บทที่ 141 ไร้พ่าย!
บทที่ 141 ไร้พ่าย!
หลังจากประกาศผลการแข่งขันไม่นานนัก บริกรสาวสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หนึ่งในนั้นเดินขึ้นไปหาฟางชิวแล้วพูดว่า
“ยินดีด้วยค่ะ คุณได้รับรางวัลหนึ่งพันหยวน”
บริกรสาวยิ้มพร้อมหยิบเงินหนึ่งพันหยวนออกมาจากถาดแล้วส่งให้ฟางชิว
“ขอบคุณครับ”
ฟางชิวรับเงินมาด้วยรอยยิ้ม
ชายวัยกลางที่อยู่ข้าง ๆ มองไปยังฟางชิวด้วยความตกตะลึง
เขาเป็นคนวางเดิมพันคนแรก แต่ขาดทุนไปแล้ว
ผู้ที่มั่นใจว่าจะชนะเดิมพันกลับพ่ายแพ้ กลับกลายเป็นว่าหนุ่มหน้าใหม่ที่วางเดิมพันไปส่ง ๆ เป็นฝ่ายชนะ
“น้องชาย นายดูออกอยู่แล้วหรือเดิมพันส่ง ๆ ไปอย่างนั้น?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เดิมพันไปส่ง ๆ ครับ”
ฟางชิวยิ้ม
อันที่จริง เขาดูออก
ในตอนที่นักสู้ทั้งสองคนก้าวเข้าสู่สังเวียน เขาสังเกตเห็นว่านักสู้ที่ชื่อว่านซูเฉวียนนั้นมีความสามารถอยู่ในระดับที่สูงกว่าจินอี้หานไปหนึ่งระดับ และกำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว
สำหรับจินอี้หาน แม้ว่าความสามารถจะดีไม่น้อย แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องฝ่าฟันเพื่อเข้าไปสู่ระดับปรมาจารย์
นั่นคือเหตุผลที่ฟางชิววางเดิมพันกับว่านซูเฉวียน
แม้ว่าในใจของเขาจะรู้แจ้งชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น ฟางชิวไม่ได้บอกในสิ่งที่เขารู้ออกไป เขาเกรงว่าตนอาจไปบิดเบือนความตั้งใจดีของเจ้าของสถานที่แห่งนี้
หากเอ่ยออกไปจริง ๆ ทุกคนล้วนต้องวางเดิมพันตามเขา นั่นจะไม่ทำให้การแข่งขันกลายเป็นการพนันหรอกหรือ?
“ถ้าผมดูออกจริง ๆ ทำไมผมจะไม่เดิมพันมากกว่านี้ล่ะครับ?” ฟางชิวกล่าว
“ก็จริง”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ในตอนนั้นเอง พิธีกรสาวสวยก็เดินขึ้นสังเวียน
“การแข่งขันครั้งแรกจบลงแล้ว ผู้ชนะคือว่านซูเฉวียน”
พิธีกรสาวยิ้มพลางผายมือไปยังว่านซูเฉวียนซึ่งกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน แต่ยังไม่ได้ลงจากเวที
“ต่อไป เป็นการแข่งขันครั้งที่สอง” พิธีกรสาวสวยเอ่ยต่อ “เนื่องจากชัยชนะครั้งแรกเป็นของว่านซูเฉวียน ดังนั้นเขาจะยังคงเข้าร่วมการแข่งขันครั้งที่สองต่อไป คู่ต่อสู้ของเขารอบนี้คือโจวไท่”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้าสู่สังเวียน
ชายคนนี้สวมชุดซ้อมสีดำ อายุราว ๆ สามสิบแปดหรือสามสิบเก้าปี
“โจวไท่ สถิติจากแข่งขันทั้งหมดสิบห้าครั้ง ชนะสิบสี่ครั้ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฝูงชนอุทานอย่างตื่นตะลึงพลางพยักหน้า
“สิบห้าครั้ง ชนะไปสิบสี่ครั้ง แข็งแกร่งน่าดู!”
“ฉันเคยเห็นเขาประลองครั้งหนึ่ง แข็งแกร่งทีเดียว ทั้งยังสามารถข่มคู่ต่อสู้ได้ตลอดเวลา”
“ได้ยินมาว่าจุดแข็งการโจมตีด้วยมือ ดูเหมือนว่าฝ่ามือของเขาจะทรงพลังมาก”
“ว่านซูเฉวียนเพิ่งชนะการต่อสู้ ใช้กำลังไปเยอะอยู่ เขาน่าจะแพ้โจวไท่นะ”
…
ท่ามกลางเสียงพูดคุยของฝูงชน การเดิมพันยังคงดำเนินต่อไป ทุกคนล้วนเห็นชัยชนะในตัวโจวไท่ พวกเขาจึงพร้อมวางเดิมพัน
ชายวัยกลางคนข้าง ๆ ฟางชิวก็เดิมพันเช่นกัน
เมื่อบริกรสาวมาหาฟางชิวอีกครั้ง เธอก็มองไปยังชายหนุ่มพร้อมกับความคิดที่ว่า เขาคงจะหยิบธนบัตรหนึ่งพันหยวนในมือออกมาสักสองสามใบเพื่อวางเดิมพัน
ใครกันจะคาดคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะเกิดดอกแต่ไม่ออกผล เก็บเงินนั้นเข้ากระเป๋า หลังจากคลำหาเงินอยู่เสี้ยววิก็หยิบเงินออกมาห้าสิบหยวนอีกครั้ง
“เดิมพันข้างว่านซูเฉวียน”
ฟางชิวกรอกแบบฟอร์มการเดิมพัน
บริกรสาวสวยหมดคำพูดในวินาที ชนะตั้งหนึ่งพันหยวน แต่ยังคงเดิมพันเพียงห้าสิบหยวน ขี้ขลาดอะไรอย่างนี้!
แต่สิ่งที่ทำให้เธอพูดไม่ออกยิ่งกว่าคือด้านหลัง
ฟางชิวชนะเดิมพันอีกครั้ง…
การประลองฝีมือระหว่างนักสู้จะใช้เวลาสามถึงห้านาที แต่เพียงชั่วพริบตา ว่านซูเฉวียนก็ชนะการแข่งขันครั้งที่สอง
บริกรสาวคนนั้นมาหาฟางชิวเป็นครั้งที่สามด้วยใบหน้าทึ่ง ๆ พร้อมนำเงินมาให้เขาอีกหนึ่งพันหยวน
“รางวัลของคุณ โปรดรับไป”
“ขอบคุณครับ”
ฟางชิวยิ้มพร้อมรับเงินมา
ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ พลันตกตะลึงอีกครั้ง
นี่มันบ้าอะไรกัน! เด็กหนุ่มคนนี้วางเดิมพันถูกคนอีกแล้ว
ทำไมถึงโชคดีอย่างนี้?
ต่อมาเป็นการแข่งขันครั้งที่สาม
ว่านซูเฉวียนที่ชนะสองครั้งติดต่อกัน เขายังคงอยู่บนสังเวียน ส่วนผู้ที่ก้าวมาบนสังเวียนเป็นปรมาจารย์ที่มีสถิติชนะการแข่งขันทั้งสิบเจ็ดครั้ง ทั้งยังได้รับการยกย่องจากเจ้าภาพว่าเป็นคนแรกที่อยู่ในระดับปรมาจารย์
ชื่อของเขาคือหลินจื่อเสียง
การเดิมพันยังคงดำเนินต่อไป
“น้องชาย คราวนี้นายจะเดิมพันฝั่งไหน?”
เมื่อเห็นว่าฟางชิวชนะเดิมพันทั้งสองคน ชายวัยกลางคนผู้แพ้เดิมพันไปสองครั้งติดกันจึงเข้ามาหาพร้อมเอ่ยถามทันที
ฟางชิวเงยหน้าขึ้นมองชายสองคนบนสังเวียนอย่างลังเล
เขาสามารถบอกได้ว่า ว่านซูเฉวียนคนนี้จวนจะทะลวงผ่านขั้นแล้ว เขาคงจะห่างชั้นจากระดับปรมาจารย์อยู่เพียงเล็กน้อย และดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของการเข้าร่วมการแข่งขันก็เพื่อการทะลุทะลวงไปอีกขั้น
ชายที่ชื่อหลินจื่อเสียงเองก็แข็งแกร่งไม่น้อย ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับว่านซูเฉวียน
แต่ถึงอย่างนั้น ฟางชิวก็ยังคงเห็นแนวโน้มที่ดีในตัวว่านซูเฉวียน เพราะพวกที่อยากทะลวงขั้นผ่านไปนั้่นจะต้องมีระดับการฝึกยุทธ์ที่สูง ทั้งเวลาต่อสู้ยังหลงลืมทุกสิ่งไปได้อย่างคาดไม่ถึง การเอาชนะคนประเภทนี้จึงเป็นเรื่องยาก
เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ ฟางชิวจึงหยิบเงินห้าสิบหยวนออกมาอีกครั้งพร้อมลงเดิมไปพันไปที่ว่านซูเฉวียน
ห้าสิบหยวนอีกแล้ว
ถึงบริกรสาวจะไม่แสดงสีหน้า แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำตำหนิ หนุ่มคนนี้แลกแบงค์ห้าสิบมาโหลหนึ่งเพื่อมาที่นี่หรืออย่างไร!
อีกด้าน
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำเงินออกมาห้าสิบหยวนและวางเดิมพันฝั่งว่านซูเฉวียน ในขณะที่บริกรกำลังจะจากไป เขาก็เรียกบริกรอีกครั้งพร้อมวางเงินเดิมพันไปยังเหลียงหย่งเจี๋ยห้าร้อยหยวน
“หึ ๆ”
หลังจากวางเดิมพันเรียบร้อย เขาจึงหันไปหัวเราะหึ ๆ กับฟางชิว
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือว่านซูเฉวียนเป็นผู้ชนะอีกครั้ง…
ทั้งบริกรสาวสวยและชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างฟางชิวล้วนตกตะลึง
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“โชคดีอะไรอย่างนี้!”
บริกรเอ่ยพึมพำ
“จุ๊ ๆ ไม่ขาดทุนแถมได้กำไรอีกสี่ร้อยห้าสิบ… ฮ่า ๆ!”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
ฟางชิวหมดคำพูด
ชายคนนี้เจ้าเล่ห์พอตัว เขาจะขาดทุนได้อย่างไรหากวางเดิมพันเช่นนี้?
แม้ว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีคนใดในที่นี้ที่ทำแบบนั้น
ธาตุแท้ของทุกคนล้วนยากจะหยั่งถึง!
และแล้วการแข่งขันครั้งที่สามสิ้นก็สุดลง
“ยังจะแข่งต่อไหม?”
พิธีกรขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งแล้วเอ่ยถามว่านซูเฉวียนที่เหนื่อยหอบเล็กน้อยหลังจากชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม
“แข่ง!”
ว่านซูเฉวียนพยักหน้าอย่างมั่นใจ
พลันเกิดเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วบริเวณ
‘เขายังพลาดอยู่นิดหน่อย’
ฟางชิวเอ่ยในใจ
เขาเห็นได้ว่าในการแข่งขันแต่ละครั้ง ความแข็งแกร่งของว่านซูเฉวียนจะเพิ่มขึ้นทีละเล็กน้อย แต่ยังไม่สามารถข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้ ดังนั้น แม้ว่าพลังกายของเขาจะหมดลง แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อไป
เขายังไม่รู้สึกถึงปราณฟ้าดิน!
“ดี!”
พิธีกรยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ “ต่อไป ปรมาจารย์คนนี้มาจากมณฑลใกล้เคียง ไม่เคยแพ้ใครในเมืองนั้น แข่งขันร้อยครั้ง ชนะ 99 ครั้ง และเสมอ 1 ครั้ง”
“เขาเป็นมือหนึ่งในระดับปรมาจารย์ วันนี้เขามาที่นี่เพื่อร่วมแข่งขันกับเรา!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนล้วนตื่นตกใจ
มีคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วยหรือ?
ไร้พ่ายเป็นร้อยเกม?
เมื่อพิจารณาจากสถิตินี้ ชายที่กำลังจะขึ้นสังเวียนถือเป็นปรมาจารย์ในระดับปรมาจารย์อย่างแท้จริง!
“ขอเชิญ เหลียงหย่งเจี๋ย!”
พิธีกรบนสังเวียนตะโกนด้วยความฮึกเหิม
หลังจากกล่าวจบ ชายหนุ่มในชุดกีฬาก็ก้าวเข้าสู่สังเวียนด้วยใบหน้าเฉยชา
เมื่อเห็นว่าเหลียงหย่งเจี๋ยอายุน้อยเพียงใด ทุกคนพลันตกตะลึงอีกครั้ง
อายุยังน้อยเพียงนี้แต่ช่างโดดเด่น พรสวรรค์น่าทึ่งจริง ๆ!
อีกด้าน
ว่านซูเฉวียนที่ต่อสู้มาสามครั้งติดต่อกันดูเหนื่อยล้า แต่ทันทีที่เขาเห็นเหลียงหย่งเจี๋ย ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขาหายไปโดยพลัน ทั้งยังถูกแทนที่ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
“เอาล่ะ การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ถึงเวลาที่แขกผู้มีเกียรติจะวางเดิมพัน” พิธีกรกล่าวเสียงดัง
บริกรทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ ฟางชิวยังคงลงเดิมพันด้วยเงินห้าสิบหยวน
หากแต่แตกต่างกับครั้งก่อนหน้า เขาไม่ได้วางเดิมพันฝั่งว่านซูเฉวียน แต่กลับวางเดิมพันฝั่งเหลียงหย่งเจี๋ย
บริกรก็เริ่มสงสัยในทันที เพราะตอนแรกฟางชิววางเดิมพันฝั่งว่านซูเฉวียนสามครั้งติดต่อกัน ในความคิดของเธอ ฟางชิวอาจโชคดีจริง ๆ หรือไม่ก็เป็นแฟนตัวยงของว่านซูเฉวียน ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงวางเดิมพันแบบนั้นสามครั้งติดต่อกัน
แต่ครั้งที่สี่นี้ ทำไมถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?
“น้องชาย ทำไมถึงไม่เดิมพันข้างว่านซูเฉวียนล่ะ?”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างฟางชิวออกปากถามด้วยความสงสัยไม่น้อย
บริกรเองยังคงจ้องมองฟางชิวอยู่ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจด้วยเช่นกัน
“ว่านซูเฉวียนเหนื่อยขนาดนั้น เหลียงหย่งเจี๋ยชนะแน่ ๆ ครับ” จากนั้นฟางชิวก็เอ่ยถามด้วยความงุนงง “ผลการแข่งขันนี้ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ?”
ชายวัยกลางคนตัวแข็งค้าง รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาโดยพลัน
ความจริงที่เรียบง่ายเช่นนี้ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
ก็จริง ว่านซูเฉวียนผู้นี้ต่อสู้มาสามครั้งติดกัน กำลังกายย่อมหมดลง ส่วนเหลียงหย่งเจี๋ยเป็นปรมาจารย์ผู้ไร้พ่ายในการต่อสู้ ทุกคนย่อมวางเดิมพันไปที่เหลียงหย่งเจี๋ย
“ฉันเดิมพันห้าร้อยหยวนฝั่งเหลียงหย่งเจี๋ย!”
ไม่ต้องรอให้บริกรเอ่ยอะไร ชายวัยกลางคนรีบส่งเงินให้ทันที
หลังจากเดิมพันเสร็จ บริกรจึงออกไป
ฟางชิวรู้ว่าเหลียงหย่งเจี๋ยเป็นปรมาจารย์ตัวจริง แม้ว่าว่านซูเฉวียนจะห่างชั้นกับระดับปรมาจารย์เพียงเล็กน้อย ช่องว่างนี้ไม่ใช่พลังกายแต่อย่างใด ถึงว่านซูเฉวียนจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมสู้ แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลียงหย่งเจี๋ย
เป็นเพราะสาเหตุนี้ ฟางชิวจึงวางเงินเดิมพันไปที่เหลียงหย่งเจี๋ย
ไม่นาน การแข่งขันก็เริ่มขึ้น พิธีกรจึงก้าวลงจากสังเวียน
“ให้เวลาคุณพักห้านาที”
เหลียงหย่งเจี๋ยมองไปยังว่านซูเฉวียนพร้อมเอ่ยคำ “ผมไม่สู้กับคนอ่อนแอกว่า”
ไม่สู้กับคนอ่อนแอกว่า?
เพียงประโยคเดียวก็แสดงถึงความโอหังอวดดีเต็มที่ นี่นับว่ายั่วยุว่านซูเฉวียนไม่น้อย
ยังไม่ทันได้แข่งเลย
อีกฝ่ายกลับจัดเขาไว้ในกลุ่มคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองแล้ว เขาจะยอมรับมันได้อย่างไร?
“ลงมือเถอะ!”
ว่านซูเฉวียนเอ่ยคำด้วยความคับแค้นใจ
“ผมไม่สู้กับคนที่อ่อนแอกว่า” เหลียงหย่งเจี๋ยยังคงอวดดี
“ฮึ่ม!”
ใบหน้าของว่านซูเฉวียนเต็มไปด้วยความโกรธ เขาก้าวเท้าด้วยความเร็วตามหลักแปดทิศ เหวี่ยงกำปั้นพร้อมโจมตีไปที่อีกฝ่ายทันที
โจมตีอย่างรุนแรง?
เหลียงหย่งเจี๋ยเบะปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ชายหนุ่มหมดสิ้นซึ่งความลังเล มือของเขาขยับเหมือนงูสองตัวที่กำลังเลื้อย ก่อนจะพุ่งโจมตีว่านซูเฉวียนด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก
เนื่องจากความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ทั้งสองจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!
เสียงการกระทบกระแทกกันดังสนั่นต่อเนื่องราวกับเม็ดฝน ฝูงชนล้วนเกิดความสนใจทันที
บนสังเวียนทั้งสองกำลังปะทะกันด้วยความเร็วมหาศาล และแม้ว่ามันจะรุนแรง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ขยับเท้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“เร็วมาก!”
“ใช่ สองคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“ว่านซูเฉวียนต่อสู้มาแล้วสามครั้ง แต่เขายังคงมีกำลังกายที่ทรงพลังเช่นนี้ สุดยอดเลย! ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้เปรียบนะ”
“ถึงจะดูเหมือนเสมอกัน แต่จริง ๆ แล้วว่านซูเฉวียนเสียเปรียบตั้งแต่แรก”
“ยังไง?”
“พวกคุณเห็นไหมว่าว่านซูเฉวียนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถหาช่องทางโจมตีได้เลย แต่ถูกบังคับให้ตั้งรับ ถึงจะอาศัยพละกำลังมหาศาลเพื่อป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้ชั่วคราว แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะพ่ายแพ้ในไม่ช้า”
ฝูงชนต่างหันไปจ้องมอง และแล้วก็พบว่าเป็นความจริง
ความเร็วในการโจมตีของทั้งสองทำให้ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นความจริงข้อนี้แต่อย่างใด