คุรุการแพทย์ – บทที่ 97 คืนนี้อยู่กับฉันได้ไหม

คุรุการแพทย์

บทที่ 97 คืนนี้อยู่กับฉันได้ไหม

บทที่ 97 คืนนี้อยู่กับฉันได้ไหม

ฟางชิวคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและอุ้ม เจียงเหมี่ยวอวี๋ขึ้นบันไดไป

เมื่อเห็นแบบนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วรีบตามไปอย่างรวดเร็ว

พอมาชั้นสอง ฟางชิวก็วางเจียงเหมี่ยวอวี๋ลง

“ไปหาที่นั่งกันเถอะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋

“ตรงนี้ก็แล้วกัน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเดินไปที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด ฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋จึงเดินตามไป

“อยากกินอะไร? ฉันจะสั่งให้” ฟางชิวเอ่ยถามสองสาว

“เมิ่งเจี๋ยยังไม่เคยกินข้าวในโรงอาหารที่นี่เลย สั่งอาหารจานพิเศษทั้งหมดเถอะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋กล่าว

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” ฟางชิวหันไปถามเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย

“อะไรก็ได้ ทุกอย่างจะอร่อยตอนหิวอยู่แล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่ได้จู้จี้จุกจิก

“โอเค” ฟางชิวพยักหน้า จากนั้นเขาก็กำลังจะไปสั่งอาหาร

ทันใดนั้น

“ลูกพี่?” เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นฉับพลัน

ฟางชิวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็พบว่าถังเฮิงกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มสดใส

“นายก็อยู่นี่ด้วยเหรอ” ฟางชิวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“อยู่บ้านผมก็ไม่มีอะไรทำ ผมเคยไปเที่ยวมาหมดทั่วประเทศแล้ว น่าเบื่อจะตาย ผมก็เลยอยู่ต่อ” ถังเฮิงตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะหันไปมองเจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย จากนั้นเขาก็กลอกตาแล้วล้อขึ้นว่า “สวัสดีครับพี่สะใภ้ทั้งสองคน”

คำทักทายของเขาทำให้ทั้งสามคนตกตะลึง

ฟางชิวไม่ค่อยทำหน้าตกใจให้ใครเห็น แต่หัวสมองอันน่าทึ่งของถังเฮิงก็ทำให้ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจอย่างมากในครั้งนี้

อะไรไปดลใจให้พูดคำทักทายแบบนี้ออกมากัน?

ฟางชิวรู้สึกอึ้ง เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยได้แต่มองหน้ากันและไม่พูดอะไร

บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที

“ลูกพี่ยังไม่ได้สั่งเหรอ?” ถังเฮิงเอ่ยถามหลังจากเหลือบมองไปยังโต๊ะที่ว่างเปล่า

“ยังเลย” ฟางชิวได้สติกลับมาแล้วตอบด้วยการพยักหน้า

“งั้นก็ดีเลย” ถังเฮิงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “โชคดีมากที่ผมได้เจอพี่กับพี่สะใภ้ทั้งสองคนที่นี่ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง วันนี้พี่ฟางชิวก็นั่งดูแลพี่สะใภ้ทั้งสองคนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจัดการสั่งอาหารให้เอง”

“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องก็ได้…” ฟางชิวปฏิเสธทันที แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ถังเฮิงก็โบกมือแล้วพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ได้โปรด! พี่ฟางชิว วันนี้ให้ผมจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เถอะ เว้นแต่ว่าลูกพี่จะไม่เห็นแก่ของผม” จากนั้นเขาก็ออกไปสั่งอาหารโดยไม่รอคำตอบของฟางชิวเลย

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ฟางชิวก็เลยนั่งลง และไม่พูดอะไรออกมาอีก

“น้องชายของนายน่าสนใจดีนะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมนายไม่เคยบอกฉันว่านายมีน้องชาย”

“เขาชื่อถังเฮิง เป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง เคยโดนฉันสั่งสอนไป เขาก็เลยเรียกฉันว่าลูกพี่” ฟางชิวอธิบาย

“อ้อ เข้าใจแล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะถามเบา ๆ ว่า “เขาคือคนที่ขับรถเร็วจนน้ำกระเด็นใส่คนอื่น ก็เลยโดนนายสั่งสอนในที่สาธารณะใช่ไหม?” คนอื่นอาจจะจำคนในภาพไม่ได้ เพราะภาพมันถูกเบลอไว้ แต่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยรู้ว่าเป็นฟางชิวแน่นอน

ฟางชิวคนนี้ได้รักษาความยุติธรรมในโรงเรียนมัธยมปลายมาหลายครั้งแล้ว

“เป็นเขานั่นแหละ” ฟางชิวหัวเราะ “มันไม่ใช่ความผิดของถังเฮิงหรอก แต่เป็นความผิดของคนขับรถเขาต่างหาก เขาไม่เกี่ยว”

“แค่ดูก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนเลว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้า

“ถูกต้อง” เพราะกลัวว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะถูกละเลย ฟางชิวจึงมองไปที่เธอและถามว่า “รูมเมตของเธออยู่ที่ไหน? ทำไมไม่พาพวกเธอมาด้วยกันล่ะ”

“พวกเธอกินข้าวกันไปแล้ว” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยท่าทีขาดความมั่นใจ

แน่นอนว่า ฟางชิวรู้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ไม่ได้เชิญรูมเมตของเธอ เพียงเพราะจะได้กินข้าวกับเขาและเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยคนเดียว เพราะงั้นเขาถึงไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย

“อืม” ฟางชิวตอบกลับ

“เท้าของเธอเป็นอย่างไรบ้าง? ไปหาหมอหรือยัง” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยถามอย่างแข็งขัน

“ไปมาแล้ว” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบพลางพยักหน้า “หมอบอกให้ฉันไปรับยาวันพรุ่งนี้ เขาบอกว่ามันไม่ได้ร้ายแรงมาก กระดูกถูกจัดเข้าที่แล้ว ตอนนี้มีแค่อาการกล้ามเนื้อบาดเจ็บนิดหน่อยกับเอ็นตึงเท่านั้น” หลังจากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เหลือบมองฟางชิวด้วยความชื่นชม

ฟางชิวยิ้มตอบ

จากนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เริ่มคุยกัน ส่วนฟางชิวก็ได้แต่เงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ผ่านไปสักพัก ถังเฮิงก็กลับมา

เพราะไม่มีใครอยู่บนชั้นสอง อาหารของพวกเขาจึงถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นาน ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร

อาหารทั้งหมดล้วนเป็นอาหารอันโอชะที่นักศึกษาทั่วไปอยากกิน แต่หาซื้อกินไม่ทัน

“ลูกพี่เป็นยังไงบ้าง” เมื่อมองไปที่ฟางชิว ถังเฮิงก็หัวเราะออกมา “ผมสั่งอาหารดี ๆ ของโรงอาหารนี้มาหมดแล้ว ถ้าพี่อยากกินอะไรอีกก็บอกผมมาได้เลย เดี๋ยวผมสั่งเพิ่มให้”

“แค่นี้ก็พอแล้ว” ฟางชิวตอบด้วยรอยยิ้มทื่อ ๆ “กินหมดก็ดีสิ”

“เริ่มกินกันได้เลย!” เมื่อเห็นทั้งสามคนยังนั่งนิ่ง ถังเฮิงก็ตะโกนออกมา แล้วคว้าตะเกียบมาคีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย

“พี่สะใภ้ทั้งสองคนลองกินนี่ดูสิ นี่อาหารจานโปรดของผมเลยนะ” ถังเฮิงพูดด้วยความกระตือรือร้นและมั่นใจขณะที่คีบอาหารให้กับสองสาว

ส่วนฟางชิวก็ทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน เขาไปหยิบตะเกียบด้วยตัวเอง

“ลูกพี่?” หลังจากคีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้ว ถังเฮิงก็หันไปมองฟางชิวแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งกินสิครับ คีบอาหารให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนก่อนสิ!” จากนั้นเขาก็เหลือบมองฟางชิวอย่างดูถูก

โอกาสดี ๆ แบบนี้! ลูกพี่ควรทำทุกอย่างเพื่อเอาใจพวกเธอนะ!

ฟางชิวพูดไม่ออก

นายกำลังทำเรื่องไร้สาระ แล้วนายก็ยังต้องการลากฉันให้ไปร่วมวงด้วยเนี่ยนะ

สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับฟางชิวก็คือ ไม่สำคัญว่าถังเฮิงจะตะโกนอย่างกระตือรือร้นสักแค่ไหน แต่ทำไมเจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่ปฏิเสธไปล่ะ ราวกับว่าพวกเธอยอมรับตำแหน่งที่ถังเฮิงมอบให้

“กินสิ” ในที่สุดฟางชิวก็คีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจนได้

“ฮ่า ๆ…” เห็นแบบนั้นแล้วถังเฮิงก็หัวเราะชอบอกชอบใจ เขามองไปที่ฟางชิวพลางยกนิ้วโป้งให้ใต้โต๊ะ

ฟางชิวขี้เกียจจะสนใจถังเฮิงอีก

แต่ต้องขอบคุณถังเฮิงตัวป่วน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายมากขึ้น

ในระหว่างมื้ออาหาร เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มีความสุขมาก พวกเธอเกือบจะเหมือนเพื่อนสนิทกันแล้ว

ฟางชิวก็เลยรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นแบบนั้น

เขาแอบกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายมื้ออาหารก็ผ่านไปด้วยดี มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังช่วยสร้างมิตรภาพระหว่างเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋อีกด้วย

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหงุดหงิดก็คือ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเล่าประสบการณ์อันน่าอับอายสมัยม.ปลายของเขาให้เจียงเหมี่ยวอวี๋ฟัง

เมื่อใดก็ตามที่พวกเธอตื่นเต้น พวกเธอก็จะมองไปที่ฟางชิว แล้วพากันหัวเราะออกมา ถังเฮิงเองก็ร่วมหัวเราะผสมโรงด้วย

ฟางชิวจ้องมองไปที่ถังเฮิงอย่างคาดโทษให้หยุดหัวเราะ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ถังเฮิงก็รีบขอแยกตัวออกไป ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าอยู่ต่อ เขาก็เป็นได้แค่ก้างขวางคอเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ไม่กล้ารบกวนช่วงเวลาเดตของฟางชิวด้วย

“เธอเดินไม่สะดวก เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งเธอกลับหอก่อนก็แล้วกัน” ฟางชิวพูดกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่นอกโรงอาหาร

“แล้วเมิ่งเจี๋ยล่ะ?” เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้วถามว่า “เธอมานอนที่หอพักของฉันดีไหม?”

“ไม่เป็นไร ฉันมีห้องพักในโรงแรมแล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบยิ้ม ๆ

“อ้อ” เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปพูดกับฟางชิวว่า “นายควรส่งเมิ่งเจี๋ยไปที่โรงแรมนะ ข้างนอกมหาวิทยาลัยของพวกเราไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่”

“ไปส่งคนเจ็บก่อนเถอะ” ก่อนที่ฟางชิวจะตอบ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ฉันกับฟางชิวจะไปส่งเธอที่หอพักก่อน เขาค่อยไปส่งฉันกลับไปที่โรงแรม ฉันปล่อยให้เธอกลับห้องคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก”

เจียงเหมี่ยวอวี๋ลอบกัดริมฝีปากของตัวเอง และไม่กล้าค้านอีก

ฟางชิวกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเดินไปส่งเจียงเหมี่ยวอวี๋กลับไปที่หอพัก เมื่อเห็นหยวนเป้ยอยู่ในหอพักด้วย ฟางชิวก็จากไปอย่างสบายใจ

จากนั้น เขาก็เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย และไม่วายแวะซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยโปรดปรานให้เธอทาน

เธอยังทานไม่ทันเสร็จดี เธอก็ขอให้ฟางชิวหยุดพักก่อน ฟางชิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟัง

พอถึงเวลาสามทุ่ม ฟางชิวก็ไปส่งเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกลับไปที่โรงแรม

“ฉันไปก่อนนะ” ฟางชิวบอกเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเมื่อพวกเขามาถึงห้องพักในโรงแรมแล้ว

“คืนนี้อยู่กับฉันไม่ได้เหรอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจ้องไปที่ฟางชิว แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉันจะกลับพรุ่งนี้แล้ว ห้องฉันมีสองเตียงนะ”

“นี่…” ฟางชิวรู้สึกตกใจ พลางพึมพำออกมาว่า “มันไม่เหมาะ”

“มีอะไรที่ไม่เหมาะสมกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยอยู่ด้วยกันทั้งคืนสักหน่อย ตอนวันหยุดฤดูร้อน พวกเราแอบไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันไม่ใช่เหรอ เงินค่าห้องก็ไม่พอ สุดท้ายก็ต้องนอนห้องเดียวกัน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของฟางชิวตรง ๆ

“ก็ตอนนั้นพวกเราไม่มีทางเลือกอื่น” ฟางชิวยิ้มอย่างขมขื่น ดวงตาของเขาก็เบือนไปมองอย่างอื่น

“ฉันก็แค่อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่สวยงามนั่นอีกครั้งก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแฝงไปด้วยความวิงวอนอย่างชัดเจน

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็กัดฟันพูดออกมาว่า “ก็ได้”

สิ้นเสียงของฟางชิว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ เธอกระโดดขึ้นลงอย่างสนุกสนานและชี้ไปที่เตียงข้างกำแพง “นายนอนเตียงนู้นนะ” จากนั้น เธอก็ชี้ไปที่เตียงข้างหน้าต่าง “เตียงนี้ของฉัน”

“ตกลง” ฟางชิวยิ้ม

เมื่อแบ่งเตียงทั้งสองเตียงแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำความสะอาด

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไปอาบน้ำก่อน ตอนที่เธออาบน้ำเสร็จ เธอก็สวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำ ภาพนี้ก็สวยงามราวกับดอกบัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำไม่มีผิด

ฟางชิวตกอยู่ในภวังค์ทันที

“ถึงตานายแล้ว!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยผลักฟางชิวเข้าไปในห้องน้ำ แม้ว่าหน้าของเธอจะแดงก็ตาม

ฟางชิวหัวเราะอย่างเขินอายแล้วเริ่มล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากที่เขาถอดเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้ว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

“ฉันจะเข้าไปข้างในนะ!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแกล้งหยอก

“อย่า!” ฟางชิวตะโกนตอบด้วยความตกใจ

“ฮ่า ๆ ทำให้นายตกใจได้แล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะเสียงดังกับคำตอบของฟางชิว

ใช่แล้ว! การกลั่นแกล้งครั้งนี้ประสบความสำเร็จ!

เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยทำให้ฟางชิวพูดไม่ออกเลย

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งตอนที่เขากำลังจะออกไป

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ฉันกำลังจะเข้าไปข้างในแล้วนะ” เสียงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยดังเข้ามาในห้องน้ำ

“ก็เข้ามาสิ” ฟางชิวตัดสินใจเล่นด้วย เขารู้ว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่กล้าเข้ามา

“ฉันจะเข้าไปจริง ๆนะ!” สิ้นคำ ประตูก็ถูกเปิดออกทันที ทำให้สีหน้าของฟางชิวเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว

เขารีบเอามือไปปิดเป้าของเขา ก่อนที่จะร้องตะโกนออกมาว่า “อย่านะ!”

“ฮ่า ๆ…” หลังเสียงปิดประตูดังขึ้น เสียงหัวเราะที่ร่าเริงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ดังตามขึ้นมาทันที

ฟางชิวรู้สึกพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

ตอนที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วบ่นออกมาว่า

“ไม่มีความสงบเลย แม้แต่ตอนที่ฉันเข้าห้องน้ำ”

“นายจะเคาะประตู เวลาที่ฉันอยู่ในห้องน้ำก็ได้นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกะพริบตาใส่ฟางชิว

“เข้าใจแล้ว! ฉันขอยอมแพ้!” ฟางชิวก็เลยต้องยกมือขึ้นเพื่อยอมแพ้

“ฮ่า ๆ…” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ

แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันขึ้นเตียง จากนั้นพวกเขาก็นั่งบนเตียงของตัวเอง แล้วพูดคุยกัน

ทั้งสองคุยกันจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นถึงมองตากันอย่างเงียบ ๆ แล้วตัดสินใจปิดไฟ

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท