฉับพลัน
“ระวัง!” ฟางชิวร้องตะโกน
ชายเจ้าของรถจึงหันกลับมาอย่างเร่งรีบ ขณะมองไปที่ถนน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ห่างจากรถหลายสิบเมตร จู่ ๆ ก็มีแท่งเหล็กสีแดงปรากฏขึ้น แท่งเหล็กนั้นลอยมาใกล้จะกระแทกที่กระจกหน้ารถ
ด้วยความตื่นตระหนก ชายหนุ่มจึงหักพวงมาลัยอย่างแรง เป็นเหตุให้แฟนสาวที่นั่งข้างหลังกรีดร้องออกมา
“หลบไม่พ้นแล้ว!”
เมื่อเห็นแท่งเหล็กขนาดใหญ่ใกล้เข้ามา ฟางชิวก็กดปุ่มปลดล็อกที่คอนโซลกลางของรถ จากนั้นเขาก็กระแทกประตูให้เปิดออก แล้วกระโดดออกจากรถไปอย่างรวดเร็ว
หลังออกจากรถมาแล้ว ฟางชิวก็กำหมัดแน่น รวบรวมพลังปราณภายในร่างกายของตัวเอง วิ่งไปที่หน้ารถ เตะแท่งเหล็กสีแดงที่กระเด็นเข้ามาออกไป
ปึง!
ชิ้นส่วนของเหล็กสีแดงถูกเตะออกไปอย่างแรงแล้วกระเด็นไปตกที่บนภูเขานอกทางหลวง
“เฮ้อ…” หลังจากเตะแท่งเหล็กออกไปแล้ว ฟางชิวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว!
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มเจ้าของรถก็ลดความเร็วของรถลงแล้วไปจอดรถที่เลนฉุกเฉิน เขาไม่ลืมที่จะเปิดไฟเตือนก่อนที่จะลงจากรถ
“นาย…” เมื่อลงจากรถแล้วชายหนุ่มเจ้าของรถก็มองฟางชิวที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศด้วยดวงตาเบิกกว้างและปากอ้าค้าง
แล้วตอนที่แฟนสาวคนนั้นลงจากรถ เธอก็ถึงกับชะงักทันที
สายตาไม่อยากจะเชื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าทั้งคู่
ชายคนนี้กำลังลอยอยู่?
นี่เป็นไปได้อย่างไร
จะมีคนลอยได้อย่างไร?
แรงโน้มถ่วงของโลกนี้มีอยู่จริง แค่ชายคนนี้หนีจากพันธนาการแรงโน้มถ่วงของโลกได้อย่างไรกัน
“ลอยได้ยังไง?” ชายหนุ่มเจ้าของรถรู้สึกอึ้งกับสิ่งที่เห็น
ฟางชิวหายใจออกเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ร่อนตัวลงมายืนที่ข้างรถ
คนทั้งคู่ยังคงตกตะลึง
“คุณ คุณเป็นใคร” ชายหนุ่มเจ้าของรถถามด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ฟางชิวอย่างไม่วางตา
ราวกับว่าต้องการมองฟางชิวให้ทะลุปรุโปร่ง
แม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าฟางชิวกระโดดลงจากรถและเตะแท่งเหล็กเพื่อช่วยพวกเขาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย
ภาพเมื่อครู่นี้มันเหมือนกับความฝัน
สิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว แต่ใครล่ะจะยอมรับได้
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังตกใจอยู่ ฟางชิวที่เท้าเพิ่งจะแตะถึงพื้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“มาถึงภูเขาไท่ซานแล้ว” เมื่อเปิดแผนที่ดู ฟางชิวก็พบว่าเขาได้เข้าสู่เทือกเขาไท่ซานแล้ว จากนั้นเขาก็ไปเปิดประตูแล้วหยิบกระเป๋าออกจากรถทันที
ชายหนุ่มเจ้าของรถและแฟนสาวจ้องมองการเคลื่อนไหวของฟางชิวแบบไม่คลาดสายตา แต่ถึงกระนั้น สติของพวกเขาก็ยังไม่กลับมา
“ขอบคุณพวกคุณมาก!” หลังจากที่ฟางชิวยิ้มและขอบคุณทั้งสองคน ชายหนุ่มก็ไม่รอให้ทั้งคู่ได้โต้ตอบ เขาก็กระโดดลงจากทางหลวงไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งเป็นสายลม และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
ฟางชิวจากไปแล้ว แต่ทั้งคู่ยังคงตกตะลึงอยู่ กว่าที่พวกเขาจะได้สติกลับมา ชายหนุ่มก็หายตัวไปแล้ว
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างตกใจ
“พวกเราคงจะไม่ได้เจอกับเซียนใช่ไหม” ระหว่างที่เอ่ยถาม แฟนหนุ่มก็หันหน้าไปมองรอบ ๆ เพื่อมองหาร่างของฟางชิว
“เขาเป็นนักศึกษาไม่ใช่เหรอ?” แฟนสาวตอบอย่างมีเหตุผล แต่แล้ว จู่ ๆ เธอก็ถามขึ้นว่า “สรุปแล้วเขาเป็นใครกันแน่”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง เขาไม่ได้บอกชื่อกับฉันด้วยซ้ำ” เขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “นี่มันอุกอาจเกินไปแล้ว เขาลอยได้ยังไงกัน”
“เขาไม่ได้แค่ลอยได้เท่านั้น แต่เขายังเตะเศษเหล็กด้วย” แฟนสาวมองไปรอบ ๆ ชี้ไปที่ตำแหน่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก่อนจะพูดว่า “อยู่ตรงนั้นไง”
เมื่อได้ยินแล้ว ชายหนุ่มเจ้าของรถก็มองไปในทิศที่แฟนสาวชี้ทันที
ที่ใต้ทางหลวง บนพื้นหญ้าที่ไกลออกไป มีเหล็กขนาดเท่ารถสองคันตกอยู่ ดูแล้วน่าจะมาจากป้ายโฆษณาที่ติดบนที่สูง
“เดี๋ยวสิ! เขาเป็นคนเตะเหรอ เตะเหล็กพวกนี้เนี่ยนะ” ชายหนุ่มเจ้าของรถตกตะลึง
ไม่ต้องพูดถึงในสถานการณ์ตอนนี้เลย เพราะแม้แต่ในเวลาปกติก็ไม่มีใครกล้าที่จะเตะแท่งเหล็กขนาดใหญ่ด้วยเท้าของตนเองหรอก
แฟนสาวก็ตกตะลึงเช่นกัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเราทุกคนคงจะตายไปแล้วใช่ไหม?” เมื่อมองไปที่แท่งเหล็กพวกนั้น เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“ใช่ โชคดีที่พวกเราให้เขาติดรถมาด้วย” ชายหนุ่มเจ้าของรถพยักหน้าเห็นด้วย แล้วพูดว่า “แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ในความฝันเลย มีคนทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน”
“พวกเราคงจะไม่ได้นั่งหลับฝันกันอยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มเจ้าของรถหญิงมองหน้ากันแล้วยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
จากนั้นทั้งสองคนก็ขึ้นรถและขับต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความเร็วนั้นช้ากว่าในตอนแรกมาก
ขณะขับรถ ชายหนุ่มเจ้าของรถก็ไม่สามารถควบคุมความตกใจของเขาได้ เขาอยากจะแชร์เรื่องนี้ให้คนอื่นรู้
หลังเปิดใช้งานหูฟังบลูทูธ เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรออกทันที “ฮัลโหล เหล่าเจียง!”
“มารดามันเถอะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งเจอท่านเซียน!”
“[อะไรนะ?]” อีกด้านของโทรศัพท์ก็มีน้ำเสียงที่เกียจคร้านและค่อนข้างหงุดหงิดดังออกมา
“ฉันเจอเซียนบนทางหลวง เป็นผู้ชาย หล่อมากด้วย!” ชายหนุ่มเจ้าของรถพูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“[กลางดึกแบบนี้ยังโทรมาล้อเล่นอีก]” แล้วเสียงจากปลายสายดังขึ้นมาอีกว่า “[นายบ้ารึเปล่าเนี่ย!]”
“เรื่องจริงนะ…” ชายหนุ่มเจ้าของรถพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไปเสียก่อน
แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ยังคงเดินหน้ากดโทรหาคนอื่นต่อไป
เขาโทรหาเพื่อนทีละคน แล้วเล่าให้เพื่อนแต่ละคนฟังถึงสิ่งที่เพิ่งประสบพบเจอมา แต่พอเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเชื่อเขาเลยสักคนเดียว
และยังถูกด่ากลับอย่างไม่มีชิ้นดีอีกต่างหาก
สุดท้าย ชายหนุ่มเจ้าของรถก็ต้องยอมวางโทรศัพท์ลง
เขารู้ว่าไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นบนโลกนี้จริง ๆ
ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน
ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ
ถึงแม้ว่าไม่มีใครเชื่อ แต่ฟางชิวก็จะยังคงอยู่ในหัวใจของเขาเสมอและจะไม่มีวันจางหายไป!
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากลงจากทางหลวงแล้ว ฟางชิวก็รีบไปที่ป่าที่อยู่ไม่ไกลจากทางหลวง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อหาตำแหน่งของภูเขาไท่ซานอีกครั้ง
“ทางนี้” หลังจากพบตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ฟางชิวก็พุ่งตรงไปทางนั้นทันที
ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา
ฟางชิวก็ได้เข้าไปในภูเขาไท่ซานเพียงลำพัง
ณ ภูเขาไท่ซาน
ภูเขาไท่ซานเป็นมรดกแห่งชาติของประเทศจีน และได้รับการยกย่องเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเชิงนิเวศของโลก หรือที่รู้จักกันในนาม ‘อุทยานธรณีโลก’ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A หรือมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศจีน
ภูเขาไท่ซานตั้งอยู่ในเมืองไท่อัน ซึ่งมีเนื้อที่รวม 151,250 ไร่
ส่วนยอดเขาเช่นยอดเขาเง็กเซียนฮ่องเต้ ก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,545 เมตร ทั้งสง่างามและตระการตายิ่ง นอกจากนี้ภูเขาไท่ซานยังมีอีกชื่อหนึ่งซึ่งก็คือ ‘อีซาน’ ที่หมายถึงภูเขาดำ เนื่องจากยอดเขากับโขดหินเป็นสีน้ำเงินกับดำ
ภูเขานี้ได้รับการยกย่องจากคนโบราณว่าเป็นสรวงสวรรค์ที่เชื่อมกับบังลังก์โดยตรง จึงกลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมาบูชากราบไหว้ แล้วยังมีคำกล่าวที่ว่า หากไท่ซานปลอดภัย ทะเลทุกแห่งจะปลอดภัย
จากจุดเริ่มต้นของจิ๋นซีฮ่องเต้จนถึงราชวงศ์ชิง จักรพรรดิรุ่นที่สิบสามได้รับเชิญให้ขึ้นไปบนภูเขาไท่ซานเพื่อสักการะด้วยตนเอง นอกจากนี้จักรพรรดิรุ่นที่ยี่สิบสี่ก็ยังส่งบริวารไปสักการะเจ็ดสิบสองครั้ง
ภูเขาไท่ซานใหญ่โตเสียจนฟางชิวคาดไม่ถึง
หลังจากเข้าสู่เทือกเขาไท่ซานแล้ว ฟางชิวก็เดินผ่านแมกไม้ไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาจะไปถึงที่หมายแล้ว แต่ฟางชิวก็ไม่รู้ว่าขุมทรัพย์สมุนไพรอยู่ที่ไหน และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตาเฒ่าพบพวกมันที่ไหน ดังนั้นเขาจึงต้องค้นหาจากความรู้สึกของเขาเท่านั้น
ทว่าตั้งแต่ตอนแรก ฟางชิวก็ไม่เคยคิดที่จะเสี่ยงอันตราย
ชายหนุ่มไม่รู้จริง ๆ ว่ามีขุมทรัพย์สมุนไพรอยู่ที่ไหน แต่ถึงรู้ว่าอยู่ไหน สถานที่แห่งนั้นก็จะต้องมีสัตว์ผู้พิทักษ์แน่นอน
กล่าวคือ ตราบใดที่คุณสามารถหาสัตว์ทรงพลังในภูเขาได้ คุณก็จะสามารถหาสมบัติในบริเวณใกล้เคียงได้
ในขณะที่เดินผ่านภูเขาและป่าอย่างรวดเร็ว ฟางชิวก็ได้สังเกตสถานการณ์โดยรอบอย่างระมัดระวังและตรวจหาลมหายใจของสัตว์ร้ายในภูเขาไปด้วย
หลังจากค้นหาเป็นเวลานาน และเดินผ่านยอดเขามาหลายยอด ฟางชิวก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย
เมื่อมาถึงบนยอดเขา ฟางชิวก็หยุดพัก
“พักก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปหาต่อ”
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ฟางชิวก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตราบใดที่เขาเป็นมนุษย์ แรงของเขาก็หมดลงได้ หลังจากวิ่งมานาน พลังปราณภายในของฟางชิวก็ถูกใช้ไปมาก ถ้าขืนเขายังคงค้นหาต่อไป เขาอาจจะเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม
ดังนั้นฟางชิวจึงหยุดพัก แล้วนั่งทำสมาธิทันที
“สภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่เลวเลย” เมื่อนั่งลงแล้ว ฟางชิวก็หันไปมองรอบ ๆ และได้พบว่าหมอกกำลังลงจาง ๆ เมื่อสัมผัสแล้วก็รู้สึกสบายยิ่ง
ณ ภูเขาไท่ซาน ยอดเขาหลี่เฟิง
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าท่ามกลางทะเลหมอก ผู้คนจำนวนมากก็มองดูมันครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันลงจากภูเขา
ทันใดนั้น
“ฉัพพรรณรังสี!” จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นบนยอดเขาหลี่เฟิง
เพราะเสียงตะโกนนี้ ทุกคนที่กำลังจะลงจากภูเขาจึงหันไปมองทันที
บนภูเขาที่อยู่ไกลออกไป แสงสีทองสวยงามก็ปรากฏขึ้น มองแล้วสะดุดตาอย่างยิ่ง
“สวยมากเลย”
“เหมือนแสงจากพระกายพระพุทธเจ้าจริง ๆ ด้วย ดีจังที่ได้เห็น”
“ครั้งนี้ถือว่าคุ้มสุด ๆ แล้ว”
“แสงในตำนานนี่นา น่าอัศจรรย์มาก”
เสียงพูดจ้อไปทั่วยอดเขา ทุกคนบนยอดเขาหลี่เฟิงหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปกันแทบไม่ทัน
เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดบนภูเขาลูกนั้น จะพบว่ามีคนมากกว่าสามสิบคน
คนกลุ่มนั้นคือ จูเปิ่นเจิ้งกับพรรคพวกของเขา
“พวกนายดูนั่นสิ ตรงกลางเหมือนจะมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่เลย!”
“ใช่ สวยมาก!”
“สวยกว่าสายรุ้งอีก!”
“กลับมหาวิทยาลัยแล้ว พวกเราต้องเอาไปอวดสักหน่อยนะ ฮ่า ๆ…”
ท่ามกลางเสียงชื่นชมของทุกคน โจวเสี่ยวเทียนก็รีบวิ่งไปที่ด้านหน้าของฝูงชน เขาถ่ายรูปหลายภาพติดต่อกัน แล้วก็หัวเราะออกมา “คนโรคจิตอย่างเจ้าห้าน่าจะตื่นแล้วมั้งป่านนี้แล้ว ฉันต้องอวดวิดีโอให้เจ้าห้ามันดู!”
คิดได้ดังนั้นโจวเสี่ยวเทียนก็โทรหาฟางชิวทางวิดีโอคอลในทันที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย
เขาโทรไม่ติด เพราะฟางชิวปิดเครื่อง
“เจ้าห้าไอ้คนขี้เกียจ แค่วันหยุดก็นอนไม่ยอมลุกเลยเหรอ!” โจวเสี่ยวเทียนบ่นพึมพำคนเดียว
ด้วยความสิ้นหวัง เขาทำได้แค่เปิดวีแชตแล้วส่งรูปที่ถ่ายไปให้ฟางชิวแทน และยังไม่วายส่งข้อความไปเพิ่มว่า
[ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย! อิจฉาล่ะสิ! เสียใจใช่ไหมล่ะ! อึ้งไปเลยดิ กร๊าก!]