บทที่ 115 เตรียมตัวเรียนรู้ด้วยตัวเอง!
บทที่ 115 เตรียมตัวเรียนรู้ด้วยตัวเอง!
ไปดูคนไข้ด้วยกัน?
หัวใจของฟางชิวพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ
แน่นอนว่าการติดตามสวีเมี่ยวหลินไปพบคนไข้ เขาจะต้องได้ความรู้มากแน่ ๆ และการที่สวีเมี่ยวหลินกล่าวชักชวนเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์เดียวกันแน่ ๆ นั่นคือต้องการสอนบางอย่างให้กับฟางชิว แม้จะไม่ใช่การสอนโดยตรง แต่ก็คงให้โอกาสเขาได้สังเกตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
คำชักชวนของสวีเมี่ยวหลินดึงดูดความสนใจของเขาเป็นอย่างมาก แต่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์น่ะสิ เขาต้องไปที่โรงพยาบาล
หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ฟางชิวก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมตอบกลับ “ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ พอดีพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมต้องไปให้คำปรึกษาที่โรงพยาบาล”
“ให้คำปรึกษา?”
สวีเมี่ยวหลินจ้องมองฟางชิวอย่างสงสัย “ทำไมนายถึงต้องไปเพื่อให้คำปรึกษา นายเป็นหมอเหรอ?”
“แค่ผู้ช่วยหมอครับ”
ฟางชิวอธิบาย “อาจารย์เสิ่นชุนเป็นคนแนะนำผมให้กับทางโรงพยาบาล เขาทำงานอยู่แผนกกระดูกและข้อของโรงพยาบาลในเครือแห่งแรก ผมไปทำงานกับเขาที่นั่นทุกวันอาทิตย์ในฐานะลูกจ้างชั่วคราวครับ”
“ก็ไม่เลวนี่!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สวี่เมี่ยวหลินก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำไป ทั้งที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยนายก็ได้เป็นผู้ช่วยแพทย์แล้ว ไม่เลว! ไม่เลวเลย!”
“ถ้านายต้องไปเพื่อให้คำปรึกษาก็ไม่เป็นไร เพราะต่อให้นายไปกับฉันพรุ่งนี้ นายก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เหตุผลหลักที่ฉันต้องการพานายไปคือ เพื่อให้นายได้เห็นว่าฉันสุดยอดขนาดไหนต่างหากล่ะ!”
สวีเมี่ยวหลินกล่าวราวกับไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดตนเอง
ฟางชิว “…”
ชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายจะให้ความรู้ แต่กลับกลายเป็นอวดตัวเองซะนี่!
สวีเมี่ยวหลินโบกมือให้ฟางชิว “ไปอ่านหนังสือต่อเถอะ ถ้าหลังอ่านหนังสือไม่มีอะไรทำก็ค่อยมาหาฉันใหม่”
“อีกอย่าง ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันได้”
“ครับ”
ฟางชิวพยักหน้า เขาทำความเคารพก่อนจะหันหลังเดินจากไป
สวีเมี่ยวหลินจ้องมองกระเป๋าใส่เงินบนโต๊ะ เคาะเบา ๆ โดยไม่ได้เปิด และไม่พยายามแม้แต่จะตรวจสอบว่ารหัสที่ฟางชิวให้มานั้นถูกต้องหรือไม่
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ฉันขอเงินน้อยไปเหรอ? ทำไมทำอะไรเด็กคนนั้นไม่ได้เลย?”
“ถ้ารู้ว่าจะหาเงินสามแสนได้เร็วแบบนี้ ฉันจะบอกให้หามาหนึ่งล้านแทน!”
“พลาดแล้วเรา!”
สวีเมี่ยวหลินเสียใจนิด ๆ จากนั้นก็เอื้อมมือหยิบกระเป๋าเดินทางไปไว้ใต้โต๊ะ
หลังจากนั้น ฟางชิวก็กลับไปถึงหอพัก แล้วชายหนุ่มก็พบว่าโจวเสี่ยวเทียน ซุนฮ่าว และจูเปิ่นเจิ้งต่างรวมตัวกันอ่านบางอย่างอยู่ ซึ่งก็คือรายชื่อเหล่าอาจารย์บนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย
“อาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนเก่งสุด ความเชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มและรมยาของอาจารย์น่ะสุด ๆ แล้ว ถึงอาจารย์จะเกษียณอายุไปแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นมาบรรยายแบบนี้ ถ้าเทียบกับอาจารย์ผู้ชาย ฉันว่าอาจารย์ผู้หญิงน่าจะอ่อนโยนกว่ามาก ฉันไปถึงฝันแน่ถ้าได้ฝึกกับอาจารย์คนนี้ ดูสิ อาจารย์ได้รับรางวัลเยอะมากเลยนะ”
โจวเสี่ยวเทียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น จากนั้นจึงกล่าวเสริม “ฉันต้องเป็นลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จแน่นอน!”
“นายคิดผิดแล้ว!”
ซุนฮ่าวทำเป็นรู้ดี “นายรู้ได้ยังไงว่าอาจารย์เป็นคนอ่อนโยน ถ้าไม่เข้มงวดในการสอน จะสอนนักศึกษาระดับปริญญาเอกได้ยังไง!”
คำพูดของโจวเสี่ยวเทียนทำให้ซุนฮ่าวขัดเคือง
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้มีสองแง่มุม”
จูเปิ่นเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะฝึกงงานกับอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนก็ได้ แต่นายชอบการฝังเข็มจริง ๆ เหรอ?”
“อีกอย่าง ไม่ว่าวิธีการสอนของอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนจะเป็นยังไง แต่ดูจากการที่อาจารย์สามารถสอนนักศึกษาระดับปริญญาเอกได้ แสดงว่าวิธีการสอนของอาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนจะต้องแตกต่างจากอาจารย์คนอื่น ๆ ถ้านายคิดจะเอาอาจารย์เป็นต้นแบบจริง นายก็ต้องมั่นใจว่านายสามารถละทิ้งการเรียนรู้แบบเดิมได้”
“ที่สำคัญ อาจารย์หลี่เหม่ยเยี่ยนได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย แน่นอนว่าความสามารถด้านการฝังเข็มของอาจารย์ต้องไม่เป็นสองรองใคร ถึงแม้ว่าอาจารย์จะเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังมีงานมากมายให้ต้องทำ เห็นได้ชัดว่าฝีมือของอาจารย์ไม่ธรรมดา ในความคิดของฉัน การจะเข้าฝึกงานกับอาจารย์ไม่ใช่แค่ต้องรู้วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องมีความอดทนมาก ๆ ด้วย”
โจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวจ้องมองจูเปิ่นเจิ้งด้วยความตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาจะสามารถวิเคราะห์หลายสิ่งหลายอย่างได้จากการดูหน้าประกาศเพียงหน้าเดียว
ทั้งสองคนยกนิ้วโป้งเพื่อชื่นชมจูเปิ่นเจิ้งทันที
“สุดยอด!”
ทั้งสองคนกล่าวชื่นชม
“ฮ่า ๆๆ ตลกว่ะ พวกนายคงต้องเรียนที่นี่ไปอีกสักสามร้อยปีถึงจะแซงหน้าฉันได้”
จูเปิ่นเจิ้งหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ สายตาของทั้งสองจึงว่างเปล่าทันที
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน ฟางชิวที่เพิ่งเดินทางมาถึงหอพักก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะไปขำไป จากนั้นชายหนุ่มก็ผละไปยังโต๊ะของตัวเองเพื่ออ่านหนังสือต่อไป
ทั้งสามคนไม่สนใจท่าทางของฟางชิวแล้วพูดคุยกันต่อไป
“อาจารย์จางเจิ้นจงก็เก่งไม่แพ้กัน แต่ชื่อเขาฟังดูโหดร้ายไปหน่อย”
“ดูจากชื่อแล้วอาจารย์จ้าวน่าจะใจดีที่สุด”
“ฉันอยากฝึกงานกับอาจารย์เสิ่นชุน แต่คนอื่นก็อยากเหมือนกัน แถมเยอะเลยด้วย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะผ่านการสัมภาษณ์ไหม”
ทั้งสามคนพูดคุยกันเป็นเวลานาน จากนั้นซุนฮ่าวก็มองมายังฟางชิวที่กำลังอ่านหนังสือ “เจ้าห้า ทำไมไม่สนเรื่องนี้เลยล่ะ นายเลือกได้แล้วเหรอ เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ได้ ไม่สนใจเรื่องฝึกงานเลยเหรอ?”
“ฉันพร้อมเรียนรู้เองต่างหาก” ฟางชิวกล่าวพลางอ่านหนังสือต่อ
“สุดยอด!”
ซุนฮ่าวยกนิ้วให้เขาทันทีพลางกล่าวอย่างเห็นด้วย “เห็นด้วย ๆ อ่านต่อไปได้เลย ไม่ต้องรอเรา!”
“ใช่แล้ว!”
จูเปิ่นเจิ้งยกนิ้วให้ “ฟางชิวกล้าเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง อยู่ในโลกมนุษย์แท้ ๆ แต่มีจิตใจสงบเยือกเย็น นายอายุยังน้อยอยู่เลย นายไปได้ไกลกว่านี้แน่ สู้ ๆ! เราหวังดีกับนายเสมอ!”
“อืม! สู้ ๆ!”
โจวเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยความเศร้าโศก “เจ้าห้า นายสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง หลังจากพวกฉันฝึกงานเสร็จ พวกฉันจะกลายเป็นนักศึกษาดีเด่นและมีชื่อเสียง จะไม่ทำให้นายต้องเป็นคนเร่ร่อนแน่นอน!”
ใบหน้าของฟางชิวพลันหม่นลง
คนพวกนี้เป็นรูมเมตแบบไหนกันนะ!
เขามาเจอคนไม่ดีเข้าแล้ว!
“พวกนายนี่มัน!”
ฟางชิววางหนังสือในมือ ก่อนจะหันมองทั้งสามพลางกล่าว “ไม่รู้ว่าพวกนายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่พวกนายต้องสัมภาษณ์และเข้ารับการประเมินจากอาจารย์ก่อน พวกเขาจะเป็นคนเลือกว่าพวกนายเหมาะสมไหม ไม่ใช่พวกนายเลือก!”
เมื่อนึกถึงการสัมภาษณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขาก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องเตือนทั้งสามคน
“ไอ้น้อง พูดงี้ไม่ถูกนะ”
โจวเสี่ยวเทียนกล่าวอย่างจริงจัง “นายพูดแบบนั้นกับพวกฉันได้ยังไง?”
“นั่นสิ!”
จูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวกล่าว
ฟางชิว “…”
ก่อนหน้านี้พวกเอ็งก็พูดแบบนี้กับฉันไม่ใช่เรอะ!
“งั้นฉันขอพูดใหม่”
ฟางชิวกล่าวอย่างหมดหนทาง “พวกนายมีความสามารถพิเศษอะไรที่จะทำให้เหล่าอาจารย์ยอมรับ?”
เขาต้องการเตือนสติทั้งสามคนให้ดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาก่อนถึงวันพรุ่งนี้
ทั้งสามคนฟังแล้วได้แต่มองหน้ากัน
ซุนฮ่าวยืดอก ยืนตรง สีหน้าท่าทางอาจหาญอย่างยิ่ง “ฉันน่ะเหรอ ฉันก็มีร่างกายที่กล้าอุทิศตนเพื่อแพทย์แผนจีน และมีจิตใจที่เข็มแข็งพอไง”
“คิดจะเอาตัวเองไปเป็นหนูทดลองเหรอ?” ฟางชิวถาม
“เฮ้! อย่าขัดจังหวะสิ! อารมณ์กำลังมา” ซุนฮ่าวจ้องมองฟางชิว จากนั้นเขาก็เชิดอกกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ฉันสามารถอุทิศช่วงเวลาวัยรุ่นหรือแม้กระทั่งตลอดชีวิตของตัวเองเพื่อสมุนไพรและยาจีน! สามารถละทิ้งผลประโยชน์ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แผนจีน สามารถละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านเรื่องผู้หญิงทั้งหมดและมุ่งความสนใจไปยังการศึกษาแพทย์แผนจีน สามารถอุทิศกำลังอันน้อยนิดเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนจีนได้ ฉันเชื่อว่าฉันทำได้!”
“ถูกต้อง!”
โจวเสี่ยวเทียนยืนขึ้นทันที เขาจ้องมองฟางชิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันก็ทำได้เหมือนกัน ร่างกายและจิตใจของฉันพร้อมอุทิศให้การแพทย์แผนจีนแล้ว!”
“ฉันด้วย!”
จูเปิ่นเจิ้งยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ความฝันของฉันคือการส่งเสริมการแพทย์แผนจีน ฉันกล้าจะเสียสละ ฉันไม่ย่อท้อต่ออนาคตที่ฉันสามารถขับเคลื่อนหรอก!”
“ฉันเชื่อว่าเราทำได้!” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน หลังกล่าวจบพวกเขาก็เผยท่าทีสงบนิ่ง
ฟางชิวจ้องมองไปยังทั้งสามคน และไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็หัวเราะทันที
“ไปซ้อมการแสดงกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทั้งสามโกรธทันทีที่ได้ยิน
“นายนี่พูดจาไม่สุภาพเลย!” โจวเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“นายไม่เชื่อในฉันสินะ!” ซุนฮ่าวกล่าวอย่างโกรธ ๆ
“เพราะนายมันไม่เคยมีความฝัน!” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“เราน่ะ ถือเป็นตัวแทนนักศึกษาแพทย์แผนจีนเลยนะ” จูเปิ่นเจิ้งกล่าวพลางจ้องมองซุนฮ่าว
ซุนฮ่าวเข้าใจความหมายทันที “เราน่ะเหนือกว่านาย!”
โจวเสี่ยวเที่ยนกล่าว “เก่งกว่านาย!”
จูเปิ่นเจิ้งเสริม “เชี่ยวชาญกว่านาย!”
“แล้วเมื่อไหร่จะอุทิศตัวให้กับการแพทย์แผนจีน?” ฟางชิวถามด้วยความสงสัย
“หลังฝึกงานเสร็จสิ้น เราจะทำแบบนั้นแน่! เราจะไม่มีวันผิดสัญญา!” โจวเสี่ยวเทียนตอบกลับ
จูเปิ่นเจิ้งและซุนฮ่าวพยักหน้า
ฟางชิว “…”
ขอให้ทั้งสามคนเอาชนะผู้คนนับแสนในมหาวิทยาลัยและประสบความสำเร็จสมใจปรารถนาก็แล้วกัน
“งั้นพรุ่งนี้พวกนายก็ควรแสดงจุดแข็งของตัวเองให้เหล่าอาจารย์ได้เห็น พยายามดึงดูดใจพวกเขาด้วยความสามารถที่มี” ฟางชิวเตือน
ดวงตาของทั้งสามคนเปล่งประกายเมื่อได้ยิน พวกเขาเริ่มนึกถึงความถนัดของตัวเองที่มีทันที
ส่วนฟางชิวก็หันมาอ่านหนังสือต่อไป
พอถึงเวลาสี่โมงเย็น ผู้คนมากมายก็เริ่มมายังสนามกีฬาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ บ้างถือเก้าอี้ บ้างถือร่ม บ้างเริ่มขีดเขียนพื้นดินเพื่อตีเส้นจับจองกันอย่างคึกคัก
นักศึกษามากมายต่างเตรียมตัวอย่างหนักหน่วงเพื่อให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ที่กำลังจะมาถึง
เจ็ดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ณ สนามกีฬา ผู้คนมากมายต่างเบียดเสียดกัน ราวกับนี่คืองานต้อนรับน้องใหม่อันครึกครื้น
นอกจากฝูงชนที่หนาแน่นแล้ว ยังมีร่มมากมายราวห้าสิบคันเรียงรายเต็มสนามกีฬา ใต้ร่มแต่ละคันเป็นเก้าอี้ไม้และโต๊ะยาว โต๊ะและเก้าอี้ทั้งห้าสิบชุดนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับอาจารย์ทั้งห้าสิบท่าน
ในเวลานี้โต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมดยังคงว่างเปล่า แต่นักศึกษามากมายต่างรุดมาที่นี่เพื่อรอคอยเหล่าอาจารย์ที่พวกเขามุ่งหวังจะได้เรียนรู้
ณ ห้องพักของฟางชิว
“เร็วเข้า คนเต็มสนามกีฬาเลย เราต้องรีบไปเข้าแถวแล้ว”
ซุนฮ่าวกลับไปยังหอพักหลังทานอาหารเช้าพลางตะโกนลั่น
“ทำไมเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
โจวเสี่ยวเทียนประหลาดใจ
“ก็ต้องเข้าคิวน่ะสิ! จะได้สัมภาษณ์เร็ว ๆ นักศึกษาแห่ไปเข้าคิวทั้งนั้นแหละ ถ้าอาจารย์คนแรกไม่เลือก พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้สัมภาษณ์กับอาจารย์คนต่อไปไง”
จูเปิ่นเจิ้งตอบพลางเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมที่จะไปสนามกีฬา