บทที่ 116 โครงการฝึกงานถูกเสนอโดยนักศึกษาจริง ๆ เหรอ?!
บทที่ 116 โครงการฝึกงานถูกเสนอโดยนักศึกษาจริง ๆ เหรอ?!
“ใช่แล้ว พวกเราต้องรีบไปกันได้แล้ว!” ซุนฮ่าวเอ่ยอย่างเร่งรีบ
“เจ้าห้า ไปกับพวกเราสิ” ระหว่างที่โจวเสี่ยวเทียนกำลังเก็บของอยู่ เขาก็หันไปชวนฟางชิวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
“ฉันไม่ไป” ฟางชิวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ว่าอ่านหนังสืออยู่ที่นี่ ยังไงซะ ฉันก็จะไม่ไปสัมภาษณ์ ไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ”
ฟางชิวเคยฝึกงานมาแล้ว ดังนั้นการพบปะเด็กฝึกงานในวันนี้จึงไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย จะไปหรือไม่ไปก็ไม่สำคัญ
“ไม่ได้ นายต้องไปกับพวกเราด้วย!” ซุนฮ่าวพูดขึ้นมาทันที “พวกเราเป็นเพื่อนกันนะโว้ย”
“อนาคตที่สดใสของพวกฉันขึ้นอยู่กับวันนี้แล้วนะ ถึงนายจะไม่ฝึกงาน แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญของเพื่อนอย่างนี้ ปกติแล้วนายก็ต้องอยู่เคียงข้างไม่ใช่เหรอ”
“ถูกต้อง!” โจวเสี่ยวเทียนโพล่งออกมา “พอพวกเราได้ฝึกงาน นายจะพูดว่าพวกเราขี้เกียจไม่ได้แล้วนะ”
“ไปด้วยกันเถอะ” จูเปิ่นเจิ้งยังเกลี้ยกล่อมอีกว่า “อย่าเอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในหอตลอดเวลาเลย มหาวิทยาลัยของพวกเราจะคึกคักแบบนี้อีกตอนไหน? ถือว่าแค่ไปเดินเล่นกันก็ได้! แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้านายเจออาจารย์ที่ถูกใจ นายจะไม่น่าเสียดายเหรอถ้าครั้งนี้นายไม่ได้ไปน่ะ?”
ฟางชิวได้แต่คลี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาไม่อยากไปจริง ๆ แต่จะปฏิเสธเหล่ารูมเมตไปก็ดูไม่ดีอีก เพราะอย่างไรเขาก็บอกเพื่อน ๆ ไม่ได้ว่าเขามีอาจารย์แล้ว
“เร็วเข้า มัวรออะไรอีกล่ะ?” ซุนฮ่าวคว้าแขนของฟางชิวไว้แล้วพูดต่อ “ถ้านายยังไม่ไปอีกละก็ ฉันจะแอบถ่ายนายตอนแก้ผ้าแล้วอัปโหลดลงเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย!”
‘เหี้ยมมาก!’ ฟางชิวคิดในใจ
“ก็ได้!” ฟางชิวตอบซุนฮ่าว เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้ววางหนังสือในมือลงโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก จากนั้นชายหนุ่มก็ลงจากเตียง สวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว เดินไปที่สนามพร้อมกับรูมเมตทั้งสามคน
เมื่อพวกเขามาถึงสนามกีฬา พวกเขาก็ต้องแปลกใจเพราะสนามกีฬาเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
“นี่มันเป็นคลื่นฝูงชนแล้ว ขนาดตอนที่ปฐมนิเทศเด็กใหม่ มหาวิทยาลัยยังไม่เคยครึกครื้นขนาดนี้มาก่อนเลย!” โจวเสี่ยวเทียนตกใจกับภาพตรงหน้า
ที่สนามมีคนเยอะขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ!
ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน เพราะเขาไม่คิดว่างานจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ตอนนี้แทบจะบอกได้เลยว่านักศึกษาทุกคนอยู่ที่นี่ คนเกือบสามหมื่นคนต่างมารวมตัวกันที่สนามกีฬา บรรยากาศถึงคึกคักขนาดนี้
“รุ่นพี่คนนั้นโคตรสวยเลยว่ะ!” ซุนฮ่าวพูดพลางยืนเขย่งปลายเท้ามองไปทางหนึ่ง
“ไหน? อยู่ไหน?” จูเปิ่นเจิ้งกับโจวเสี่ยวเทียนรีบพากันมองไปรอบ ๆ ทันที
ฟางชิวรีบคว้าไหล่ของทั้งสามคนอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “อย่าลืมว่ามาที่นี่ทำไมสิ”
ฟังจบ ทั้งสามคนก็ได้สติ พวกเขารีบนัดแนะสถานที่ที่นัดเจอกันภายหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แยกย้ายกันไปสอบถามข้อมูล
ฟางชิวเดินไปรอบ ๆ สนามกีฬา ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน เขาก็จะได้ยินเสียงชื่นชม เสียงแห่งความคาดหวังและเสียงของความประหม่าชัดเจน อีกทั้งยังมีเสียงพูดปลอบใจเพื่อให้กำลังใจเพื่อน ๆ ด้วย
“แม่เจ้าโว้ย นี่ถ้าฉันไม่ถาม ฉันก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักศึกษาปริญญาเอกทุกคนมาที่นี่กันหมดเลย!”
เมื่อเกือบจะเก้าโมง พวกเขาทั้งสี่คนก็กลับมาเจอกันที่ใกล้ ๆ เวที ซุนฮ่าวจึงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
จูเปิ่นเจิ้งกับโจวเสี่ยวเทียนพยักหน้าตามกันอย่างจริงจัง
สถานการณ์ไม่ดีแล้วตอนนี้!
มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากเกินไป เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้เรื่องและทำอะไรไม่เป็นเลย!
“อย่าเพิ่งท้อ พวกนายต้องเชื่อมั่นในตัวเองสิ!” ฟางชิวให้กำลังใจเหล่ารูมเมตหลังเห็นว่าทุกคนดูขาดความมั่นใจ
“อืม!” พวกเขาทั้งสามคนพยักหน้าอย่างแรงพร้อมกัน
ในเวลานั้นเอง รองอธิการบดีเฉินอินเซิงกับคณบดีมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามา
ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาทุกคน พวกเขาก็เดินไปที่เวที เฉินอินเซิงหยิบไมโครโฟนขึ้นมา เมื่อเห็นว่านักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าเขามีความกระตือรือร้นกันอย่างมาก เขาก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมา
ในเมื่อเหล่านักศึกษาดูตั้งใจแน่วแน่ขนาดนี้แล้ว แล้วทำไมเขาจะต้องกังวลถึงความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยและการแพทย์แผนจีนด้วยล่ะ
“ทุกคนเงียบได้แล้ว” เฉินอินเซิงกล่าวพลางหายใจเข้าลึก ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น นักศึกษาทุกคนก็เงียบเสียงลงทันที ทำให้ทั่วทั้งสนามกีฬาไร้ซึ่งเสียงใด ๆ จากนั้นทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เฉินอินเซิง
รองอธิการบดีเฉินพูดออกมาเสียงดังโดยไม่เกรงกลัวสายตาเหล่านั้นเลย “ทุกคน วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดโครงการฝึกงานอย่างเป็นทางการ”
“ฉันเห็นความกระตือรือร้นจากใบหน้าของทุกคนแล้ว ฉันรู้สึกยินดีและประทับใจมาก”
“แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจมากกว่านั้นก็คือ บรรดาอาจารย์พิเศษทั้งห้าสิบท่านที่ยอมทุ่มเทช่วยเหลือมหาวิทยาลัย!”
“บางท่านเป็นอาจารย์ที่เกษียณอายุไปแล้ว บางท่านก็สอนที่มหาวิทยาลัยมาหลายสิบปีแล้ว ในขณะที่บางท่านก็รักษาคนไข้ในโรงพยาบาลมานานกว่าหลายทศวรรษ แต่ละท่านมีส่วนสนับสนุนมหาวิทยาลัยอย่างมาก และพวกเขาก็ได้อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับมหาวิทยาลัยของเรา!”
“วันนี้ เป็นวันที่พวกเขามีความสุขมาก เพราะพวกเขาจะได้กลับมาสนับสนุนมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงของพวกเราอีกครั้ง!”
“อันที่จริง พวกผู้บริหารก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ผู้บริหารบอกว่าพวกเราไม่ควรไปรบกวนอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้ว เพราะผลงานที่พวกเขาสร้างให้มหาวิทยาลัยนั้นมีมหาศาลมาก พวกเขาควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“แต่เมื่ออาจารย์ชราเหล่านี้ได้ยินข่าวว่าพวกเขาสามารถสอนนักศึกษาอีกได้ ทุกคนก็เลือกที่จะสละชีวิตที่แสนจะสะดวกสบายและโอกาสในการทำเงินไป เพื่อมาอบรมสั่งสอนนักศึกษาและสนับสนุนการแพทย์แผนจีนแทน!”
“พวกเขาเป็นเหล่าผู้เสียสละและเป็นแพทย์แผนจีนตัวจริง!”
“มาเถอะ มาปรบมือให้ผู้อาวุโสที่เสียสละเหล่านี้กันเถอะ! นี่ล่ะแบบอย่างที่ดีของเรา!”
สิ้นเสียงของเฉินอินเซิง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นทันที ทุกคนต่างปรบมืออย่างจริงใจ
เมื่อเหล่านักศึกษารู้ว่าอาจารย์ชราเหล่านี้ยังกลับมาสั่งสอนพวกเขาทั้ง ๆ ที่อายุเกินเจ็ดสิบปีไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่อาจารย์ชราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคณบดีมหาวิทยาลัยคนปัจจุบันและผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางคนที่ยังมาสั่งสอนพวกเขาด้วย แม้ว่าพวกอาจารย์จะยุ่งมาก แต่พวกเขาก็ยังเต็มใจที่จะมาสอนและช่วยให้เหล่านักศึกษามีความก้าวหน้าด้านแพทย์แผนจีน
พวกเขาโชคดีจริง ๆ!
ทุกคนแอบตั้งปณิธานในใจตัวเองว่าจะตั้งใจเรียนอย่างหนักหลังจากฝึกงานเสร็จ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนมหาวิทยาลัยกับเหล่าคณาจารย์!
เมื่อเสียงปรบมือหยุดลง เฉินอินเซิงก็กล่าวต่อ “เนื่องจากเหล่าอาจารย์ยอมสละเวลามาแล้ว ฉันหวังว่าพวกเธอจะหวงแหนโอกาสนี้และไม่ทำให้ความพยายามของอาจารย์ต้องสูญเปล่า!”
“แล้วฉันหวังว่าทุกคนจะรักษาโอกาสนี้เอาไว้ แม้ว่ามันจะเป็นโอกาสที่ดูเหมือนได้มาอย่างง่ายดาย แต่ทุกคนจงจำประโยคนี้เอาไว้ให้ดี สิ่งไหนที่ได้มาง่าย ๆ มันก็จะหายไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน! ฉะนั้น พวกเธอต้องรักษาโอกาสนี้ไว้!”
“พวกเธอต้องรู้ว่าถ้าพวกเธอไม่ตั้งใจเรียน มันไม่ได้มีผลกระทบแค่พวกเธอเท่านั้น แต่จะมีผลกระทบต่ออาจารย์ทุกท่านและนักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยด้วย!”
“นักศึกษาที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนแต่มีโควตาฝึกงาน อาจทำให้นักศึกษาที่มีความตั้งใจเรียนจริง ๆ ไม่มีโควตาในการฝึกงานก็ได้!”
“เธอจะไม่เพียงแต่ทำลายตัวเอง แต่ยังทำลายผู้อื่นอีกด้วย และแม้แต่คำสั่งสอนของอาจารย์ เธอก็ทำลายลงด้วยเช่นกัน!”
“ดังนั้นฉันจึงหวังว่าทุกคนจะตั้งใจเรียนและสามารถเพิ่มความรู้ให้กับตนเอง พวกเธอทำได้ใช่ไหม?” เฉินอินเซิงถามออกมาเสียงดัง
“ได้!” ทุกคนในสนามกีฬาตะโกนออกมาพร้อมกัน รวมถึงฟางชิวด้วย!
“ดี! ดีมาก!” เฉินอินเซิงพูดออกมาดัง ๆ “จำไว้ว่านี่คือสิ่งที่พวกเธอสัญญากับฉัน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ พวกเธอต้องซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาและอย่าผิดคำพูดของตัวเอง!”
“นอกจากนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเธออาจไม่รู้ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากพูดหรอก แต่เพื่อเป็นการกระตุ้นพวกเธอ ฉันเลยต้องบอกพวกเธอ”
“การที่พวกเธอมีโอกาสได้ฝึกงานกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในวันนี้ พวกเธอควรจะขอบคุณฉีไคเหวิน คณบดีการแพทย์แผนจีนกับรองคณบดี จางซินหมิง เพราะที่แผนการฝึกงานสามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ ก็มาจากการส่งเสริมของพวกเขาทั้งสองคน”
“แต่พวกเธอก็ยังต้องขอบคุณนักศึกษาคนหนึ่งด้วย เพราะโครงการฝึกงานนี้ถูกเสนอโดยเขา!”
ตู้ม!
ได้ยินแบบนั้น นักศึกษาทุกคนก็ต่างประหลาดใจ
นักศึกษา?
โครงการการฝึกงานถูกเสนอโดยนักศึกษาจริง ๆ หรือ?
ข่าวซุบซิบเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ!
ไม่เพียงแต่นักศึกษาเท่านั้นที่ตกใจ แต่อาจารย์ที่เข้าร่วมงานก็ตกใจด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขานึกไม่ถึงว่าโครงการฝึกงานนี้จะถูกนำเสนอจากนักศึกษาจริง ๆ
ที่สำคัญก็คือ มหาวิทยาลัยยังรับรองโครงการนี้อีกด้วย!
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมา!
กลายเป็นว่าถูกเสนอจากนักศึกษาจริง ๆ
ท่ามกลางฝูงชน เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
ใครเป็นคนคิดโครงการนี้นะ?
“โห! เป็นนักศึกษาคิดจริง ๆ ด้วย โคตรเจ๋งเลยว่ะ! แต่ว่ามันจบแล้ว! จบแล้ว โควตาของเด็กฝึกงานจะหายไปหนึ่งสิทธิ์เพราะนักศึกษาคนนี้จะต้องถูกเลือกอย่างแน่นอน” ซุนฮ่าวพูดด้วยความตื่นเต้นหลังจากเลิกตกใจแล้ว
จูเปิ่นเจิ้งกับโจวเสี่ยวเทียนก็ตกใจและหดหู่ใจหลังจากได้ยินเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของรองอธิการบดี ฟางชิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหล่ารูมเมตก็ชะงัก
เขาคาดไม่ถึงว่ารองอธิการบดีจะพูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนในเวลานี้
เขาจะบอกชื่อไหม? ฟางชิวชักจะกังวล
ในตอนนั้น เฉินอินเซิงก็ยื่นมือออกไปเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
ทั้งสนามกีฬาจึงเงียบลงทันที ความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่เฉินอินเซิงเพื่อดูว่าเขาจะประกาศตัวตนของนักศึกษาคนนั้นออกมาหรือไม่
ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก วีรบุรุษคนไหนหนอ ที่เป็นคนเสนอแผนฝึกงานให้กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย
“นักศึกษาคนนี้เป็นน้องใหม่” เฉินอินเซิงกล่าว
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ทุกคนก็ยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม
นี่มันเหมือนกับข่าวซุบซิบเว็บบอร์ดเลย
บางคนชื่นชมคนที่ปล่อยข่าวซุบซิบนี้ออกมา ในขณะที่บางคนก็มองกลุ่มน้องใหม่ด้วยความตกใจ
น้องใหม่สามารถเสนอไอเดียที่สร้างสรรค์นี้ตั้งแต่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยเลยหรือ?
นี่พูดเกินจริงไปหรือเปล่าเนี่ย
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” เฉินอินเซิงกล่าวต่อว่า “เหตุผลที่ฉันบอกว่าเขาเป็นน้องใหม่ก็เพื่อให้พวกเธอแต่ละคนเรียนรู้จากนักศึกษาคนนี้ เขาเป็นนักศึกษา พวกเธอก็เป็นนักศึกษาด้วยเหมือนกัน ไม่มีใครที่ต่างไปจากใคร!”
“ดังนั้น หากพวกเธอมีไอเดียเชิงสร้างสรรค์ก็สามารถเสนอกับทางมหาวิทยาลัยได้ และในนามของมหาวิทยาลัย ฉันขอขอบคุณทุกคน!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะปรบมือ
จู่ ๆ เฉินอินเซิงก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง ซึ่งมันเป็นข่าวใหญ่ที่ทำให้ทุกคนตกใจ
“เขาชื่อฟางชิว!”
เฉินอินเซิงรู้ว่านักศึกษาคนนี้จะต้องลำบากใจขนาดไหน แต่เนื่องจากฟางชิวได้เสนอไอเดียที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน เขาจึงต้องบอกชื่อของนักศึกษาคนนี้ออกไป!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขากล่าวแบบนี้ในที่สาธารณะ เพื่อเป็นการขอบคุณนักศึกษาที่ชื่อ ฟางชิว
และก็เป็นไปตามที่เฉินอินเซิงคาดไว้ หลังจากที่ทุกคนรู้เรื่องแล้ว ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันที!
ฟางชิว?!
เป็นฟางชิวที่กลายเป็นคนดังในเว็บบอร์ดหรือ!?
เป็นฟางชิวที่ร้องเพลงร่วมกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยที่งานเทศกาลไหว้พระจันทร์ใช่ไหม?
ฟางชิวที่ร้องเพลงในพิธีเปิดหรอกเรอะ!
เป็นเขาจริง ๆ หรือ!
พรึ่บ!
โจวเสี่ยวเทียน ซุนฮ่าวและจูเปิ่นเจิ้งกำลังยืนอยู่กับฟางชิวต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางทันทีที่ได้ยินชื่อฟางชิว
พอได้มองฟางชิวจากไกล ๆ แล้ว รูมเมตแต่ละคนก็ทำหน้าประหลาดใจราวกับว่าพวกเขากำลังมองมนุษย์ต่างดาว!
“สรุปว่าเป็นฟางชิวเหรอ?” หยวนเป้ยที่ยืนอยู่ข้างเจียงเหมี่ยวอวี๋เองก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ถ้าเป็นเขาจริง ๆ แล้วทำไมเขาไม่เคยบอกพวกเราเลยล่ะ”
หวงหมานหม่านเอ่ย “พระเจ้า ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ทำเรื่องใหญ่แท้ ๆ แต่ไม่เคยปริปากพูดออกมาเลยสักคำเดียวได้ไง!”