บทที่ 125 การแข่งขันในที่ลับ!
บทที่ 125 การแข่งขันในที่ลับ!
เวลาผ่านไป เหล่านักศึกษาก็ต่างพูดคุยกันจ้อกแจ้กตรงแถวเข้าสัมภาษณ์
“รอวันนี้มานาน ในที่สุดก็มาถึงสักที ความฝันจะเป็นจริงแล้วเว้ย!”
นักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังเข้าคิวรอสัมภาษณ์อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความดีใจและตื่นเต้น
“ใช่ เวลาที่พวกเรารอคอยมานานมาถึงแล้ว อยากฝันเป็นจริงว่ะ”
“ได้ยินมาว่าเกณฑ์การคัดเลือกของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงต่ำมาก ขนาดต่ำยังมีนักศึกษาผ่านสัมภาษณ์แค่หนึ่งพันห้าร้อยคนจากสามหมื่นคนเอง นั่นขนาดมีอาจารย์ตั้งห้าสิบคนนะ”
“มหาวิทยาลัยเราต้องเข้มงวดมากกว่าใช่ไหม?”
“ไม่หรอก”
“ถึงการสัมภาษณ์จะยาก แต่ถ้าผ่านด่านนี้ไปได้ เราจะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมายเลยนะ”
“ใช่แล้ว โชคดีที่ฉันยังต้องเรียนอีกสามปี ฝึกงานเสร็จฉันยังต้องกลับมาเรียนต่อ เกรดของฉันต้องดีขึ้นมากแน่”
“แต่พวกรุ่นพี่ปีห้าคงไม่โชคดีแบบนี้”
“พี่อยู่ปีสามแล้ว แต่ผมเป็นแค่น้องใหม่ที่อยู่ปีหนึ่ง เหลือเวลาอีกตั้งห้าปีให้ได้เรียนรู้ ถ้าผมผ่านการคัดเลือก ผมเก่งกว่าพี่แน่”
“เหอะ พูดเร็วไปมั้ง ไว้ว่ากันหลังผ่านการสัมภาษณ์ดีกว่า”
“ว่าแต่คนที่คิดเกณฑ์การสัมภาษณ์คือใครกัน? เขาต้องเก่งขนาดไหน?”
“ผมจำได้ว่าเขาน่าจะชื่อฟางชิวนะครับ”
“ทำไมมหาวิทยาลัยของเราไม่มีคนเก่งแบบนี้บ้าง เขาเป็นคนที่คิดเกณฑ์กับเรื่องฝึกงาน แสดงว่าเขาผ่านการคัดเลือกแล้วใช่ไหม?”
“คนที่คิดเกณฑ์แบบนี้ได้ก็คงเก่งไม่เบา ว่าไหมครับ?”
“จะให้ธรรมดาเหมือนเราได้ยังไงล่ะ?”
“เหมือนเรา?”
“ก็เขามีพรสวรรค์นี่ จะเหมือนเราได้ไง”
“ฉันว่าเขาไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ แต่เป็นสัตว์ประหลาดสมองหนา ลองคิดดูสิ เป็นแค่เด็กปีหนึ่ง แต่เวลาเสนออะไรแต่ละอย่างเรียกว่าอัจฉริยะยังไม่พอจะนิยามเลยมั้ง…”
…
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิงเป่ย
“ได้ยินมาพักหนึ่งแล้ว เกณฑ์ในการคัดเลือกถูกเสนอโดยน้องนักศึกษาปีหนึ่ง แต่พอเอามาใช้จริง ๆ ก็แอบอึ้งนะ มันเป็นไปได้ยังไง? อัจฉริยะคนนั้นเป็นใครกัน?”
“นี่ พวกอัจฉริยะรักสันโดษจะตาย คนพวกนี้น่ะวัน ๆ เอาแต่ซ่อนตัวในที่มืด คอยช่วยเหลือพวกเราโดยไม่แสดงตัว”
“ถ้าไม่มีเขา มหาวิทยาลัยของเราอาจจะไม่มีการฝึกงานที่น่าสนใจแบบนี้จริงไหม? นักศึกษาคนนั้นต้องเป็นอัจฉริยะ มีความสามารถน่าทึ่งมากแน่ เพราะแม้แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ยังทำตามข้อเสนอเขา!”
“จริง ต้องเก่งมากแน่!”
“น่าเสียดาย ถ้าฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยของเขาละก็ ฉันจะตามหาเขา ผูกมิตรจนได้เป็นเพื่อนสนิท คิดดูสิ เกณฑ์ของเขาที่เสนอน่ะ ช่วยเหลือนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเขาได้ทุกคนเลยนะ!”
“ถ้าฉันเป็นผู้บริหาร ฉันจะมอบรางวัลนักศึกษาดีเด่นให้เขาไปเลย!”
“เอาจริง ๆ สงสารขึ้นมาแฮะ ได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยนั้นชมเขาออกไมค์แต่ไม่ให้รางวัลอะไร”
“ทำไมมหาวิทยาลัยต้องให้รางวัลเขา คนเก่ง ๆ แบบนั้นไม่ต้องรอให้ใครมาสวมมงกุฎให้หรอก!”
…
ณ ลานกลางแจ้ง มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจงโจว
“ขอบคุณนักศึกษาที่ชื่อฟางชิวที่คิดโครงการฝึกงานดี ๆ ให้เรา”
“ถ้าเขามีความสามารถถึงขนาดนั้น ทำไมเราไม่ไปหาเขาล่ะ?”
“แล้วทำไมเราต้องไปหาเขา?”
“เธอไม่อยากไปขอบคุณเขาหน่อยเหรอ? ไม่อยากให้เขาได้เห็นความสวยของพวกเราหน่อยเหรอ?”
“ได้ยินใครหลายคนพูดมาว่าฟางชิวหล่อเหลาเอาการ หล่อจนสาวทั้งมหาวิทยาลัยเราต้องกรี๊ด”
“หล่อขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“หล่อและเก่ง แต่งค่ะ!”
…
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงซาง
“บอกทีว่านายฟางชิวอะไรนั่นคิดโครงการฝึกงานกับเกณฑ์ได้ไง?”
“ใครจะไปรู้ คนคนนึงจะคิดอะไรแบบนี้ได้ต้องมีหัวทางบริหาร น่าเสียดายที่เขาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง ไปอยู่ที่ที่พรสวรรค์สูญเปล่าจริง ๆ”
“ใช่ คนทั่วไปไม่มีทางคิดไอเดียบรรเจิดแบบนี้ได้หรอก ผู้ชายคนนี้เกินไปแล้ว”
…
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจว
“พวกนายรู้เรื่องนี้ไหม? โครงการฝึกงานครั้งนี้มหาวิทยาลัยเราลอกมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง?”
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน เหมือนว่าทุกอย่างในโครงการเสนอโดยเด็กปีหนึ่งนะ”
“เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นี่ถือว่าปฏิวัติมหาวิทยาลัยเลยนะ ได้ยินว่าตอนนี้หลายมหาวิทยาลัยก็เอาโครงการฝึกงานมาใช้”
“ให้ตายเถอะ อยู่แค่ปีหนึ่งแต่คิดโครงการฝึกงานเจ๋ง ๆ ได้ ไม่ต้องคิดตอนเขาเรียนจบเลย”
“เขาน่ะอัจฉริยะ แล้วนายล่ะ?”
“เชื่อว่าหมูปีนต้นไม้ได้ยังดีกว่าเชื่อคำพูดนาย”
…
นอกเหนือจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ที่ดำเนินโครงการฝึกงานตามคำแนะนำของฟางชิวแล้ว นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนทั่วประเทศก็ต่างพูดคุยถึงหัวข้อนี้ตลอดสัปดาห์ แน่นอนว่าพระเอกของเรื่องที่พวกเขากล่าวถึงคือฟางชิว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนทั่วประเทศกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้ ฟางชิวก็เดินออกจากหอพักเพื่อไปโรงพยาบาลอย่างเงียบเชียบ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ถึงเวลาที่เขาจะต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค
ขณะนี้เวลา 13:55 นาฬิกา
แพทย์คนหนึ่งยืนอยู่ ณ ล็อบบี้ของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงแห่งที่หนึ่ง เขากำลังจ้องมองรายชื่อแพทย์ดีเด่นที่อยู่บนผนัง
เขาเป็นแพทย์ที่มีสัดส่วนน่าชื่นชม มองจากด้านหลังก็ไม่ต่างกับนักฆ่ามือฉมังแต่อย่างใด
ชายหนุ่มผู้นี้คือหานเจิ้น แพทย์หนุ่มอันดับหนึ่งประจำโรงพยาบาล ตอนนี้หานเจิ้นก็ยังคงจ้องมองรายชื่อแพทย์ดีเด่น
หานเจิ้นถอนหายใจแผ่วเบาเมื่อเห็นว่ารายชื่อของเขายังอยู่ในรายชื่อแพทย์ดีเด่น คราวนี้ชายหนุ่มได้รับสี่สิบคะแนนโหวต และได้ขึ้นสู่อันดับที่สิบสามในที่สุด
หานเจิ้นจ้องมองรายชื่อของฟางชิวที่เดิมทีเคยถูกดูหมิ่นว่าอายุยังน้อย แต่ตอนนี้กลับได้คะแนนโหวตสูง เขาจึงไม่กล้าประมาท
“ทำงานแค่อาทิตย์ละวัน ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก?”
หานเจิ้นจ้องมองนาฬิกาข้อมือพลางมองไปยังประตูโรงพยาบาล จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับตนเองเป็นผู้อาวุโส “ฉันไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนเสนอโครงการฝึกงาน เขาน่าจะมองการณ์ไกลเอาไว้ คิดจะมาเทียบกับฉันยังอีกนาน”
สิ้นเสียงกล่าว หานเจิ้นก็เงยศีรษะพลางยืดอกพร้อมรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ จากนั้นก็เดินไปยังแผนกของตนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน
ทันทีที่เขาจากไป ฟางชิวก็ก้าวผ่านทางเข้าอาคารเข้ามา เขาเดินขึ้นบันไดตรงไปยังแผนกระดูกและข้อชั้นเจ็ดแล้วตรงไปทางห้องตรวจ
ฟางชิวสวมชุดกาวน์ พร้อมเริ่มทำการตรวจรักษาโรคตามเวลาทำงานของตน
เพียงไม่กี่นาทีนอกห้องตรวจก็เต็มไปด้วยผู้คน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานขับรถ พวกเขาได้ยินถึงการรักษาของฟางชิวมาปากต่อปากจึงตามเสียงเล่าลือมารักษา บ้างขับรถแท็กซี่ บ้างขับรถบรรทุก ส่วนใหญ่จึงได้รับบาดเจ็บเรื้อรังจากการทำงาน
ผู้คนต่างหลั่งไหลมาที่นี่อาจเป็นเพราะชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ณ ที่นั่งรอตรวจของแผนกกระดูกและข้อ เหล่าพนักงานขับรถที่เดินทางมาพบแพทย์ต่างจับจองที่นั่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว บางคนที่เพิ่งมาถึงจึงไม่มีที่นั่ง บ้างต้องยื่นรอ บ้างนั่งยอง บ้างเอนหลังพิงกำแพง
จากนั้นไม่นาน บริเวณทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน
เหตุการณ์อันน่าทึ่งนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าพยาบาลอย่างมาก
เมื่อเห็นดังนั้นหัวหน้าพยาบาลจึงออกคำสั่งให้พยาบาลทั้งหมดบนชั้นเจ็ดเข้าจัดการความเรียบร้อยที่แผนกกระดูกและข้อ
“คนไข้เป็นอะไรรึเปล่าคะ? บาดเจ็บตรงไหนมากเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
พยาบาลสาววิ่งไปหาชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งยอง ๆ อยู่บริเวณมุมห้องพลางกล่าว “ตอนนี้มีคุณหมอว่างอยู่ในห้องตรวจที่สอง ไปให้คุณหมอช่วยดูก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่ไปครับ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะพลางกล่าว “ผมมาที่นี่เพื่อพบหมอเสี่ยวฟางโดยเฉพาะ ผมส่งประวัติการรักษาให้กับคุณหมอแล้วด้วย ผมจะรอเข้าตรวจกับหมอเสี่ยวฟางคนเดียวเท่านั้น คุณไปถามคนอื่นเถอะครับ”
พยาบาลสาวยิ้มเจื่อนก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยถามคนไข้รายอื่นต่อไป
จากนั้นไม่นาน เหล่าพยาบาลก็เอ่ยถามคนไข้ที่รออยู่ทั้งหมด แต่ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะเข้ารับการรักษาจากแพทย์คนอื่นเลย พวกเขาต่างรอคอยฟางชิวกันทั้งนั้น
ณ แผนกกระดูกและข้อ
พยาบาลสาวที่ถือแฟ้มประวัติการรักษาจ้องมองไปยังห้องตรวจที่หนึ่งของเสิ่นชุน จากนั้นจึงหันมองห้องตรวจอื่น แล้วก็พบว่ามีคนไข้ไม่มากนัก
หญิงสาวจึงมองไปยังประตูห้องตรวจของฟางชิว เธอที่กำลังถือประวัติการรักษามากมายหลายสิบเล่มในมือไม่อาจระงับใบหน้าบูดบึ้งของตัวเองได้
พยาบาลสาวกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
จำนวนคนไข้ที่มารับการรักษากับฟางชิวเพิ่มขึ้นทุกครั้ง
ในการรักษาครั้งแรกมีคนไข้เพียงยี่สิบคน ครั้งที่สองเพิ่มขึ้นเป็นสามสิบคน ครั้งที่สามเพิ่มขึ้นเป็นสี่สิบคน และครั้งนี้เพิ่มขึ้นราว ๆ ห้าสิบคน
ขณะทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ คนไข้รายหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มร่า
“รุ่นพี่ เชิญด้านในหน่อยครับ” ฟางชิวเอ่ยเรียกพยาบาลสาว
พยาบาลสาวผู้นี้มีนามว่าหยางถิง จบการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง เธอทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งนี้มานานกว่าหนึ่งปี
ด้วยเหตุนี้ฟางชิวจึงเรียกเธอว่ารุ่นพี่
หยางถิงหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องตรวจพลางปิดประตู
“รุ่นพี่ครับ มีคนไข้ที่รออยู่ทั้งหมดกี่คนครับ?” ฟางชิวเอ่ยถาม
“สี่สิบเก้าค่ะ” หยางถิงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มมีเสศนัย “ประวัติการรักษาในมือของฉันมีอีกสี่สิบเก้าใบค่ะคุณหมอ”
“ไม่สิ มีทั้งหมดห้าสิบใบ”
ฟางชิวพยักหน้าเบา ๆ “ถ้ารุ่นพี่รู้สึกเหนื่อยเกินไป วางแฟ้มประวัติไว้แล้วพักผ่อนตามสบายได้เลยนะครับ”
หยางถิงพยักหน้าพร้อมเดินจากไป
“เวลาสามชั่วโมงกับคนไข้ห้าสิบคน” ฟางชิวพึมพำ “ดูเหมือนว่าจะต้องเร่งความเร็วในการรักษา”
สิ้นเสียงกล่าว ฟางชิวพลันตะโกนเรียกคนไข้รายต่อไปแล้วเริ่มเร่งความเร็วในการรักษา
เขาไม่สามารถปล่อยให้คนไข้รอได้ แต่การรักษาผู้ป่วยห้าสิบคนในเวลาสามชั่วโมงถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก
ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะพยายามทำให้สำเร็จ
ในที่สุด หลังทำงานหนักมาเป็นเวลาสามชั่วโมง ฟางชิวก็สามารถรักษาผู้ป่วยทั้งห้าสิบคนได้จนครบ
เวลา 17:30 นาฬิกาก็ถึงเวลาเลิกงาน
หานเจิ้นเพิ่งเสร็จสิ้นการรักษาคนไข้รายสุดท้าย เขาเดินเข้าไปถามแพทย์ฝึกหัดคนใหม่ในห้องตรวจพลางถอดเสื้อกาวน์ออก
“ฟางชิวได้กี่โหวตวันนี้?”
“ห้าสิบโหวตครับ”
แพทย์ฝึกหัดคนใหม่กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตั้งแต่ที่คุณหมอบอกให้ผมจับตาดู ผมก็เอาแต่ดูโพลล์แพทย์ดีเด่น ผมก็เลยรู้ว่าคะแนนโหวตของฟางชิวเพิ่มขึ้นเร็วมาก เหมือนหมอนี่กำลังขับจรวดเลยครับ คะแนนโหวตพุ่งเอ๊าพุ่งเอา”
“พุ่งสูงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หานเจิ้นขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เขาให้ความสนใจกับคะแนนโหวตของตัวเองเป็นอย่างมาก ตอนนี้หานเจิ้นมีคะแนนรวมทั้งสิ้นห้าสิบคะแนน
ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมา ไม่นานเวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ ขณะนี้เหลืออีกเพียงสามนาทีจะถึงเวลาเลิกงาน
“วันนี้ฟางชิวตรวจรักษาคนไข้ไปทั้งหมดกี่คน?” หานเจิ้นถาม
ในความคิดเห็นของเขาห้าสิบโหวตที่เพิ่มขึ้นของฟางชิวนั้นรวดเร็วเกินไป
“ห้าสิบคนครับ!”
แพทย์ฝึกหัดเปิดปากพลางกล่าวต่อ “ผมตรวจสอบละเอียดแล้ว ห้าสิบพอดีเป๊ะแบบไม่ขาดไม่เกินครับ!”
ใบหน้าของแพทย์ฝึกหัดเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ
หากไม่ใช่เพราะหานเจิ้นสั่งให้เขาจับตาดูฟางชิว แพทย์ฝึกหัดอาจไม่ได้เห็นสิ่งที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ด้วยสายตาของตัวเอง
ฟางชิวไม่เพียงใช้เวลาอันน้อยนิดในครึ่งบ่ายรักษาผู้ป่วยนับห้าสิบราย แต่ผู้ป่วยเหล่านั้นยังโหวตให้เขาด้วยความยินดี แล้วจะไม่ให้รู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร?