คุรุการแพทย์ – บทที่ 136 พี่ชายไม่ใช่คนธรรมดานะโว้ย!

คุรุการแพทย์

บทที่ 136 พี่ชายไม่ใช่คนธรรมดานะโว้ย!

บทที่ 136 พี่ชายไม่ใช่คนธรรมดานะโว้ย!

“ทำไมไม่รอให้ฉันมาถึงก่อนแล้วค่อยสั่งล่ะ” ฟางชิวรู้สึกพูดไม่ออกกับความคิดของนักสืบหนุ่ม

หลังจากนั้นไม่นาน บะหมี่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ

เหอเกาหมิงไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน ระหว่างที่กินเขาก็ตะโกนสั่งบะหมี่อีกชามไปด้วย จากนั้นเขาก็กินบะหมี่อย่างอิ่มเอมใจ

เห็นแบบนั้นแล้ว ฟางชิวจึงรู้สึกว่าคงไม่เหมาะที่จะไปขัดขวางการกินของอีกฝ่าย

แต่ใครจะรู้ว่า เหอเกาหมิงจะกินบะหมี่เพิ่มอีกสามชามติดต่อกัน หลังจากที่เขาดื่มน้ำซุปทุกหยดแล้ว เขาก็เอามือลูบท้องและพูดอย่างมีความสุขว่า “เยี่ยมมาก!”

“กินอิ่มหรือยัง” ฟางชิวถาม

“อิ่มแล้ว” เหอเกาหมิงพยักหน้าตอบไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเริ่มคุยเรื่องงานกันเถอะ” ฟางชิวเม้มริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดต่อ “เรื่องนี้…” เหอเกาหมิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความสลดใจ แล้วพูดว่า “คนที่นายขอให้ฉันตรวจสอบ คนที่ชื่อเว่ยตงคนนั้นน่ะ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี”

“ทำไมเหรอ?” ฟางชิวถาม

“ก็เขาก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบในช่วงครึ่งแรกของชีวิต แถมยังเป็นหัวโจกทั้งนอกคุกและในคุกอีก! เขาเพิ่งออกจากคุกเมื่อสามปีที่แล้วนี่เอง แต่พอผู้ชายคนนี้ออกจากคุกมาแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปมาก แทนที่จะทำความชั่วต่อไป เขากลับทำแต่ความดีเท่านั้น” เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ เหอเกาหมิงก็ขมวดคิ้วและส่ายหัวไปมา

จากนั้น เขาก็หยิบเอกสารข้อมูลกับรูปถ่ายบางส่วนออกจากกระเป๋าที่วางอยู่ข้างเท้าของเขา แล้วมอบให้กับฟางชิว

“นี่เป็นเอกสารบันทึกการกระทำของเขาตอนที่เป็นเด็กและคำให้การของพยานบางส่วน รวมถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาอยู่ในคุกด้วย”

ฟังจบ ฟางชิวก็หยิบซองเอกสารขึ้นมาแล้วเปิดดูเนื้อหาด้านใน ทันทีที่เขาเปิดอ่าน เขาก็ตกตะลึงทันใด

นักสืบคนนี้ยังมีกระทั่งข้อมูลพฤติกรรมของเว่ยตงในคุก แสดงว่าเขาต้องรู้วิธีหาข้อมูลแน่นอน!

เมื่อฟางชิวแอบคิดในใจตัวเองแล้ว จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ อ่านเอกสารในมืออย่างตั้งใจ

ในขณะที่ฟางชิวกำลังอ่านข้อมูลของเว่ยตงอยู่ เหอเกาหมิงก็หยิบเอกสารอื่น ๆ ออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเขาและวางมันไว้บนโต๊ะ

“และนี่ก็คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่า เว่ยตงได้บริจาคเงินให้กับนักเรียนยากจนที่อยู่บนภูเขาห้าคน”

หลังจากที่ฟางชิวอ่านข้อมูลของเว่ยตงเสร็จแล้ว เขาก็หยิบเอกสารข้อมูลของนักเรียนยากจนทั้งห้าคนมาอ่านทันที

เมื่อฟางชิวอ่านเนื้อหาทั้งหมดอย่างละเอียดแล้ว เขาก็รู้สึกช็อกกับสิ่งที่ได้อ่านอีกครั้ง

เพราะจากข้อมูลเหล่านี้ สถานการณ์ที่แท้จริงของเว่ยตงนั้นน่าประหลาดใจยิ่งกว่าตอนที่เจ้าตัวเล่าเสียอีก

“มันยากที่จะเชื่อใช่ไหมล่ะว่าคนที่เคยชั่วร้ายขนาดนั้นจะกลับตัวเป็นคนดีได้” เมื่อฟางชิวอ่านจบ เหอเกาหมิงก็ถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ถึงแม้ว่าเรื่องราวของเว่ยตงจะสืบได้ไม่ยาก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่นายอาจไม่รู้”

“มันคืออะไร?” ฟางชิววางเอกสารข้อมูลในมือของเขาลง

“หลังจากการตรวจสอบแล้ว ตอนที่เขาไปหานายเพื่อรับการรักษา อาการบาดเจ็บของเขาครึ่งหนึ่งเกิดจากการทำงานหนักจริง ๆ แต่อีกครึ่งหนึ่งเกิดจากการทุบตีของหัวหน้าคนงาน” เหอเกาหมิงกล่าว

จากข้อมูลที่ฟางชิวอ่าน เขาพบว่าเหอเกาหมิงตรวจสอบเว่ยตงได้อย่างชัดเจนมาก ไม่ว่าเว่ยตงไปที่ไหน ไปทำอะไรก็อยู่ในเอกสารหมด เขาจึงไม่แปลกที่เหอเกาหมิงจะรู้ว่าฟางชิวเป็นหมอ

หลังจากที่ฟังเหอเกาหมิงพูดจบ ฟางชิวก็รู้สึกประหลาดใจในเรื่องนี้มาก

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” ฟางชิวขมวดคิ้วและถาม

อาการบาดเจ็บของเว่ยตงนั้นสาหัสมาก ฟางชิวที่ทำการรักษาให้เว่ยตงรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาไม่คาดคิดว่าอาการบาดเจ็บของเว่ยตงจะมาจากสาเหตุอื่นด้วย

ทำไมหัวหน้าคนงานถึงต้องทุบตีเว่ยตงในตอนที่กำลังป่วยหนักด้วย?

ฟางชิวรู้สึกมึนงง แล้วยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังรู้สึกโมโหด้วย

แม้ว่าเว่ยตงจะเคยเป็นคนไม่ดี แต่ตอนนี้เขาเป็นคนดีแล้ว เขาทำงานหนักเป็นเวลาสามปี แต่เขาก็ไม่ได้ใช้เงินที่หามาได้ไปเช่าห้องอยู่เลย เพราะเขาได้บริจาคเงินทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือนักเรียนยากจนในพื้นที่บนภูเขา ในเมื่อหัวหน้าคนงานมีลูกน้องดี ๆ แบบนี้แล้ว แล้วทำไมเขาถึงยังลงมือทำร้ายเว่ยตงอีก?

“ฉันไปตรวจสอบทุกอย่างมาแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหอเกาหมิงก็รู้สึกโกรธเช่นกัน เขากัดฟันแล้วพูดว่า “หัวหน้าคนงานค้างค่าจ้างเว่ยตงมาครึ่งปีแล้ว เว่ยตงก็เลยต้องไปหาหัวหน้าคนงานคนนั้นเพื่อเอาเงินเดือน แต่เขาก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เนื่องจากอาคารอพาร์ตเมนต์ยังสร้างไม่เสร็จ เขาก็เลยต้องไปอาศัยอยู่ที่ใต้สะพานที่อยู่ไม่ไกลจากอาคารนั้น เว่ยตงจะอาศัยอยู่ที่นั่นในเวลากลางคืน แล้วออกไปทำงานพิเศษในตอนกลางวัน เพราะยังมีหัวหน้าคนงานคนอื่นที่สามารถจ่ายค่าจ้างให้เขาได้”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว สายตาของฟางชิวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

แม้ว่าฟางชิวจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการค้างค่าจ้างมามาก แต่ตอนนี้เขารู้สึกโมโหกว่าทุกครั้ง

เพราะสำหรับเว่ยตงแล้ว ค่าจ้างเหล่านั้นมันต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขา! และเงินเหล่านั้นมันก็ยังเป็นความหวังของนักเรียนที่ยากไร้อีกด้วย!

ถึงแม้เว่ยตงจะรู้ดีว่าเขาจะต้องถูกซ้อมแน่นอน แต่เขาก็กัดฟันยอมเพื่อเงินเหล่านั้น

ในตอนนี้ คนที่โหดร้ายที่สุดก็คือหัวหน้าคนงานคนนั้น เพราะหัวหน้าคนงานคนนั้นโหดร้ายถึงขั้นที่กล้าลงมือทำร้ายลูกน้องที่ทำงานหนักจนป่วยได้

คนแบบนี้มันสุดจะทนจริง ๆ!

“อาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ที่ไหน” ฟางชิวเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม

“ด้านล่างของเอกสารเลย ฉันเขียนที่อยู่ของหัวหน้าคนงานคนนั้นเอาไว้แล้ว” เหอเกาหมิงตอบ

“ขอบใจนายมาก” ฟางชิวพยักหน้า เขาหยิบเอกสารขึ้นมาและเตรียมจะจากไป

“เดี๋ยวก่อน ฉันจะไปกับนายด้วย”

เหอเกาหมิงรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วในขณะที่เขารั้งฟางชิวเอาไว้ เขาก็ตะโกนเรียกเถ้าแก่ของร้านทันที “เถ้าแก่เก็บเงินด้วย!”

“มาแล้ว!” เถ้าแก่ร้านวิ่งเหยาะๆ เข้ามา แล้วพูดว่า “บะหมี่ทั้งหมดห้าชาม รวมแล้วเป็นเงินสี่สิบหยวน”

เหอเกาหมิงก็นั่งนิ่ง ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ฟางชิวที่ถูกเหอเกาหมิงรั้งเอาไว้ก็นั่งเฉย ๆ เพื่อรอให้เหอเกาหมิงจ่ายค่าบะหมี่

ฟางชิวรออยู่พักหนึ่ง แต่เหอเกาหมิงก็ไม่ยอมขยับ เขาจึงมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสงสัยว่า นักสืบคนนี้กำลังรออะไรอยู่ และเมื่อเห็นว่านักสืบยังไม่ยอมขยับอีก ฟางชิวก็เลยส่งซิกทางสายตา

จ่ายเงินสิ!

ทางด้านของเหอเกาหมิงนั้น เขาก็นั่งมองหน้าของฟางชิวเช่นกัน หลังจากที่เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับฟางชิวว่า “ทำไมนายไม่จ่ายค่าบะหมี่ล่ะ?”

“ฉันเหรอ?” ฟางชิวตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน

“ไม่งั้นใครจะจ่ายล่ะ?” เหอเกาหมิงก็พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า “นายไม่รู้เหรอว่า ฉันเรียกนายมาที่นี่ทำไม?”

“ตอนนี้ฉันจน! ฉันบริจาคเงินค่าจ้างของนายให้กับนักเรียนยากจนที่อยู่บนภูเขาไปหมดแล้ว แม้แต่เงินหยวนเดียวในตอนนี้ ฉันก็ยังไม่มีเลย”

“เป็นเรื่องจริงเหรอ?” ฟางชิวถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“จริงสิ!” เหอเกาหมิงถอนหายใจแล้วกล่าวเสริมว่า “นายไม่รู้หรอกว่าหลังจากที่ฉันไปถึง ฉันต้องรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาไหลมากแค่ไหน พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบากมาก! ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะลูกผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ฉันจะทนมองพวกเขาทนทุกข์ทรมานได้ยังไงกัน ฉันก็เลยบริจาคเงินทั้งหมดของฉันไป เหลือเอาไว้แค่ค่าเดินทางขากลับ” ขณะที่เหอเกาหมิงกำลังพูด เขาก็เหลือบมองเถ้าแก่ของร้านไปด้วย แลดูเหมือนอยากได้บะหมี่อีกชาม

ฟางชิวรู้สึกตกตะลึง เพราะเขานึกไม่ถึงว่านักสืบหนุ่มคนนี้จะเป็นคนดีด้วย!

แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางที่ไม่พอใจของนักสืบหนุ่มตอนที่พูดถึงเว่ยตงถูกทุบตีแล้ว สิ่งที่พูดก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก

“ก็ได้ ฉันจะจ่ายค่าบะหมี่ให้นาย” ฟางชิวยิ้ม จากนั้นก็หยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้กับเถ้าแก่ร้าน เถ้าแก่ของร้านก็เลยต้องเดินไปหยิบเงินทอน

ในระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งรอเงินทอนอยู่ที่โต๊ะ เหอเกาหมิงก็พูดต่อ

“พูดตรง ๆ” เหอเกาหมิงคลี่ยิ้มแล้วเอามือไปตบที่ไหล่ของฟางชิว “แม้ว่างานของฉันในครั้งนี้จะไม่ยาก แต่ฉันก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเหมือนกัน และอีกอย่าง ฉันบริจาคเงินทั้งหมดไปแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ฉันไม่มีเงินคืนให้นายหรอกนะ”

ฟางชิวรับฟัง ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ตราบเท่าที่เงินถูกใช้ในทางที่ถูกต้อง ฟางชิวก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าเหอเกาหมิงจะคืนให้เขา เขาก็จะเอาไปบริจาคอยู่ดี

“แต่ฉันก็เป็นคนยึดมั่นในหลักการ!” เหอเกาหมิงพูดต่อว่า “ฉันจะไม่คืนเงินให้นาย แต่ฉันจะช่วยนายฟรี หากนายต้องการอะไรในอนาคตก็ติดต่อฉันได้ทันที”

“ตกลง!” ฟางชิวตกลงอย่างง่ายดาย

“อีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีคนมารังแกนาย นายก็ติดต่อฉันได้เหมือนกัน” ขณะที่เหอเกาหมิงพูดประโยคนี้ เขาก็ทำท่าทีเพื่อแสดงให้ฟางชิวเห็นว่า เขาน่ะแข็งแกร่งมาก

เหอเกาหมิงรออยู่นาน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ จากฟางชิวสักที เขาก็เลยมองไปรอบ ๆ แล้วลดระดับเสียงของตัวเองลง ก่อนจะพูดกับฟางชิวว่า “พี่ชายคนนี้จะบอกความลับอะไรบางอย่างให้นายฟัง พี่ชายน่ะไม่ใช่คนธรรมดาหรอกนะ แต่พี่ชายเป็นปรมาจารย์!”

นักสืบหนุ่มกล่าวต่อ “รู้ไหมว่าปรมาจารย์คืออะไร? ปรมาจารย์คือคนที่เดินทางไปทั่วโลกอย่างบ้าระห่ำ สามารถฟันผืนป่าอันเขียวขจีได้ด้วยดาบเล่มเดียว!”

ฟางชิวอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มให้กับคำพูดของเหอเกาหมิง

เหอเกาหมิงไม่ใช่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาหรอกหรือ?

เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์จะพเนจรไปทั่วโลกอย่างบ้าระห่ำและฟันผืนป่าอันเขียวขจีได้ด้วยดาบเล่มเดียว แต่ทว่า…

“อะไรเนี่ย? ไม่เชื่อเหรอ?” เมื่อเห็นว่าฟางชิวไม่เชื่อ เหอเกาหมิงก็หัวเราะออกมา แล้วเขาก็เอื้อมมือไปดึงตะเกียบออกมาจากกล่องตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะ

“ฉันสามารถหักตะเกียบนี่ได้สบาย ๆ” เหอเกาหมิงพูดจบก็ออกแรงเล็กน้อย

แกร๊ก!

เสียงตะเกียบหักดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นเหอเกาหมิงก็มองไปที่ฟางชิวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอาตะเกียบสิบคู่ออกมาจากกล่อง

“นี่คือตะเกียบสิบคู่ ถึงพวกมันจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่…”

แกร๊ก!

ทันทีเหอเกาหมิงออกแรง ตะเกียบสิบคู่ในมือก็หักเหมือนกับครั้งก่อน

เมื่อหักตะเกียบสำเร็จ เขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากกว่าเดิม เขาก็เลยเงยหน้าขึ้นเพื่อรอชมความตกใจของฟางชิว

แต่ใครจะรู้ว่าฟางชิวแค่เม้มปากของตัวเองเท่านั้น ชายหนุ่มนอกจากไม่สนใจแล้วยังหันไปหาเถ้าแก่ที่เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วพูดว่า “เถ้าแก่ คิดค่าตะเกียบด้วย”

เถ้าแก่ของร้านที่เพิ่งเดินมาถึงเลยต้องเดินกลับไปเอาเงินทอนใหม่อีกครั้ง

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว เหอเกาหมิงก็พูดไม่ออก

การคารวะจากฟางชิวล่ะ?

ความตกใจที่ได้เจอปรมาจารย์ของฟางชิวอยู่ที่ไหนกัน?

เหอเกาหมิงยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าฟางชิวจะจ่ายเงินแล้วก็ตาม

เมื่อเห็นว่าฟางชิวกำลังจะจากไป เหอเกาหมิงก็ลุกขึ้นทันที เขาโอบไหล่ของฟางชิวพร้อมกับพูดว่า “ถ้านายไม่เชื่อฉันจริง ๆ ละก็ ตอนที่นายมีเวลา พี่ชายคนนี้จะพานายไปสู่โลกของพี่ชายเอง นายจะได้รู้ว่าปรมาจารย์คืออะไร!”

ฟางชิวคลี่ยิ้มจาง ๆ ก่อนที่จะดึงเงินอีกหนึ่งร้อยหยวนออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้เหอเกาหมิง “ในเมื่อนายไม่มีเงิน ถ้างั้นตอนนี้นายก็ใช้เงินนี้ไปก่อนแล้วกัน”

หลังจากนั้นฟางชิวก็หันหลังและเดินจากไปทันที

“นี่…” ในขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของฟางชิว สลับกับมองเงินในมือของตัวเอง เหอเกาหมิงก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นทันทีและตะโกนออกไปด้วยความโกรธว่า “นี่กำลังให้เงินกับคนขอทานหรือไง? แน่จริงก็ต้องสองร้อยหยวนสิ!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ฟางชิวก็ส่ายหัวพลางหัวเราะ กระนั้นเขาก็ไม่ได้หันกลับไปมอง

หลังจากที่ฟางชิวออกจากซอยนั้นมาแล้ว เขาก็ตรงกลับไปที่หอพักของมหาวิทยาลัยทันที ชายหนุ่มวางเอกสารที่เอาจากเหอเกาหมิงลงบนโต๊ะ จากนั้น เขาก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน

ตกกลางคืน

เมื่อรูมเมตทุกคนหลับกันหมดแล้ว ฟางชิวก็ออกจากหอพักไปเงียบ ๆ และมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของอาคารที่สร้างไม่เสร็จอย่างรวดเร็ว

สิบนาทีต่อมา

ฟางชิวก็มาถึงตำแหน่งที่บันทึกไว้ในข้อมูล เขาได้พบกับอาคารที่สร้างไม่เสร็จในถิ่นทุรกันดารในที่สุด

ฟางชิวสามารถมองเห็นแสงริบหรี่จากใต้สะพานที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอาคารมากนัก จากนั้นเขาจึงรีบเข้าไปใกล้เพื่อมองดูคนที่อยู่ตรงนั้น

เป็นเว่ยตงจริง ๆ ด้วย

ในเวลานี้ เว่ยตงอยู่ใต้สะพานพร้อมกับผ้าขาด ๆ ผืนหนึ่งที่วางอยู่บนพื้น และนั่นก็คือที่ที่เขานอน ห่างจากผ้าขาด ๆ ไปหนึ่งเมตร ก็มีกองไฟขนาดเล็ก บนกองไฟมีหม้อสีดำคล้ำที่ผ่านการใช้งานเป็นเวลานานวางอยู่

มีไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหม้อ ดูเหมือนว่าเว่ยตงกำลังต้มน้ำ

ฟางชิวมองไปที่เว่ยตงอีกครั้ง แล้วเขาก็พบว่าเว่ยตงที่กำลังนั่งอยู่บนผ้าขี้ริ้ว กำลังหยิบบะหมี่ที่เหลือออกจากถุงพลาสติกที่อยู่ใกล้เคียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปที่กองไฟ แล้วใส่บะหมี่ลงในหม้อเพื่อต้มให้สุก

ภายใต้แสงไฟ ฟางชิวจึงสามารถมองเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเว่ยตงได้ชัดเจน

ดูเหมือนว่า เว่ยตงจะถูกทุบตีอีกแล้ว

หลังจากเฝ้ามองจากระยะไกลแล้ว ฟางชิวก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

ในขณะนั้นเอง ได้มีเสียงเบรกรถดังขึ้น จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังตามมา

ฟางชิวเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เลยเห็นว่ามีกลุ่มคนมากกว่าสิบคนที่มีท่าทางดุดันกำลังตรงไปในทิศทางที่เว่ยตงนั่งอยู่

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท