บทที่ 97 คืนนี้อยู่กับฉันได้ไหม
บทที่ 97 คืนนี้อยู่กับฉันได้ไหม
ฟางชิวคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและอุ้ม เจียงเหมี่ยวอวี๋ขึ้นบันไดไป
เมื่อเห็นแบบนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
พอมาชั้นสอง ฟางชิวก็วางเจียงเหมี่ยวอวี๋ลง
“ไปหาที่นั่งกันเถอะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋พูดด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋
“ตรงนี้ก็แล้วกัน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเดินไปที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด ฟางชิวกับเจียงเหมี่ยวอวี๋จึงเดินตามไป
“อยากกินอะไร? ฉันจะสั่งให้” ฟางชิวเอ่ยถามสองสาว
“เมิ่งเจี๋ยยังไม่เคยกินข้าวในโรงอาหารที่นี่เลย สั่งอาหารจานพิเศษทั้งหมดเถอะ” เจียงเหมี่ยวอวี๋กล่าว
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” ฟางชิวหันไปถามเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
“อะไรก็ได้ ทุกอย่างจะอร่อยตอนหิวอยู่แล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่ได้จู้จี้จุกจิก
“โอเค” ฟางชิวพยักหน้า จากนั้นเขาก็กำลังจะไปสั่งอาหาร
ทันใดนั้น
“ลูกพี่?” เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นฉับพลัน
ฟางชิวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็พบว่าถังเฮิงกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“นายก็อยู่นี่ด้วยเหรอ” ฟางชิวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“อยู่บ้านผมก็ไม่มีอะไรทำ ผมเคยไปเที่ยวมาหมดทั่วประเทศแล้ว น่าเบื่อจะตาย ผมก็เลยอยู่ต่อ” ถังเฮิงตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะหันไปมองเจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย จากนั้นเขาก็กลอกตาแล้วล้อขึ้นว่า “สวัสดีครับพี่สะใภ้ทั้งสองคน”
คำทักทายของเขาทำให้ทั้งสามคนตกตะลึง
ฟางชิวไม่ค่อยทำหน้าตกใจให้ใครเห็น แต่หัวสมองอันน่าทึ่งของถังเฮิงก็ทำให้ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจอย่างมากในครั้งนี้
อะไรไปดลใจให้พูดคำทักทายแบบนี้ออกมากัน?
ฟางชิวรู้สึกอึ้ง เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยได้แต่มองหน้ากันและไม่พูดอะไร
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที
“ลูกพี่ยังไม่ได้สั่งเหรอ?” ถังเฮิงเอ่ยถามหลังจากเหลือบมองไปยังโต๊ะที่ว่างเปล่า
“ยังเลย” ฟางชิวได้สติกลับมาแล้วตอบด้วยการพยักหน้า
“งั้นก็ดีเลย” ถังเฮิงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มว่า “โชคดีมากที่ผมได้เจอพี่กับพี่สะใภ้ทั้งสองคนที่นี่ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง วันนี้พี่ฟางชิวก็นั่งดูแลพี่สะใภ้ทั้งสองคนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจัดการสั่งอาหารให้เอง”
“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องก็ได้…” ฟางชิวปฏิเสธทันที แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ถังเฮิงก็โบกมือแล้วพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ได้โปรด! พี่ฟางชิว วันนี้ให้ผมจ่ายค่าอาหารมื้อนี้เถอะ เว้นแต่ว่าลูกพี่จะไม่เห็นแก่ของผม” จากนั้นเขาก็ออกไปสั่งอาหารโดยไม่รอคำตอบของฟางชิวเลย
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ฟางชิวก็เลยนั่งลง และไม่พูดอะไรออกมาอีก
“น้องชายของนายน่าสนใจดีนะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมนายไม่เคยบอกฉันว่านายมีน้องชาย”
“เขาชื่อถังเฮิง เป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง เคยโดนฉันสั่งสอนไป เขาก็เลยเรียกฉันว่าลูกพี่” ฟางชิวอธิบาย
“อ้อ เข้าใจแล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะถามเบา ๆ ว่า “เขาคือคนที่ขับรถเร็วจนน้ำกระเด็นใส่คนอื่น ก็เลยโดนนายสั่งสอนในที่สาธารณะใช่ไหม?” คนอื่นอาจจะจำคนในภาพไม่ได้ เพราะภาพมันถูกเบลอไว้ แต่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยรู้ว่าเป็นฟางชิวแน่นอน
ฟางชิวคนนี้ได้รักษาความยุติธรรมในโรงเรียนมัธยมปลายมาหลายครั้งแล้ว
“เป็นเขานั่นแหละ” ฟางชิวหัวเราะ “มันไม่ใช่ความผิดของถังเฮิงหรอก แต่เป็นความผิดของคนขับรถเขาต่างหาก เขาไม่เกี่ยว”
“แค่ดูก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนเลว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้า
“ถูกต้อง” เพราะกลัวว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะถูกละเลย ฟางชิวจึงมองไปที่เธอและถามว่า “รูมเมตของเธออยู่ที่ไหน? ทำไมไม่พาพวกเธอมาด้วยกันล่ะ”
“พวกเธอกินข้าวกันไปแล้ว” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยท่าทีขาดความมั่นใจ
แน่นอนว่า ฟางชิวรู้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ไม่ได้เชิญรูมเมตของเธอ เพียงเพราะจะได้กินข้าวกับเขาและเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยคนเดียว เพราะงั้นเขาถึงไม่เข้าใจความคิดของเธอเลย
“อืม” ฟางชิวตอบกลับ
“เท้าของเธอเป็นอย่างไรบ้าง? ไปหาหมอหรือยัง” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยถามอย่างแข็งขัน
“ไปมาแล้ว” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบพลางพยักหน้า “หมอบอกให้ฉันไปรับยาวันพรุ่งนี้ เขาบอกว่ามันไม่ได้ร้ายแรงมาก กระดูกถูกจัดเข้าที่แล้ว ตอนนี้มีแค่อาการกล้ามเนื้อบาดเจ็บนิดหน่อยกับเอ็นตึงเท่านั้น” หลังจากนั้นเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เหลือบมองฟางชิวด้วยความชื่นชม
ฟางชิวยิ้มตอบ
จากนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เริ่มคุยกัน ส่วนฟางชิวก็ได้แต่เงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผ่านไปสักพัก ถังเฮิงก็กลับมา
เพราะไม่มีใครอยู่บนชั้นสอง อาหารของพวกเขาจึงถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นาน ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร
อาหารทั้งหมดล้วนเป็นอาหารอันโอชะที่นักศึกษาทั่วไปอยากกิน แต่หาซื้อกินไม่ทัน
“ลูกพี่เป็นยังไงบ้าง” เมื่อมองไปที่ฟางชิว ถังเฮิงก็หัวเราะออกมา “ผมสั่งอาหารดี ๆ ของโรงอาหารนี้มาหมดแล้ว ถ้าพี่อยากกินอะไรอีกก็บอกผมมาได้เลย เดี๋ยวผมสั่งเพิ่มให้”
“แค่นี้ก็พอแล้ว” ฟางชิวตอบด้วยรอยยิ้มทื่อ ๆ “กินหมดก็ดีสิ”
“เริ่มกินกันได้เลย!” เมื่อเห็นทั้งสามคนยังนั่งนิ่ง ถังเฮิงก็ตะโกนออกมา แล้วคว้าตะเกียบมาคีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
“พี่สะใภ้ทั้งสองคนลองกินนี่ดูสิ นี่อาหารจานโปรดของผมเลยนะ” ถังเฮิงพูดด้วยความกระตือรือร้นและมั่นใจขณะที่คีบอาหารให้กับสองสาว
ส่วนฟางชิวก็ทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน เขาไปหยิบตะเกียบด้วยตัวเอง
“ลูกพี่?” หลังจากคีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้ว ถังเฮิงก็หันไปมองฟางชิวแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งกินสิครับ คีบอาหารให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนก่อนสิ!” จากนั้นเขาก็เหลือบมองฟางชิวอย่างดูถูก
โอกาสดี ๆ แบบนี้! ลูกพี่ควรทำทุกอย่างเพื่อเอาใจพวกเธอนะ!
ฟางชิวพูดไม่ออก
นายกำลังทำเรื่องไร้สาระ แล้วนายก็ยังต้องการลากฉันให้ไปร่วมวงด้วยเนี่ยนะ
สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับฟางชิวก็คือ ไม่สำคัญว่าถังเฮิงจะตะโกนอย่างกระตือรือร้นสักแค่ไหน แต่ทำไมเจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่ปฏิเสธไปล่ะ ราวกับว่าพวกเธอยอมรับตำแหน่งที่ถังเฮิงมอบให้
“กินสิ” ในที่สุดฟางชิวก็คีบอาหารให้เจียงเหมี่ยวอวี๋กับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจนได้
“ฮ่า ๆ…” เห็นแบบนั้นแล้วถังเฮิงก็หัวเราะชอบอกชอบใจ เขามองไปที่ฟางชิวพลางยกนิ้วโป้งให้ใต้โต๊ะ
ฟางชิวขี้เกียจจะสนใจถังเฮิงอีก
แต่ต้องขอบคุณถังเฮิงตัวป่วน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายมากขึ้น
ในระหว่างมื้ออาหาร เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็มีความสุขมาก พวกเธอเกือบจะเหมือนเพื่อนสนิทกันแล้ว
ฟางชิวก็เลยรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นแบบนั้น
เขาแอบกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายมื้ออาหารก็ผ่านไปด้วยดี มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังช่วยสร้างมิตรภาพระหว่างเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋อีกด้วย
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหงุดหงิดก็คือ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเล่าประสบการณ์อันน่าอับอายสมัยม.ปลายของเขาให้เจียงเหมี่ยวอวี๋ฟัง
เมื่อใดก็ตามที่พวกเธอตื่นเต้น พวกเธอก็จะมองไปที่ฟางชิว แล้วพากันหัวเราะออกมา ถังเฮิงเองก็ร่วมหัวเราะผสมโรงด้วย
ฟางชิวจ้องมองไปที่ถังเฮิงอย่างคาดโทษให้หยุดหัวเราะ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ถังเฮิงก็รีบขอแยกตัวออกไป ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าอยู่ต่อ เขาก็เป็นได้แค่ก้างขวางคอเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ไม่กล้ารบกวนช่วงเวลาเดตของฟางชิวด้วย
“เธอเดินไม่สะดวก เดี๋ยวพวกเราจะไปส่งเธอกลับหอก่อนก็แล้วกัน” ฟางชิวพูดกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่นอกโรงอาหาร
“แล้วเมิ่งเจี๋ยล่ะ?” เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้วถามว่า “เธอมานอนที่หอพักของฉันดีไหม?”
“ไม่เป็นไร ฉันมีห้องพักในโรงแรมแล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบยิ้ม ๆ
“อ้อ” เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปพูดกับฟางชิวว่า “นายควรส่งเมิ่งเจี๋ยไปที่โรงแรมนะ ข้างนอกมหาวิทยาลัยของพวกเราไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่”
“ไปส่งคนเจ็บก่อนเถอะ” ก่อนที่ฟางชิวจะตอบ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ฉันกับฟางชิวจะไปส่งเธอที่หอพักก่อน เขาค่อยไปส่งฉันกลับไปที่โรงแรม ฉันปล่อยให้เธอกลับห้องคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ลอบกัดริมฝีปากของตัวเอง และไม่กล้าค้านอีก
ฟางชิวกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเดินไปส่งเจียงเหมี่ยวอวี๋กลับไปที่หอพัก เมื่อเห็นหยวนเป้ยอยู่ในหอพักด้วย ฟางชิวก็จากไปอย่างสบายใจ
จากนั้น เขาก็เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย และไม่วายแวะซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยโปรดปรานให้เธอทาน
เธอยังทานไม่ทันเสร็จดี เธอก็ขอให้ฟางชิวหยุดพักก่อน ฟางชิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟัง
พอถึงเวลาสามทุ่ม ฟางชิวก็ไปส่งเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกลับไปที่โรงแรม
“ฉันไปก่อนนะ” ฟางชิวบอกเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเมื่อพวกเขามาถึงห้องพักในโรงแรมแล้ว
“คืนนี้อยู่กับฉันไม่ได้เหรอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจ้องไปที่ฟางชิว แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉันจะกลับพรุ่งนี้แล้ว ห้องฉันมีสองเตียงนะ”
“นี่…” ฟางชิวรู้สึกตกใจ พลางพึมพำออกมาว่า “มันไม่เหมาะ”
“มีอะไรที่ไม่เหมาะสมกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยอยู่ด้วยกันทั้งคืนสักหน่อย ตอนวันหยุดฤดูร้อน พวกเราแอบไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันไม่ใช่เหรอ เงินค่าห้องก็ไม่พอ สุดท้ายก็ต้องนอนห้องเดียวกัน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของฟางชิวตรง ๆ
“ก็ตอนนั้นพวกเราไม่มีทางเลือกอื่น” ฟางชิวยิ้มอย่างขมขื่น ดวงตาของเขาก็เบือนไปมองอย่างอื่น
“ฉันก็แค่อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่สวยงามนั่นอีกครั้งก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแฝงไปด้วยความวิงวอนอย่างชัดเจน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็กัดฟันพูดออกมาว่า “ก็ได้”
สิ้นเสียงของฟางชิว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ เธอกระโดดขึ้นลงอย่างสนุกสนานและชี้ไปที่เตียงข้างกำแพง “นายนอนเตียงนู้นนะ” จากนั้น เธอก็ชี้ไปที่เตียงข้างหน้าต่าง “เตียงนี้ของฉัน”
“ตกลง” ฟางชิวยิ้ม
เมื่อแบ่งเตียงทั้งสองเตียงแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำความสะอาด
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไปอาบน้ำก่อน ตอนที่เธออาบน้ำเสร็จ เธอก็สวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำ ภาพนี้ก็สวยงามราวกับดอกบัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำไม่มีผิด
ฟางชิวตกอยู่ในภวังค์ทันที
“ถึงตานายแล้ว!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยผลักฟางชิวเข้าไปในห้องน้ำ แม้ว่าหน้าของเธอจะแดงก็ตาม
ฟางชิวหัวเราะอย่างเขินอายแล้วเริ่มล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากที่เขาถอดเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้ว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“ฉันจะเข้าไปข้างในนะ!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแกล้งหยอก
“อย่า!” ฟางชิวตะโกนตอบด้วยความตกใจ
“ฮ่า ๆ ทำให้นายตกใจได้แล้ว” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะเสียงดังกับคำตอบของฟางชิว
ใช่แล้ว! การกลั่นแกล้งครั้งนี้ประสบความสำเร็จ!
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยทำให้ฟางชิวพูดไม่ออกเลย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งตอนที่เขากำลังจะออกไป
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ฉันกำลังจะเข้าไปข้างในแล้วนะ” เสียงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยดังเข้ามาในห้องน้ำ
“ก็เข้ามาสิ” ฟางชิวตัดสินใจเล่นด้วย เขารู้ว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยไม่กล้าเข้ามา
“ฉันจะเข้าไปจริง ๆนะ!” สิ้นคำ ประตูก็ถูกเปิดออกทันที ทำให้สีหน้าของฟางชิวเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
เขารีบเอามือไปปิดเป้าของเขา ก่อนที่จะร้องตะโกนออกมาว่า “อย่านะ!”
“ฮ่า ๆ…” หลังเสียงปิดประตูดังขึ้น เสียงหัวเราะที่ร่าเริงของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ดังตามขึ้นมาทันที
ฟางชิวรู้สึกพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ตอนที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วบ่นออกมาว่า
“ไม่มีความสงบเลย แม้แต่ตอนที่ฉันเข้าห้องน้ำ”
“นายจะเคาะประตู เวลาที่ฉันอยู่ในห้องน้ำก็ได้นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกะพริบตาใส่ฟางชิว
“เข้าใจแล้ว! ฉันขอยอมแพ้!” ฟางชิวก็เลยต้องยกมือขึ้นเพื่อยอมแพ้
“ฮ่า ๆ…” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ
แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันขึ้นเตียง จากนั้นพวกเขาก็นั่งบนเตียงของตัวเอง แล้วพูดคุยกัน
ทั้งสองคุยกันจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นถึงมองตากันอย่างเงียบ ๆ แล้วตัดสินใจปิดไฟ