บทที่ 90 คัมภีร์ขุมทรัพย์สมุนไพร!
บทที่ 90 คัมภีร์ขุมทรัพย์สมุนไพร!
ตามที่เขียนไว้บนผนัง
พลังปราณจากฟ้าดินไร้สิ้นสุด แต่มนุษย์นั้นมีขีดจำกัด ไม่ว่ามนุษย์จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของพลังปราณที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากฟ้าดินได้!
โลกช่างกว้างใหญ่ไพศาล มนุษย์ก็เป็นเหมือนมดตัวจ้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับโลก
เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ฟางชิวก็รู้สึกตื่นเต้นทันที
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนได้ค้นพบเส้นทางที่แตกต่างจากเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ในยุคปัจจุบัน และมันก็เป็นเส้นทางที่ทรงพลังมาก!
จากนั้น เขาจึงรีบอ่านเนื้อหาบนกำแพงต่ออย่างไม่รีรอ!
‘เต๋าสามารถควบคุมฟ้าดิน และสามารถช่วยปรับกระแสพลังปราณได้ ทว่าเต๋าก็สามารถรังสรรค์สรรพสิ่งกับทำลายทิ้งได้เช่นกัน’
‘มนุษย์ในสมัยโบราณ ถ้าจะใช้พลังปราณจากฟ้าดิน ต้องใช้ร่างกายเป็นเต๋า โดยใช้เต๋าเป็นเครื่องนำทางเพื่อปรับกระแสพลังปราณจากฟ้าดิน จากนั้นมนุษย์ก็จะสามารถแยกทะเลและแผ่นดินได้ด้วยปลายนิ้วมือ…’
ฟางชิวอ่านอย่างตั้งใจ เพื่อให้ทุกข้อความบนผนังสลักลึกลงไปในใจของเขา
ทว่า ระหว่างที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับข้อความอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็พบว่าข้อความบนผนังบางส่วนขาดหายไป
ไม่มีแล้ว?
เมื่อฟางชิวมองหาดูอีกรอบ ข้อความบนผนังก็ขาดหายไปเหมือนเดิม
“มีแค่นี้เหรอ?” ฟางชิวตกตะลึงในทันใด เห็นได้ชัดว่ายังมีเนื้อหาอยู่อีกมากมาย แต่ที่นี่กลับมีไม่ครบ
เขาจึงรีบเข้าไปสังเกตที่ผนังอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็พบว่าข้อความต่อจากนั้นไม่ได้ถูกลบ แต่มันไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้เลยต่างหาก
น่าเสียดายจริง ๆ!
ฟางชิวถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
น่าเสียดายที่มีการบันทึกเฉพาะส่วนแรกเท่านั้น และมันก็มีแนวโน้มว่าไม่ได้มีเนื้อหาแค่นี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าย่อหน้านี้จะเป็นบันทึกกระบวนท่าแค่ท่าเดียว แต่มันก็เป็นกระบวนท่าที่น่าทึ่งมาก เพราะมันสามารถระดมพลังปราณจากฟ้าดินได้
ดังนั้น การได้เคล็ดลับนี้จึงเป็นโชคที่ดีอยู่แล้ว!
ฟางชิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอ่านข้อความบนผนังอีกครั้ง
หลังจากอ่านจบแล้ว เขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นเพียงการฝึกกระบวนท่าเท่านั้น กล่าวคือ จะใช้กระบวนท่านี้ได้ก็ต่อเมื่อรวบรวมพลังปราณฟ้าดินโคจรไว้ในร่างได้แล้วเท่านั้น!
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!
เพราะเขาไม่กล้าที่จะคาดหวังว่าตัวเองจะสามารถรวบรวมพลังปราณฟ้าดินได้ทุกเวลา ถ้าเกิดสามารถรวบรวมพลังปราณฟ้าดินได้ตลอดเวลาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีวันตายหรอกหรือ?
ดังนั้น กระบวนท่าที่สามารถรวบรวมพลังปราณฟ้าดินได้ แค่กระบวนท่าเดียวก็เพียงพอแล้ว!
และเคล็ดลับกระบวนท่านี้มันคือ ‘หัตถ์ทำลายล้าง!’ จริง ๆ
เคล็ดลับนี้คือการใช้ร่างกายเป็นตัวนำทาง โดยใช้กระบวนท่าพิเศษเพื่อให้ร่างกายสามารถดึงพลังปราณจากฟ้าและดินให้เข้าสู่ร่างกายได้ จากนั้นก็แปลงพลังปราณในร่างกายให้เป็นเส้นใยพัน ๆ เส้น เพื่อใช้ควบคุมพลังปราณที่รวบรวมมาจากฟ้าดิน
พูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือนกับการควมคุมหุ่นกระบอก
ฟางชิวป็นผู้ควบคุม พลังปราณภายในร่างกายคือเส้นด้าย ส่วนพลังปราณที่มาจากฟ้าดินคือหุ่นกระบอก
ตราบใดที่ควบคุมได้เป็นอย่างดี พลังปราณก็จะแข็งแกร่งจนเกินจินตนาการของทุกคน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟางชิวก็นึกถึงสิ่งที่ชายชราพูดก่อนหน้านี้
“เธอไม่ใช่คนธรรมดา”
“แต่ดูไปดูมา เธอมันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง!”
สองประโยคนี้ฟังดูแล้วมันขัดแย้งกัน แต่หลังจากที่เขาวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ในตอนนี้ฟางชิวก็ได้เข้าใจในสิ่งที่ชายชราต้องการจะสื่อ
ฟางชิวคลี่ยิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็รู้ว่าชายชราต้องการจะบอกอะไร
ชายชรารู้ว่ากระดูกของสัตว์ร้ายถูกฝังอยู่ไหน นั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องเคยมาที่ถ้ำนี้และเห็นข้อความบนกำแพงแล้วแน่นอน
และด้วยสภาพจิตใจอันมั่นคงแน่วแน่ เสียงกรีดร้องของปีศาจก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ แต่ความกดดันนั้นอาจถูกทำลายด้วยวิธีอื่น หมาป่าอาจจะเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเขา
ถึงแม้ว่าชายชราจะเข้ามาในถ้ำนี้และเห็นข้อความบนผนังแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจข้อความเหล่านั้นเลย
อีกทั้งชายชราก็ไม่หวั่นไหวเมื่อต้องเผชิญกับการล่อลวงครั้งใหญ่เช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้ฟางชิวรู้สึกชื่นชมชายชราทันที
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ฟางชิวก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าชายชรามีระดับการฝึกบำเพ็ญเพียรที่สูงมาก และอาจจะอยู่ในระดับปรมาจารย์ด้วยซ้ำ เขาอายุแปดสิบห้าปีเข้าไปแล้ว แต่สามารถอยู่คนเดียวได้ในภูเขาแห่งนี้ เพียงเพื่อการฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
โดยเฉพาะประโยคนั้น ประโยคที่ชายชราเอ่ยออกมา
‘ฉันไม่ได้คิดเรื่องตัวเองตัวซ้ำ แล้วฉันจะคิดถึงบ้านได้ยังไง’
เมื่อฟางชิวลองขบคิดดูตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงการไม่มีตัวตน
ไม่มีตัวตน แต่มีฉัน มีสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
เพราะฉันเป็นฉัน ฉันจึงเป็นสิ่งมีชีวิต
การไปถึงความรู้สึกไม่มีตัวตนมันสุดยอดมาก!
แต่มันเป็นขอบเขตของระดับไหนกันล่ะเนี่ย?
ฟางชิวไม่สามารถจินตนาการตามได้ และเขาก็ไม่สามารถทำตามได้ด้วย
นี่มันยากเกินไปแล้ว!
แม้ว่าขอบเขตของการฝึกบำเพ็ญเพียรของชายชราจะสูงมาก แต่พลังปราณของชายชราก็ยังมีไม่มากพอ
แต่พอมาคิดดูอีกที ชายชราดูไม่ค่อยจะสนใจการฝึกฝนสักเท่าไรเลย บางทีสำหรับคนแก่อย่างชายชรา ความเงียบอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกฝน การต่อสู้ตีรันฟันแทงไม่น่าจะเหมาะกับเขา
“เส้นทางของการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ถ้าฉันฝึกจริงจังแล้วล่ะก็ ในวันหนึ่งฉันอาจจะไล่ตามชายชราทันก็ได้” ฟางชิวพึมพำและพยักหน้าเบา ๆ
ถึงแม้ฟางชิวจะรู้ว่าระดับขอบเขตของชายชราจะน่าชื่นชม แต่ฟางชิวก็ไม่เหมาะกับเส้นทางนั้น เพราะเขาเลือกเส้นทางฝึกยุทธ์มานานแล้ว และถ้าจะให้เปลี่ยนเส้นทางไปฝึกบำเพ็ญเพียรก็คงจะไม่ทัน
เพราะวิถีทางนั้นแตกต่างออกไป ชายชราจึงเลือกใช้โอกาสนี้ในการฝึกฝน
แต่ฟางชิวไม่มีทางเลือกอื่น เพราะโอกาสนี้มันช่วยส่งเสริมเส้นทางของเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ฟางชิวก็นั่งลงแล้วเริ่มฝึกฝนและศึกษาตามเคล็ดลับวิธีที่เขียนไว้บนผนัง
ระหว่างที่ลงมือฝึกปฏิบัติจริง ฟางชิวก็หลับตาโดยไม่รู้ตัว
ข้อความบนผนังยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และลอยอยู่ตรงหน้าไปมา ก่อนที่ทุกรายละเอียดของข้อความจะกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เวลาผ่านไป
ฟางชิวยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึก จนลืมเวลาและสถานที่ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าใช้ไปเวลานานเท่าไรแล้ว
“สำเร็จ!” ฟางชิวที่หลับตาอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ได้ลืมตาขึ้นมา แสงวาบผ่านนัยน์ตาเขาไปมา
เมื่อฟางชิวมองลงไปที่ฝ่ามือตัวเอง เขาก็พบว่าที่บนฝ่ามือของตนมีแสงสีขาวนวลส่องประกายอยู่
“หัตถ์ทำลายล้าง!” ระหว่างที่นั่งขัดสมาธิบนพื้น ฟางชิวก็ยกมือขวาขึ้น
ฟู่…
ทันใดนั้น ทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือน
พลังปราณจากฟ้าดินที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ารวมตัวกันอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทุกทาง และผสานลงที่กลางฝ่ามือของฟางชิว
ก่อนที่จะเกิดพลังปราณฟ้าดินที่กลางฝ่ามือมวลใหญ่!
แม้ว่าฟางชิวจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพลังปราณฟ้าดินในฝ่ามือนี้อย่างชัดเจน
“ช่างเป็นพลังปราณที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้!”
ฟางชิวอดที่จะตกใจไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงการก่อตัวของพลังปราณที่ฝ่ามือ
เขาหมดความสงสัยทันที หากพลังปราณนี้ถูกโจมตีออก มันคงเจาะผนังด้านหน้าของเขาให้เป็นรูลึกได้อย่างง่ายดาย และถ้าโจมตีใส่คนละก็ มันก็คงจะเจาะทะลุร่างกายของคนนั้นได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฟางชิวไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาเลยด้วยซ้ำ
ถ้าเขาใช้พละกำลังทั้งหมด แสงในฝ่ามือนี้ก็จะใหญ่ขึ้น แต่ฟางชิวไม่รู้ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน อย่างไรก็สามารถบีบอัดพลังปราณให้เล็กลงได้ จะให้เล็กเท่ากับกระสุนปืนก็ยังได้
“แข็งแกร่งมาก!” ฟางชิวหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็สลายพลังปราณจากฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจออกมา
เขาไม่เคยคิดว่าจะมีการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่ในโลก!
ฉับพลัน
ตูม!
โครม!
ผนังหินที่อยู่ด้านหน้าของฟางชิวแตกรอยร้าวออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่วงกราวเป็นฝุ่นผง ก่อนที่จะตกลงไปในแอ่งน้ำ
ด้วยการแตกร้าวของกำแพงนี้ เป็นเหตุให้ข้อความที่อยู่บนกำแพงหายไปอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง
ผนังที่เคยผุกร่อนกลายเป็นผนังที่เรียบเนียนกว่าเมื่อก่อน “ถ้าเกิดมีคนเรียนกระบวนท่านี้จนเป็นแล้ว คำพวกนี้ก็จะหายไปงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นความผิดปกติตรงหน้าของเขา ฟางชิวก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มมองลงไปที่ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง
“ถึงแม้หัตถ์ทำลายล้างนี้จะเป็นเพียงกระบวนท่าในบทแรก แต่อานุภาพของมันกลับน่ากลัวเกินคาด ไม่รู้ว่ากระบวนท่าที่ถูกบันทึกต่อจากนั้นจะน่ากลัวแค่ไหน ชักอยากจะรู้แล้วสิ!”
พอคิดได้อย่างนั้นแล้ว ฟางชิวก็หันไปมองไปที่ผนังถ้ำรอบ ๆ แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ผนังด้านที่เหลือไม่มีข้อความแม้แต่ตัวเดียว ไม่ต้องพูดถึงรอยขีดเขียนเลย
หากไม่มีความคาดหวัง ก็ย่อมไม่มีความผิดหวัง
ฟางชิวส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแล้วพึมพำว่า “ถ้าจะหาข้อความ คงหาได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ”
หลังจากบ่นในใจแล้วว่าไม่มีข้อความที่ผนังทั้งสามด้าน เขาก็เดินไปยังก้อนหินเรียบ ๆ ที่เรียงซ้อนกันอยู่ตรงผนังถ้ำทางด้านขวา
มีหินแบนทั้งหมดเก้าก้อน แต่ละก้อนก็หนาเป็นนิ้ว บางก้อนเป็นรูปวงรี บางก้อนเป็นรูปสี่เหลี่ยม บางก้อนเป็นก้อนกลม พวกมันถูกเรียงซ้อนกันได้สวยมาก
เมื่อเดินมาถึงกองหิน ฟางชิวก็นั่งลงและสังเกตอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะพบว่าหินแบนพวกนี้เป็นแค่หินธรรมดาที่ไม่มีข้อความอะไรเขียนเอาไว้เลย
“ไม่มีอะไรเลยเหรอเนี่ย?” ฟางชิวบ่นพึมพำ
สำหรับฟางชิวแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความหมายในตัวมันเอง
ถ้าหินแบนเหล่านี้ไม่มีความพิเศษอะไรหรือกลไกพิเศษต่าง ๆ แล้วทำไมพวกมันถึงได้ถูกวางซ้อนกันตรงนี้ล่ะ?
ฟางชิวมองไปรอบ ๆ พื้นที่แถวนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเศษกรวดแม้แต่ก้อนเดียว
เตียงหวายกับกองหินเหล่านี้ก็เป็นสิ่งของแค่สองอย่างในถ้ำแห่งนี้เท่านั้น
“ลองหยิบมาดูหน่อยดีกว่า” ฟางชิวเหยียดแขนออกไปหยิบหินแบนก้อนแรกลงมา เขาสังเกตดูจนทั่ว จากนั้นก็ก้มมองดูหินแบนก้อนที่สอง แต่ก็ยังไม่เจออะไรอยู่ดี
ฟางชิวจึงหยิบหินอีกก้อนและสำรวจดูต่อไป
กระทั่งเขาหยิบหินออกมาดูแล้วถึงแปดก้อน ฟางชิวก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ
“จะอยู่ข้างล่างหรือเปล่า” ด้วยความสงสัย ฟางชิวจึงเอื้อมมือออกไปหยิบหินแบนก้อนสุดท้ายขึ้นมา
“สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เจออะไร” ฟางชิวยิ้มอย่างขมขื่น ทว่าจังหวะที่ฟางชิวกำลังจะลุกขึ้นและจากไป ร่างกายของเขาก็เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย
พอฟางชิวก้มมองลงไปข้างล่าง เขาก็เห็นว่าพื้นที่ใต้ก้อนหินก้อนที่เก้านั้นยุบตัวลงไป
“เจอแล้ว!” ฟางชิวมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าพื้นถ้ำนี้เป็นหินทั้งหมด ทำให้มีฝุ่นไม่เยอะมาก และหินแบนทั้งเก้าก้อนนี้ก็ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้น แม้ว่าจะวางไว้เป็นเวลานานก็ตาม แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พื้นหินยุบอย่างนี้
กล่าวคือ พื้นข้างล่างของหินก้อนที่เก้า ไม่ใช่หิน แต่เป็นดิน
โดยไม่ต้องคิดให้มากมาย ฟางชิวก็เริ่มขุดพื้นดินทันที ระหว่างที่ขุดเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง และยิ่งขุดก็ยิ่งเห็นความผิดปกติมากยิ่งขึ้น
“หือ~” ฟางชิวใช้มือดึงวัตถุที่สีดำสนิทขึ้นมาจากดิน
มันคือผ้าสีดำ และเป็นผ้าที่กำลังห่อสิ่งของเอาไว้อยู่ เนื่องจากมันถูกฝังอยู่ในดินมาตลอดทั้งปี ผ้าเลยค่อนข้างเก่า
เมื่อเปิดห่อผ้าดูแล้ว สิ่งที่กระแทกตาของฟางชิวอย่างจังก็คือ กระบอกคัมภีร์ตระการตา
ด้านบนและด้านล่างของกระบอกคัมภีร์จะมีรูปดอกไม้ที่แกะสลักจากหยก ตรงกลางของหยกกลวงและมีรอยกรีด แล้วส่วนที่เป็นหัวของกระบอกนั้นก็มีกระดาษสีทองโผล่ออกมา ซึ่งกระดาษสีทองก็มีลักษณะคล้ายกับม้วนกระดาษ เพียงแค่ดึงหัวของกระดาษสีทองออกมาก็สามารถเปิดดูข้างในได้แล้ว
“นี่คือ…” ฟางชิวพึมพำเสียงต่ำพลางก้มดูกระดาษสีทองในมือ
ด้านบนกระดาษสีทองมีตัวอักษรเล็ก ๆ ไม่กี่ตัวเขียนเอาไว้ว่า ‘คัมภีร์ขุมทรัพย์สมุนไพร’