บทที่ 126 เสมอกัน
บทที่ 126 เสมอกัน
“อะไรนะ?!”
“ห้าสิบคน?!” หานเจิ้นตกตะลึง เหตุผลที่เขาถามถึงจำนวนคนไข้ของฟางชิวนั้น เพราะเขาเห็นว่าฟางชิวทำงานแค่วันเดียว แต่กลับได้รับคะแนนโหวตมากมาย
คะแนนโหวตของสัปดาห์ที่แล้วถูกล้างไปแล้ว และคะแนนเสียงของคนไข้หนึ่งคนสามารถนับเป็นหนึ่งเสียงเท่านั้น ด้วยสาเหตุนี้เอง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ฟางชิวจะรักษาคนไข้ได้ถึงหนึ่งร้อยคนเพื่อให้ตัวเองได้คะแนนโหวตห้าสิบเสียง
เป็นไปได้ไหมที่ฟางชิวจะตรวจคนไข้หนึ่งร้อยคนต่อวัน?
เมื่อหานเจิ้นได้ยินจำนวนคนไข้ของฟางชิวจากปากของแพทย์ฝึกหัด เขาก็ตกใจมาก
คะแนนโหวตของคนไข้หนึ่งคนสามารถนับเป็นหนึ่งเสียงเท่านั้น ในความเห็นของเขา สิ่งที่ฟางชิวกำลังทำอยู่ตอนนี้มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจมากกว่านั้นก็คือ ฟางชิวได้รับการโหวตจากคนไข้ทุกคน!
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
“ฟางชิวคงจะไม่ได้ปลอมคะแนนโหวตขึ้นมาใช่ไหม?” แพทย์ฝึกหัดกระซิบถามด้วยความทึ่ง
“เป็นไปไม่ได้” สีหน้าของหานเจิ้นมืดคล้ำลง เขาส่ายหัวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มีคนจำนวนมากกำลังจับตาดูเขาอยู่ในโรงพยาบาล ถ้าเขาต้องการจะโกง เขาจะกล้าปลอมคะแนนขึ้นมาได้ยังไง”
“ก็จริง” แพทย์ฝึกหัดพยักหน้าเบา ๆ แล้วกล่าวเสริมว่า “ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อ ฉันเลยพยายามไปห้าข้อมูลเพิ่ม ฉันถึงได้รู้ว่าคนไข้ของฟางชิวแต่ละคนมาจากการแนะนำของคนไข้รายเก่า”
“ฟางชิวเป็นศัตรูที่น่ากลัวจริง ๆ…” หานเจิ้นกระซิบออกมาเบา ๆ
ทันใดนั้น
ก๊อก! ก๊อก!
พยาบาลวัยสามสิบเป็นผู้เคาะประตู เธอเคาะเสร็จก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนไข้
“หืม?” หานเจิ้นเงยหน้าขึ้น แล้วก็พบว่าคนที่เขาคุ้นเคยกำลังเดินตามพยาบาลเข้ามาในห้องตรวจ
ผู้ชายคนนี้เป็นคนไข้รายเก่าของหานเจิ้น คนไข้รายนี้จะมารักษากับเขาทุกครั้งและจะโหวตคะแนนให้เขาทุกครั้งด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้รักษาให้ไม่ดี แต่เป็นเพราะนิสัยการดำรงชีวิตของคนไข้รายนี้แย่มากต่างหาก ปัญหาสุขภาพจึงมากมายขนาดนี้
หานเจิ้นรีบมองดูนาฬิกาของเขาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
เหลือหนึ่งนาทีสุดท้าย แม้มันจะเป็นเพียงนาทีเดียว แต่เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ครั้งนี้เขาชนะแล้ว!
หลังจากตรวจคนไข้รายนี้เสร็จ เขาก็จะได้รับคะแนนโหวตอันล้ำค่าอีกหนึ่งคะแนน นี่จึงทำให้หานเจิ้นมั่นใจมากว่าเขาจะเอาชนะฟางชิวได้
หานเจิ้นรีบไปตรวจคนไข้ทันที แต่อารมณ์ของเขาก็ดีผิดปกติ ดีจนทำให้คนไข้รู้สึกมึนงงไม่น้อย
เมื่อรักษาคนไข้แล้ว หานเจิ้นก็เดินออกมาส่งคนไข้ ระหว่างนั้นเขาก็ได้ขยิบตาให้แพทย์ฝึกหัดที่อยู่ข้าง ๆ
แพทย์ฝึกหัดจึงตามคนไข้ออกไปทันที แม้ว่าจะเป็นเวลาเลิกงาน แต่หานเจิ้นก็ยังไม่กลับบ้าน เขายังคงอยู่ในห้องตรวจเพื่อรอดูคะแนนโหวต
สองนาทีต่อมา
“หมอหาน” แพทย์ฝึกหัดวิ่งเข้ามาและพูดกับหานเจิ้นด้วยใบหน้าที่มีความสุข “คนไข้โหวตแล้วครับ”
“ยอดเยี่ยม!” หานเจิ้นยิ้มอย่างเจิดจ้าและถามว่า “ตอนนี้ฉันมีคะแนนโหวตเท่าไหร่?”
“ห้าสิบเอ็ดครับ” แพทย์ฝึกหัดตอบกลับ
“แล้วฟางชิวล่ะ?” หานเจิ้นถามด้วยความกังวล เพราะเขายังไม่มั่นใจอยู่
“ห้าสิบเหมือนเดิม” แพทย์ฝึกหัดตอบกลับ เมื่อได้ยินแบบนั้น หานเจิ้นก็หัวเราะออกมาทันที
เขาหัวเราะจนพอใจ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “ฉันมีเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เขามีเวลาแค่บ่ายวันเดียวเท่านั้น ถึงชัยชนะนี้มันจะไม่น่าภูมิใจ แต่ความจริงก็คือความจริง ยังไงซะฉันก็ชนะแล้ว! สัปดาห์ก่อนเขาชนะฉัน แต่สัปดาห์นี้ฉันจะเอาชนะเขา!” หานเจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ไม่มีร่องรอยของความละอายบนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ใช่แล้ว!” แพทย์ฝึกหัดเปิดปากพูดทันที “รุ่นพี่ได้รับการยอมรับว่าเก่งที่สุดในหมู่แพทย์รุ่นเดียวกัน ผมมาฝึกงานที่นี่ก็เพราะชื่อเสียงของรุ่นพี่ ส่วนฟางชิวยังเป็นแค่นักศึกษาอยู่เลย จะมาเทียบรุ่นพี่ได้ยังไง”
“พูดแบบนั้นไม่ได้สิ” หานเจิ้นส่ายหัวพลางยิ้มออกมาอีกรอบ “ฟางชิวสามารถวินิจฉัยคนไข้ได้ห้าสิบคนในหนึ่งวัน ถือว่าน่าทึ่งเลยทีเดียว”
“ใช่ใช่” แพทย์ฝึกหัดพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “หมอฟางชิวยอดเยี่ยมมาก แต่รุ่นพี่ยอดเยี่ยมกว่า”
หานเจิ้นหัวเราะลั่น ใด ๆ ใครเล่าจะไม่ชอบแพทย์ฝึกหัดที่รู้จักประจบสอพลอ
แพทย์ฝึกหัดคนนี้มีอนาคตที่สดใสแน่นอน!
“ไปกันเถอะ!” หลังจากหัวเราะแล้ว หานเจิ้นก็กล่าวว่า “ไปที่แผนกกระดูกและข้อ ไปหาหมอฟางชิวกัน”
“ครับ” แพทย์ฝึกหัดพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดทางการแทน จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินออกจากห้องตรวจเพื่อไปยังแผนกกระดูกและข้อที่อยู่บนชั้นเจ็ด
เมื่อพวกเขามาถึงชั้นเจ็ด พวกเขาก็ได้พบกับเฉาเจ๋อที่เพิ่งเลิกงาน
“หมอหาน?” เมื่อเห็นหานเจิ้น เฉาเจ๋อก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แล้วทันทีที่เฉาเจ๋อนึกถึงการแข่งขันระหว่างหานเจิ้นกับฟางชิว เขาก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในวันนี้ได้ทันที
แน่นอนว่าเฉาเจ๋อย่อมเป็นคนกลางในการแข่งขันของทั้งสองคน สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าใครจะชนะ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่ในฐานะคนของแผนกกระดูกและข้อ เฉาเจ๋อก็ต้องสนับสนุนฟางชิวอยู่ดี
“ไง เฉาเจ๋อ!” หานเจิ้นทักทายเฉาเจ๋อพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “นายได้เรียนรู้จากหมอเสิ่นชุนอย่างนี้ อีกไม่นานคงทำงานในโรงพยาบาลเต็มตัวแล้วสิ”
“พูดแบบนั้นก็เร็วไปครับ ยังไงซะก็ต้องผ่านการทดสอบก่อนเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลอยู่ดี” เฉาเจ๋อยิ้มตอบ
“สำหรับนายแล้ว เรื่องทดสอบไม่น่าจะยากนะ” หานเจิ้นกล่าวยิ้ม ๆ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องและถามว่า “แล้วหมอเสี่ยวฟางจากแผนกนายล่ะ อยู่ที่ไหนแล้ว?”
“เขายังอยู่ในห้องตรวจอยู่เลย” เฉาเจ๋อตอบตามความจริง
“เขายังอยู่ในห้องตรวจ?” หานเจิ้นตกใจและถามอย่างสงสัย “นี่ไม่ใช่เวลาเลิกงานแล้วเหรอ? ทำไมเขาถึงยังอยู่ห้องตรวจอีกล่ะ?” ขณะที่ถาม ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในใจของหานเจิ้น
ฟางชิวยังอยู่ในห้องตรวจ! เขากำลังวินิจฉัยคนไข้รายที่ห้าสิบเอ็ดหรือเปล่า?
นี่จะไม่เท่ากับว่า คะแนนมันจะเสมอกันหรือ?
“ไม่รู้สินะครับ!” เฉาเจ๋อส่ายหัวเบา ๆ แล้วพูดว่า “ครึ่งนาทีก่อนหมอเสี่ยวฟางก็จะเลิกงานแล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็มีคนไข้เพิ่ม เสื้อผ้าของคนไข้น่ะขาดรุ่งริ่ง แถมมายืนรอถึงหน้าห้องตรวจแล้ว หมอเสี่ยวฟางเลยปฏิเสธไม่ได้ เขาก็เลยต้องทำงานต่อ”
“ครึ่งนาทีที่แล้ว?” หานเจิ้นขมวดคิ้ว
“ใช่” เฉาเจ๋อพูดพลางขมวดคิ้ว “แต่วันนี้หมอเสี่ยวฟางทำงานได้รวดเร็วมาก เขาวินิจฉัยคนไข้หนึ่งรายใช้เวลาแค่สามถึงสี่นาที แต่ว่านี่ก็ผ่านไปสิบกว่านาทีแล้ว คนไข้ยังไม่ออกมาเลย”
อันที่จริงเฉาเจ๋อก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน เขาและฟางชิวสังกัดแผนกกระดูกและข้อ ห้องตรวจของพวกเขาจึงอยู่ใกล้กันมาก ตั้งแต่วันแรกที่ฟางชิวเริ่มทำงาน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับฟาวชิงก็จะอยู่ในสายตาของเฉาเจ๋อเสมอ เรียกว่าเขารู้ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของฟางชิวก็กว่าได้
วันนี้ฟางชิววินิจฉัยคนไข้ได้ห้าสิบราย โดยใช้เวลารักษาคนไข้เกือบทั้งหมดแค่สองถึงสามนาทีเท่านั้น ถึงจะมีคนไข้ไม่กี่รายที่ต้องใช้เวลารักษาถึงห้านาที แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่คนไข้ไม่ได้ออกมาหลังจากที่ผ่านไปแล้วสิบนาที
หานเจิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล ยิ่งฟางชิวใช้เวลาวินิจฉัยคนไข้นานเท่าไร เขาก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันมีแนวโน้มว่าฟางชิวจะทำให้คนไข้พึงพอใจได้
คนไข้จะลงคะแนนให้ฟางชิวแน่ ถ้าเขาชื่นชอบฟางชิว
คะแนนโหวต 51 ต่อ 51 นี้ มันไม่บังเอิญเกินไปหรอกหรือ?
“หมอหาน อยากดูไหม” เฉาเจ๋อรู้จุดประสงค์ของหานเจิ้น เขาจึงลองเชิญหานเจิ้นไปด้วยกัน
หานเจิ้นพยักหน้าตกลง จากนั้นทั้งสามคนก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องรอตรวจ
เมื่อมองไปที่เตียงในห้องตรวจ ร่างชายวัยกลางคนสกปรกสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนนั้น
ขณะที่ยืนอยู่หน้าเตียง ฟางชิวก็ไม่ได้สนใจว่าเสื้อผ้าของชายวัยกลางคนจะสกปรกหรือไม่ เขาวางมือลงบนกระดูกสันหลังของชายคนนั้นตรง ๆ และสัมผัสอย่างระมัดระวังจากบนลงล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้วยพลังสัมผัสสัมบูรณ์ของฟางชิวแล้ว ชายหนุ่มจึงสัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายของคนไข้และสาเหตุของโรคได้อย่างง่ายดาย แต่อาการของคนไข้รายนี้สาหัสจนเกินไป
กระดูกสันหลังของคนไข้รายนี้เคลื่อนเกือบทั้งหมด ถ้าตามสถานการณ์ปกติแล้ว คนไข้รายนี้จะต้องมีอาการอัมพาตครึ่งซีก
ทว่าคนไข้รายนี้กลับสามารถพยุงร่างกายมาโรงพยาบาลเพื่อมารับการรักษาได้ ในสายตาของแพทย์คนอื่น ๆ แล้วนี่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ แม้แต่ฟางชิวก็ยังประหลาดใจ
นั่นเป็นเหตุผลที่ฟางชิวพยายามสัมผัสกระดูกอย่างระมัดระวัง เพราะเขาไม่อยากพลาดจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
ทางด้านของชายวัยกลางคนที่กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง เขาปล่อยให้ฟางชิวสัมผัสกระดูกของเขาอย่างเงียบ ๆ
หากสังเกตเสื้อผ้าของคนไข้รายนี้ดี ๆ ก็จะพบว่าเสื้อผ้าที่สวมนั้นเก่าซอมซ่อ แต่ก็ไม่ได้สกปรก เป็นเพราะว่าไม่ได้สระผมเป็นเวลานานก็เลยทำให้ดูไม่ค่อยสะอาด
นอกจากผมที่มันเยิ้มและสกปรกแล้ว คนไข้รายนี้ก็ยังมีเคราที่ไม่ได้โกนมาเป็นเวลานานอีกด้วย รูปร่างของเขาก็ผอมบางอีกต่างหาก
ฟางชิวหยุดการรักษาและหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่สัมผัสอย่างระมัดระวังมาหลายรอบแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจอาการป่วยทั้งหมดของคนไข้รายนี้ นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เพราะคนไข้รายนี้มีอาการสาหัสมาก
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวจึงตัดสินใจให้สิทธิ์คนไข้เลือกว่าจะรักษาอย่างไร
“อาการป่วยของคุณค่อนข้างรักษายาก มีทางเลือกในการรักษาอยู่สองทาง หนทางแรกคือการรักษาแบบรวดเดียว ส่วนหนทางที่สองคือแบ่งการรักษาออกเป็นหลายรอบ”
“การรักษาแบบรวดเดียวจะเจ็บปวดมาก เพราะกระดูกสันหลังของคุณเคลื่อนมากเกินไป การเคลื่อนของกระดูกจะต้องได้รับการจัดให้เข้าที่ทั้งหมด แต่ถ้าคุณแบ่งการรักษาออกเป็นหลายรอบ ความเจ็บปวดก็จะกระจายออกไปอย่างเท่า ๆ กัน”
“รักษาฉันแบบรวดเดียวเถอะ” ชายวัยกลางคนตอบไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างเขินอาย “ฉันมีเงินไม่มากหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวก็เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็พูดว่า “ไม่มีปัญหา!”
“แต่คุณต้องอดทนไว้ แล้วแจ้งให้ผมทราบทันทีถ้าทนไม่ไหว” คนไข้ได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้า
จากนั้น ฟางชิวก็วางมือบนกระดูกสันหลังส่วนบนของคนไข้ หลังจากนั้นเขาก็จัดกระดูกอยู่สักพัก
ความจริงแล้วการจัดกระดูกสันหลังส่วนบนไม่ได้ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บปวด แต่ว่าการจัดกระดูกในตำแหน่งนี้จะส่งผลต่อกระดูกซี่โครง และเมื่อกระดูกซี่โครงขยับ คนไข้ก็จะรู้สึกเจ็บอย่างยิ่ง
และความเจ็บปวดนั้นก็ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับไหว
ฟางชิวกังวลว่าคนไข้จะทนความเจ็บไม่ไหว
“ระบายออกมาเถอะครับ มันจะได้ไม่เจ็บมาก” ฟางชิวถอนหายใจแล้วพูดออกมาในที่สุด
“เรื่องของฉันมันไม่น่าฟังเท่าไหร่” คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงตอบด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ
“ทุกคนล้วนมีเรื่องราว และผมมั่นใจว่าคุณก็มีเหมือนกัน คุณระบายให้ผมฟังได้เลย ผมเต็มใจฟัง” ฟางชิวกล่าว เพราะตอนที่สัมผัสกระดูกของคนไข้รายนี้ เขาก็รู้สึกว่าคนไข้รายนี้มีเรื่องราวน่าเจ็บปวดในอดีต อีกอย่าง เขารู้สึกถึงพลังแห่งความดีในตัวคนไข้ เขาจึงอยากรู้เรื่องราวของคนไข้รายนี้มาก
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง คนไข้ก็ถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าด้วยความปลงตก “ก็ได้”
จากนั้นคนไข้ก็ถามฟางชิวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “หมอคิดว่ามนุษย์จะเลวได้มากแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ” ฟางชิวส่ายหัวและพูดว่า “เพราะผมไม่เคยเจอใครที่ชั่วร้ายได้ขนาดนั้น”
ตอนยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ฟางชิวไม่ได้เข้าสังคมมากนัก คนที่ชั่วร้ายที่สุดที่เขาเคยเจอก็คือเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายที่มีนิสัยนักเลง เพราะเพื่อนร่วมชั้นคนนี้รังแกเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ สุดท้ายจึงถูกเขาเล่นงานกลับไป
ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงจะเป็นคนที่โกงค่าสมุนไพรระหว่างที่เขาเดินทางไปภูเขาไท่ซาน
“ฮ่า ๆ” คนไข้วัยกลางคนหัวเราะออกมาอย่างเศร้า ๆ แล้วพูดว่า “ก็มีแล้วคนหนึ่ง คนอยู่ที่ตรงหน้าหมอนี่ไง”
พบจบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
กร๊อบ!
ฟางชิวพยายามบังคับให้กระดูกสันหลังส่วนบนซี่แรกของคนไข้กลับเข้าที่
“โอ๊ย…” คนไข้ร้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด กล้ามเนื้อและร่างกายของเขาที่กำลังผ่อนคลายอยู่ตึงขึ้นในทันใด
“นี่แค่ครั้งแรกนะครับ ครั้งต่อไปจะเจ็บมากกว่านี้ คุณยังแน่ใจอยู่ใช่ไหมว่าไม่ต้องการแบ่งการรักษาออกเป็นหลายรอบจริง ๆ” ฟางชิวถามด้วยความเป็นห่วง