คุรุการแพทย์ – บทที่ 139 การทดสอบพลังหมัด!

คุรุการแพทย์

บทที่ 139 การทดสอบพลังหมัด!

บทที่ 139 การทดสอบพลังหมัด!

“ฉันไม่ว่าง” ฟางชิวเม้มริมฝีปากของเขา ก่อนจะตอบออกไป

“[ขอร้องล่ะ!]” เหอเกาหมิงรีบพูดอย่างร้อนรน “[ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่ใช่คนธรรมดา ฉันน่ะอยู่ในวงในของผู้ฝึกยุทธ์เชียวนะ รู้จักไหมฝึกยุทธ์น่ะ]”

ฟางชิวหัวเราะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“[ความจริงแล้ว…]” เมื่อเห็นฟางชิวไม่ตอบ เหอเกาหมิงจึงบอกความจริงแก่ฟางชิว “[คืนนี้จะมีการชุมนุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้ ถ้าสนใจก็มาหาเงินกับฉันได้ หึ ๆ]”

“ไม่สนใจ” ฟางชิวกล่าว

“[ถ้างั้นก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน]” เหอเกาหมิงหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามว่า “[ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกัน นายก็อยากฉันยืมเงินใช่ไหมเพื่อน?]”

“เพื่อนประเภทที่ยังเป็นหนี้ฉันอยู่ร้อยหยวนน่ะเหรอ?” ฟางชิวกล่าว

“[ฮัลโหล…ฮัลโหล พูดว่าอะไรนะ? ฉันไม่ได้ยินเสียงเลย… ฮัลโหล! ฮัลโหล…]”

เสียงของเหอเกาหมิงก็เริ่มเบาลงไปเรื่อย ๆ จากนั้นฟางชิวก็ได้ยินเสียงตัดสายทิ้ง

ฟางชิวพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกสนใจคำเชิญชวน เขาอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าแท้จริงแล้วศิลปะการต่อสู้เป็นอย่างไร

ชายหนุ่มอยากรู้ว่าการชุมนุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

เพราะทายาทเศรษฐีทั้งสองคนนั้น ฟางชิวถึงได้ค้นพบงานแสดงสินค้า แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้อะไรเลย

ฟางชิวจึงจะลองใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ดู เพราะไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องเข้าไปอยู่ในแวดวงของผู้ฝึกยุทธ์เพื่อค้นหาที่อยู่ของอาจารย์ของเขาที่หายไปอยู่แล้ว ฉะนั้น จะช้าหรือเร็วมันก็ไม่สำคัญ

แต่เขาจะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาง่าย ๆ แน่

“หมอนั่นไม่ได้บอกฉันว่าจะไปกี่โมง” ฟางชิวส่ายหัวก่อนจะไปเข้าเรียน

หลังเลิกเรียน ฟางชิวก็สวมชุดออกกำลังกายที่เขาเคยสวมตอนไปงานแสดงสินค้าแล้วแอบออกจากมหาวิทยาลัยอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ค้นหาแผงขายอาหารที่อยู่ใกล้กับสำนักงานนักสืบต้าหยิน เมื่อเขาแน่ใจว่าเหอเกาหมิงยังอยู่ชั้นบน เขาก็โล่งใจ และเดินไปกินบะหมี่อย่างสบายใจ

หลังจากที่ฟางชิวกินบะหมี่เสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว

ฟางชิวสวมหน้ากากที่เขาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็รออยู่ด้านล่างของสำนักงานนักสืบต้าหยิน

ไม่นานเหอเกาหมิงก็เดินลงมาชั้นล่างแล้วขึ้นรถแท็กซี่ไป ฟางชิวใช้วิธีเดียวกับตอนไปงานแสดงสินค้า เขาเรียกรถแท็กซี่สะกดรอยเหอเกาหมิงไป

เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน รถจึงติดน้อยกว่ากลางวัน ดังนั้นมันจึงเป็นการเดินทางที่ราบรื่น ในไม่นานรถแท็กซี่สองคันก็มาถึงชานเมือง แล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปอีกหลายกิโลเมตร

รถแท็กซี่ของเหอเกาหมิงหยุดลงในที่สุด ห่างออกไปประมาณแปดร้อยเมตร ฟางชิวก็ลงจากรถเช่นกัน พอรถแท็กซี่ทั้งสองคันจากไปแล้ว ฟางชิวก็แอบวิ่งตามเหอเกาหมิงไปทันที

จากระยะไกล ฟางชิวก็เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ประตูคฤหาสน์ปิดอยู่ แต่ก็มีผู้ฝึกผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มใหญ่ไปยืนออกันอยู่หน้าประตู

เหอเกาหมิงก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อฟางชิวเดินไปใกล้ ๆ กลุ่มคน เขาก็มองเห็นอีกฝ่ายทันที

เหอเกาหมิงดูกระตือรือร้นมาก เพราะทันทีที่มาถึงก็รีบเอาตัวเข้าไปด้านหน้าสุดทันที

“มีคนมามากมายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!”

“คนเยอะจะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้สักหน่อย”

“พูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ ทุกคนที่นี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์กันหมด เครื่องทดสอบพลังที่หน้าประตูจะหยุดได้สักกี่คนเชียว”

“ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนพละกำลังไม่เท่ากันสักหน่อย เกณฑ์ในครั้งนี้คือแปดร้อยกิโลกรัมต่อหนึ่งกำปั้น ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปทำไม่ได้หรอก”

ผู้คนกำลังชี้และพูดคุยกันอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์

เมื่อได้ฟังการสนทนาจากรอบ ๆ แล้ว ฟางชิวก็เงยหน้าขึ้น มองที่หน้าประตูคฤหาสน์ แล้วก็เห็นเครื่องทดสอบพลังวางอยู่

เครื่องทดสอบพลังเครื่องนี้แตกต่างจากเครื่องอื่น ๆ เพราะฐานขนาดยักษ์ของมันถูกฝังอยู่ใต้ดินทั้งหมด และตรงกลางของเครื่องก็มีลักษณะคล้ายประตู ดูเหมือนเอาไว้รับแรงต่อย

เหนือพื้นที่รับแรงกระแทกเป็นจอมอนิเตอร์ที่มีขนาดกว้างและสูงสามสิบเซนติเมตร

‘การชุมนุมของผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งนี้ก็คัดคนเข้าเหมือนกันสินะ!’

ฟางชิวคิดกับตัวเอง

ครั้งก่อนที่เขาไปงานแสดงสินค้า เขาก็ต้องทะยานตัวขึ้นไปบนผาจำลอง การชุมนุมครั้งนี้คงใช้พลังเป็นการตัดสิน

กฎเกณฑ์ของผู้ฝึกยุทธ์เข้มงวดขนาดนี้เลยหรือ?

ปัง!

ขณะที่ฟางชิวกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกระแทกอย่างแรง

ต้นตอของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มสวมแว่นตา น่าจะมีอายุประมาณสามสิบต้น ๆ เขาดูอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อย แต่ชกได้ถึง 813 กิโลกรัม

“ไม่เลว! ไม่เลว!”

“ถึงจะดูอ่อนแอ แต่มีพลังที่เยอะเลย!” ผู้คนเริ่มถกเถียงกัน

ปัง!

เสียงกระแทกดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เป็นชายชราผมขาวที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ชายชราคนนี้ดูองอาจและแต่งตัวดูดีอย่างยิ่ง

“820 กิโลกรัม”

“ผู้อาวุโสแข็งแรงจริง ๆ!”

“ใช่แล้ว วัยขนาดนี้ยังออกหมัดหนัก ๆ ได้ น่าประทับใจมาก”

ฝูงชนพากันสรรเสริญชายชรา

ชายชราจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ พร้อมกับโบกมือทักทายฝูงชน จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูคฤหาสน์ แล้วผลักประตูเดินเข้าไป

ทว่าทันใดนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งรีบวิ่งตามหลังของชายชราเพื่อเข้าไปข้างใน เพราะเขาจะได้ไม่ต้องทดสอบพลัง แต่กลับกลายเป็นว่าทันทีที่ชายชราเดินเข้าไปด้านใน ประตูคฤหาสน์ก็ปิดลงทันที

ชายหนุ่มพยายามผลักประตูจนสุดกำลัง แต่ประตูก็ไม่ขยับเลยสักนิด เขาจึง

กลับไปที่เครื่องทดสอบพลังด้วยท่าทางสิ้นหวัง ก่อนจะเหวี่ยงหมัดออกไป

“788 กิโลกรัม!” เมื่อมองไปที่ตัวเลข ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เขาส่ายหัวแล้วหลบไปด้านข้าง ใกล้ ๆ กันเหล่าฝูงชนก็พยายามให้กำลังใจเขา

ในเวลาเดียวกัน

เหอเกาหมิงมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีใครก้าวไปที่เครื่องวัดพลังอีก เขาจึงยิ้มขำ และก้าวไปข้างหน้าเสียเอง

“ฉันจะแสดงให้พวกแกเห็นเองว่าพลังที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”

เขาคิดในใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเดินไปที่เครื่องทดสอบพลัง

แต่ในขณะนั้นเอง

“ฉันมาแล้ว!” จู่ ๆ ก็มีเสียงลมกระโชกพัดมาพร้อมเสียงร้องตะโกน

เหอเกาหมิงหยุดชะงักทันที เพราะมีเงาคนคนหนึ่งได้พุ่งพรวดมายืนอยู่บนเครื่องทดสอบพลังตัดหน้าเขา

เห็นแบบนี้แล้ว เหอเกาหมิงก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก

“มาแซงคิวทำไมเนี่ย ที่นี่มีอะไรให้น่าแซงกันล่ะ”

“แซงคิวแบบนี้มันเหมาะสมหรือไง รอให้ถึงตาฉันก่อนเถอะ พวกแกทุกคนก็จะได้รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ตัวจริงเป็นยังไง!”

เหอเกาหมิงเหลือบมองคนที่แซงคิวแล้วแอบบ่นอยู่ในใจ

คนที่แซงคิวเหวี่ยงแขน ชกไปที่เครื่องทดสอบพลังอย่างแรง ตัวเลขพุ่งขึ้นบนจอมอนิเตอร์ทันที

“900 กิโลกรัม!”

“ว้าว!”

“เขาชกได้ 900 กิโลกรัม จริง ๆ เหรอ?”

“สุดยอดมาก!”

“เขาเป็นคนแรกที่ชกได้ถึง 900 กิโลกรัมใช่ไหม?”

“ปรมาจารย์การต่อสู้ตัวจริง!”

ฝูงชนปรบมือและโห่ร้องออกมากันอย่างตื่นเต้น

ส่วนเหอเกาหมิงแอบเม้มปากอย่างดูแคลน แต่แล้วในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงลมพัดมาอีกรอบ

คราวนี้เป็นสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวเหมือนเมื่อกี้

เหอเกาหมิงเริ่มโกรธ เห็นอยู่ว่าเขากำลังจะเป็นคนต่อไป ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ต่อคิวล่ะ?

แม้ว่าจะไม่มีกฎเข้าคิวในการทดสอบครั้งนี้ แต่การแซงคิวถือว่าเสียมารยาทอย่างมาก

“ขออภัย!”

ระหว่างที่เหอเกาหมิงกำลังโกรธ ชายหนุ่มทั้งสองคนที่แซงคิวก็หันหน้ากลับมาพร้อม ๆ กัน แล้วทำท่าขออภัยนักสืบหนุ่ม

ในสถานการณ์เช่นนี้ เหอเกาหมิงก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาไว้ เขาก็เลยโบกมือบอกว่าไม่เป็นไรทันที

ฟางชิวที่มองอยู่นอกวงล้อมหัวเราะออกมา เพราะเขาเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองคนที่วิ่งเข้าไปที่เครื่องทดสอบพลังเป็นทายาทเศรษฐีที่เคยยื่นข้อเสนอให้เขามาก่อน

แต่นี่จะเป็นการต่อสู้ที่พวกเขาเคยพูดถึงหรือเปล่า?

อีกด้านหนึ่ง ทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองทั้งสองคนก็ได้เริ่มทดสอบพลัง ทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองคนแรกเหวี่ยงหมัดออกไปชนเครื่องวัดพลังดังโครม

“เขาได้ 953 กิโลกรัม!”

เมื่อตัวเลขออกแล้ว! ฝูงชนก็ตกตะลึงทันที

แรงเยอะมาก!

จากนั้นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองอีกคนก็ชกไปที่เครื่องทดสอบพลัง

โครม!

“956 กิโลกรัม!”

ภาพทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองทั้งสองที่สามารถชกได้เกินเก้าร้อยห้าสิบกิโลกรัมทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจ

แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน พวกเขาก็ชูกำปั้นให้กับฝูงชนแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์

“น่าประทับใจมาก!”

หลังจากที่ได้สติกลับมาอีกครั้ง ฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

เห็นแบบนั้นแล้ว เหอเกาหมิงก็ฉวยโอกาสรีบไปที่เครื่องทดสอบพลังทันที หลังจากที่ชายหนุ่มสองคนนั้นจากไปแล้ว สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไร

“บ้าเอ๊ย พวกเขาแย่งความสนใจไปหมดเลย”

เหอเกาหมิงส่ายหัว ใบหน้าพลันขมขื่น จากนั้นเขาก็ชกไปที่เครื่องทดสอบพลัง

โครม!

“955 กิโลกรัม!”

ว้าว! ฝูงชนตกตะลึงอีกครั้ง

เกิดอะไรขึ้น?

ปรมาจารย์อีกแล้วเหรอ? เด็กสมัยนี้เก่งกันขนาดนี้เลย?

เมื่อเห็นตัวเลขบนหน้าจอ เหอเกาหมิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขารู้จักความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องการจะเข้าทดสอบก่อน เพื่อที่เขาจะได้ขโมยความสนใจของทุกคน

เหอเกาหมิงสามารถเพิกเฉยต่อคนที่แซงคิวคนแรกได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วไอ้เด็กนั่นก็ทำได้เพียงเก้าร้อยกิโลกรัมเท่านั้น แต่ไอ้เด็กบ้านรวยสองคนนั้น พวกมันดันขโมยความสนใจทั้งหมดที่เป็นของเขาไป!

อย่าตีหน้าเวลาที่ตีคน และก็อย่าขโมยความสนใจในเวลาที่ขโมยโอกาสของคนอื่น!

เพราะนี่คือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดในโลกนี้!

อย่างไรก็ตาม ตอนที่เด็กบ้านรวยสองคนกระโดดมาแซงคิว พวกเขาก็ได้กล่าวขอโทษกับเหอเกาหมิงอย่างสุภาพแล้ว

สิ่งนี้จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดมาก เพราะเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ จึงตัดสินใจว่า เขาจะต่อยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มาขโมยโอกาสหรือความสนใจของเขาในครั้งต่อไป

เมื่อเหอเกาหมิงทดสอบพลังเสร็จแล้ว เขาก็เข้าไปข้างใน

“บ้าจริง ทำไมถึงพวกเทพ ๆ ถึงปรากฏตัวในเวลาเดียวกันล่ะ?”

“ทำได้มากกว่า 950 กิโลกรัมทั้งสามคนเลย น่าทึ่งจริง ๆ”

“ประเด็นคือสามคนนี้อายุยังน้อย แต่ทำได้ถึงขนาดนี้ ร้ายกาจมาก!”

“คนทั่วไปจะทำได้ยังไง จะทำให้ได้แบบนี้ต้องฝึกฝนมาเป็นสิบปี”

“งานครั้งนี้น่าสนุกแฮะ!”

ฝูงชนต่างหันไปพูดคุยกันอย่างสนอกสนใจ

เมื่อได้ยินการสนทนาจากด้านหลัง เหอเกาหมิงที่กำลังจะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ก็หยุดเดิน แล้วหันกลับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“โชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!” เหอเกาหมิงพอใจมาก เขาเลยหยุดรอฟังคำชมก่อนจะเดินเข้าไป

เพราะยังไงซะ หยุดฟังคำชมพวกนี้ก็ไม่มีใครคิดเงินอยู่แล้ว

ในขณะที่เหอเกาหมิงกำลังแอบภูมิใจกับตัวเองอยู่นั้น

โครม!

จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น

ทุกคนตกใจมาก พวกเขาพากันมองไปที่เครื่องทดสอบพลังทันที

แล้วสิ่งที่พวกเขาเห็นหน้าเครื่องทดสอบพลังก็คือชายคนหนึ่ง เขาสวมหน้ากากกับชุดออกกำลังกาย กำลังยืนอยู่ที่หน้าเครื่องทดสอบพลังโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

หลังสิ้นเสียงการชกอย่างแรงไป ที่หน้าจอบนเครื่องทดสอบพลังก็ปรากฏตัวเลขสี่หลักขึ้นมา

“1,450 กิโลกรัม!”

ซี้ด…

เมื่อเห็นตัวเลขนั้นแล้ว ทุกคนในฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่กำลังอยู่หน้าเครื่องทดสอบพลังด้วยความอึ้ง

1,450 กิโลกรัม!

หมัดหนักเกินหนึ่งพันกิโลกรัม!

“เฮ้ย!”

“1,450 กิโลกรัม?”

“เหลือเชื่อไปแล้ว!”

“พระเจ้า ฉันเพิ่งจะเจอคนที่หมัดหนักเกินหนึ่งพันกิโลกรัม”

“ไม่หรอกมั้ง นี่ฉันเพิ่งจะเจอปรมาจารย์การต่อสู้ระดับแนวหน้าเหรอ?”

“ได้ยินมาว่าใครที่ทำได้มากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยกิโลกรัม จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชั้นแนวหน้าโดยอัตโนมัติ ถึงชายคนนี้จะทำไม่ถึง แต่ก็น่ากลัวอยู่ดี คนที่ได้น้อยกว่านี้ไม่น่าจะเอาชนะเขาได้”

“นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว ต้องฝึกฝนกี่ปีกันถึงจะมีความแข็งแกร่งแบบนี้ได้?”

“ฉันว่านะ ชายคนนี้ทุบหัวของทุกคนได้ด้วยหมัดเดียว”

“บ้าเอ๊ย แข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาแล้ว!”

เสียงชื่นชมดังขึ้นไม่ขาดสาย

ทางด้านของเหอเกาหมิงที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ก็ตกตะลึงเช่นกัน

เพราะในความคิดของเขา คนที่ทำได้ 800 กิโลกรัมและ 950 กิโลกรัมก็ถือว่าเก่งแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก ชายคนนี้หมัดหนักถึง 1,450 กิโลกรัม มากกว่าเขาถึง 500 กิโลกรัมเลยทีเดียว

และที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายสวมหน้ากากคนนี้ ดูจากรูปร่างแล้ว น่าจะยังอายุน้อยอยู่เลย

เห็นคนที่อายุน้อยเช่นนี้แสดงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวออกมา จะไม่ให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท