บทที่ 144 ดูให้ดี! เข้าใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายแล้ว
บทที่ 144 ดูให้ดี! เข้าใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายแล้ว
ก่อนหน้านี้ เหลียงหย่งเจี๋ยใช้วิธีการโจมตีทั้งมือและเท้า
แต่คราวนี้เพื่อยับยั้งฟางชิว เขาจึงเปลี่ยนวิธีการโจมตีโดยใช้เท้าเป็นหลักและตั้งรับด้วยมือ เขาโจมตีอย่างดุเดือดไปด้วยตั้งรับไปด้วย ทวงท่าพร้อมจะตอบโต้กลับได้ทุกเมื่อ
หัวใจของฝูงชนต่างเต้นระรัว
ฟางชิวเปลี่ยนกระบวนท่าตามทันที ทำให้เขากลับมาสูสีกับเหลียงหย่งเจี๋ยอีกครั้ง
การต่อสู้บนสังเวียนเป็นไปอย่างดุเดือด ส่วนด้านล่างสังเวียนเสียงเชียร์ดังกึกก้อง
“ชายนิรนามศึกษากระบวนท่าคู่ต่อสู้ไปสู้ไปจริงด้วย”
“เขาสู้กลับด้วยวิธีการต่อสู้ของอีกฝ่าย เจ๋งนะเนี่ย”
“ใต้ฟ้านี้ ทำไมถึงมีคนสามารถเรียนรู้กระบวนท่าในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ด้วย แล้วพวกเราที่เรียนรู้อย่างหนัก ฝึกฝนอย่างหนักจะอยู่ยังไง?”
ฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างโอดครวญไปตาม ๆ กัน
หากมองไปที่บนสังเวียน จะเห็นว่าเหลียงหย่งเจี๋ยตกตะลึงยิ่งกว่า
ใครกันคาดคิดว่าฟางชิวจะเรียนรู้รูปแบบการต่อสู้ของเขาได้ทุกกระบวนท่าจริง ๆ นี่ทำให้เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย
“นายอยากทำแบบนี้เอง หลังจากนี้โทษฉันไม่ได้หรอกนะ!”
เหลียงหย่งเจี๋ยตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะเปลี่ยนกระบวนท่า
เขาใช้ปลายเท้าเหยียบบนสังเวียนแล้วใช้กำลังภายในพุ่งไปข้างหน้า ร่างกายพลันบิดพลิ้วอยู่กลางอากาศ มือและเท้าต่างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วในหลายทิศทางพร้อมกัน
แม้ฟางชิวจะมองไม่ทัน แต่เขาก็ยังเพ่งสายตาต่อไปว่าเหลียงหย่งเจี๋ยอยู่ทางใดกันแน่
แต่คราวนี้การโจมตีของเหลียงหย่งเจี๋ยทั้งรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ฟางชิวต้องถอยหลังไปหลายก้าวในชั่วพริบตา
ขณะที่ทั้งสองต่อสู้ไปจนถึงกลางสังเวียน ฟางชิวก็เข้าใจกระบวนท่าใหม่ในที่สุด ชายหนุ่มจึงใช้รูปแบบการต่อสู้แบบเดียวกันเพื่อตอบโต้กลับไปทันที
วินาทีต่อมา เหลียงหย่งเจี๋ยก็ยกมุมปาก
“ทุกสำนักสอนเอาไว้ว่าในการต่อสู้ต้องเหลือกลเม็ดไว้บ้าง วันนี้ฉันให้นายเรียนรู้แค่เก้าส่วน ส่วนอีกส่วนฉันจะทำให้นายล้มลงเอง!”
หลังปะทะกันอย่างดุเดือด เหลียงหย่งเจี๋ยก็ลอบหัวเราะในใจพร้อมกับหยุดฝีเท้าโดยพลัน
เขากวาดเท้าตัดขาฟางชิว เกร็งขวาเอาไว้ ขณะที่ฟางชิวกระโดดขึ้นหลบเท้า เขาก็กระแทกหมัดไปยังหน้าอกของฟางชิวอย่างไร้ความปรานี
เหลียงหย่งเจี๋ยเริ่มคุ้นเคยกับรูปแบบการต่อสู้ของอีกฝ่ายแล้ว
ส่วนฟางชิวกำลังครุ่นคิดกระบวนท่าใหม่อีกครั้ง ทว่าจู่ ๆ ก็เห็นกำปั้นพุ่งเข้ามา
ปั่ก!
เกิดเสียงกระแทกดังลั่น เท้าของฟางชิวไถลไปกับพื้น หันมาอีกทีเหลียงหย่งเจี๋ยก็ใช้กำปั้นซ้ายซ่อนไว้ด้านหลังสวนขึ้นมาที่แผ่นอก
“หืม?”
ฟางชิวชะงัก
จากการสังเกต เหลียงหย่งเจี๋ยไม่มีกระบวนท่านี้ ซึ่งหมายความว่าชายคนนี้ซ่อนมันไว้ไม่ให้เขาได้ศึกษา
ปั่ก!
ฟางชิวถูกต่อยอย่างไม่ทันตั้งตัว
ด้านล่างสังเวียน ฝูงชนต่างทอดถอนหายใจด้วยความหดหู่
“ชายนิรนามคนนั้นแข็งแกร่งพอตัวเลยนะ แต่เสียดายที่จะต้องแพ้!”
“ใช่ การศึกษากระบวนท่าไปต่อสู้ไปยากทีเดียว ถ้าไม่มีพรสวรรค์ก็ทำไม่ได้หรอก แต่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนมักซ่อนท่วงท่าที่ทรงพลังที่สุดและคาดไม่ถึงไว้ และจะไม่ใช้มันจนกว่าจะหมดหนทาง ถึงชายนิรนามจะได้เรียนรู้กระบวนท่าของเหลียงหย่งเจี๋ย แต่สุดท้ายเขาจะไม่ได้เรียนรู้กระบวนท่าสุดท้ายแน่นอน!”
“เหลียงหย่งเจี๋ยต้องเห็นอยู่แล้วว่านิรนามกำลังลอกเลียนท่าเขา สุดท้ายเลยต้องใช้ไม้ตาย!”
“แพ้แล้ว แพ้แล้ว!”
“น่าเสียดาย ถ้าเขาโตขึ้นกว่านี้สักสองสามปีก็คงแข็งแกร่งกว่านี้!”
ฝูงชนต่างถอนหายใจ
ในสายตาของทุกคน หมัดนี้เพียงพอที่จะทำให้ชายนิรนามล้มลงกับพื้น
ไม่มีอะไรต้องดูอีกต่อไป อย่างไรชายนิรนามก็คงแพ้
เมื่อฝูงชนคิดว่าฟางชิวกำลังจะพ่ายแพ้ พวกเขาจึงส่ายหน้าพลางถอนหายใจไปตาม ๆ กัน
ทว่าบนสังเวียนกลับมีฉากที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ทันทีที่เท้าของฟางชิวแตะพื้น เหลียงหย่งเจี๋ยก็ต่อยเข้าที่แผ่นอกของเขาอย่างไร้ปรานีทันที แต่ฟางชิวไม่ได้ล้มลงกับพื้น ทั้งยังไม่สนใจที่จะขยับเท้าแม้แต่ก้าวเดียว
แต่เขากลับยืดตัวขึ้นเพื่อรับการโจมตีของเหลียงหย่งเจี๋ยอย่างเต็มแรง
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือหลังจากได้รับหมัดอันหนักหน่วงจากเหลียงหย่งเจี๋ย ฟางชิวก็ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดใด ๆ แต่เขากลับหัวเราะออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วท่านี้ล่ะ ท่าสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”
ฟางชิวหัวเราะเบา ๆ พร้อมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น ปราณในร่างก็เคลื่อนเข้าสู่ใจกลางอก
ปั่ก!
เหลียงหย่งเจี๋ยพร้อมที่จะสวนไปครั้งสุดท้ายแล้วคว้าชัยชนะมาครอง แต่จู่ ๆ เขากลับรู้สึกว่ามีปราณอันทรงพลังปะทุออกมาจากหน้าอกของฟางชิว
ปราณที่ทรงพลังของฟางชิวพลุ่งพล่านออกมาข่มขวัญ เขาไม่อาจต้านทานได้แต่อย่างใด
เพียงชั่วพริบตา ปราณก็กระแทกร่างของเหลียงหยงเจี๋ยลอยละลิ่วไปไกล ก่อนจะตกลงบนพื้นสังเวียนดังโครม
ด้านล่างสังเวียน เสียงโอดครวญเสียงทอดถอนหายใจเงียบลงโดยพลัน
ทุกคนล้วนตื่นตะลึง
ใครกันคาดคิดว่าการแข่งขันครั้งนี้จะจบลงแบบนี้
เกมพลิกเว้ยเห้ย!
“ฉัน… อะไรกัน! เมื่อกี้ฉันเห็นอะไร?”
“นี่มันอะไรกัน จู่ ๆ เหลียงหย่งเจี๋ยก็ปลิวออกไป”
“บ้าไปแล้ว แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าชายนิรนามกำลังจะแพ้หรอกหรือ ทำไมถึงชนะได้?”
ทุกคนตัวแข็งทื่อ เพราะฉากที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นเหนือความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต่างทำตัวไม่ถูก ได้แต่นั่งมองกันหน้าสลอน
“ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีปราณ?”
เมื่อเห็นภาพบนสังเวียน นัยน์ตาของผู้อาวุโสอี้ก็วาบประกาย
ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้อาวุโสอี้เองก็สับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า เขาหันไปถามผู้อาวุโสอี้ว่า “ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีปราณ หมายความว่ายังไงครับ?”
“สำหรับผู้ที่ฝึกยุทธ์ กำลังภายในล้วนแผ่ออกมาจากเอว หว่างขา เข่า ระบบภายใน”
ผู้อาวุโสอี้มองไปยังฟางชิวบนสังเวียน ก่อนจะอธิบาย “คนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ ล้วนเปลี่ยนทุกส่วนในร่างกายเป็นปราณภายในได้”
“เขาคนนี้กลับทำได้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ง่ายดายเลยสักนิด”
บนสังเวียน
เหลียงหย่งเจี๋ยผู้ถูกสลัดออกไปลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
พิธีกรเห็นดังนั้นจึงรีบขึ้นไปบนสังเวียนเพื่อประกาศผลการประลอง “การแข่งขันจบลงแล้ว ผู้ชนะคือชายนิรนาม!”
หา สรุปชายสวมหน้ากากเป็นฝ่ายชนะ?
ชายสวมหน้ากากชนะจริงหรือ?
ทุกคนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันปรบมือด้วยความตื่นเต้น
ทั้ง ๆ ที่คิดว่ากำลังจะเสียเงิน แต่สุดท้ายกลับชนะ!
ถึงทุกคนจะเดิมพันกับชายสวมหน้ากาก แต่พวกเขาดูเหมือนไม่ได้ชนะแค่เงินเดิมพัน อย่างน้อยก็ได้กู้หน้าของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงกลับคืนมา
ใครล่ะได้ยินแล้วจะไม่ตื่นเต้น!
บนสังเวียน พิธีกรเดินขึ้นไปหาฟางชิวเพื่อที่จะถามคำถาม แต่กลับพบว่าฟางชิวกำลังจ้องมองไปยังด้านล่างของสังเวียน
เมื่อเหลือบตามองไปก็พบใบหน้าที่คุ้นเคย
ว่านชูเฉวียน!
เมื่อพ่ายแพ้ไป ว่านชูเฉวียนก็ได้รับการช่วยเหลือให้ออกมาจากสังเวียนโดยบริกร เขากำลังนั่งที่โต๊ะกลมข้างสังเวียนเพื่อพักฟื้น
ตอนนี้ดูเหมือนว่าว่านชูเฉวียนจะฟื้นตัวขึ้นไม่น้อย
ในขณะที่ฟางชิวมองเขา เขาก็มองไปยังฟางชิวเช่นกัน ใบหน้าของว่านชูเฉวียนเต็มไปด้วยความสับสน
ฟางชิวมองเขาทำไม?
พิธีกรเองก็สงสัยเช่นกัน “ชายนิรนามท่านนี้…”
ฟางชิวกลับเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ดูให้ดี! เข้าใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”
ฟางชิวเอ่ยบอกด้วยเสียงอันดัง
ว่านชูเฉวียนตัวแข็งค้าง ทุกคนโดยรอบก็สะดุ้งเช่นกัน
เห็นอะไร?
เข้าใจอะไร?
ด้วยความสงสัย ผู้คนจึงมองไปตามสายตาของฟางชิว ภาพที่พวกเขาเห็นคือว่านชูเฉวียนกำลังเลิกคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยยินดีระคนสงสัย
ในตอนนั้นเอง
ฟางชิวก็ก้าวออกจากสังเวียน ก่อนจะเดินตรงไปยังสวน
เขามองไปที่สระน้ำใต้สวน แล้วเอานิ้วโป้งขวาจุ่มลงไปในน้ำ
ผู้คนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
ชายสวมหน้ากากกำลังทำอะไร?
ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งได้รับชัยชนะหรอกหรือ แทนที่จะสนุกกับชัยชนะบนสังเวียน ทำไมเขาถึงเดินดุ่ม ๆ ไปที่สระน้ำ?
ว่านชูเฉวียนมองไปยังฟางชิวด้วยสายตาราวกับว่าเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก
ส่วนฟางชิว พอจุ่มนิ้วโป้งขวาลงไปในน้ำ เขาก็ค่อย ๆ ลากนิ้ววนในน้ำ จากนั้นยกมือขวาขึ้นพรวด
วินาทีต่อมา ทุกคนก็ตกตะลึงอีกครั้ง!
ใครกันจะคาดคิดว่าพอชายนิรนามยกมือขวาขึ้น น้ำทั้งสายก็ถูกดึงขึ้นมาจากสระราวกับเป็นเส้นด้าย!
กระแสน้ำนั้นพุ่งขึ้นกลางอากาศตามคำสั่งนิ้วของชายนิรนามไม่ต่างกับมังกรน้ำที่เริงร่ายกายไปกับสายน้ำอย่างสนุกสนาน
ทุกคนเคยเห็นภาพแบบนี้ที่ไหนกัน!
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ที่ตรงนี้ไม่มีใครเคยสัมผัสพลังปราณและปราณฟ้าดินสักคน
ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะผู้ฝึกยุทธ์จะทำได้ขนาดนี้
“นั่นอะไร?”
“เวทมนตร์เหรอ?”
“สุดยอดมาก ยกน้ำออกจากสระให้ลอยอยู่กลางอากาศ!”
“พระเจ้า นี่มันความสามารถอะไรกัน?”
“เป็นภาพลวงตาเหรอ บอกฉันทีว่ามันคือภาพลวงตาใช่ไหม?”
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาตะลึงพรึงเพริดพร้อมพึมพำออกมาด้วยความตกใจ บางคนถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริงหรือฝันไป เพราะทั้งหมดนี้ดูเกินจริงเกินไป
พวกเขาตั้งรับไม่ทันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ฟางชิวไม่ได้ให้ความสนใจกับฝูงชนที่กำลังตื่นตระหนกตกใจ เขาวาดมือกลางอากาศต่อไป
“เส้นลมปราณปอด!”
ผู้อาวุโสอี้เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เขาเอ่ยออกมาเสียงดัง
ในฐานะผู้อาวุโสที่มีอำนาจและเป็นที่เคารพที่สุดในนี้ นอกเหนือจากฟางชิวแล้ว ผู้อาวุโสอี้ถือเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้มากกว่าคนอื่น
ดังนั้นเขาจึงมองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ผู้ฝึกยุทธ์ต้องผ่านชายนิรนามคนนี้ไปให้ได้หากต้องการเลื่อนระดับตนเองไปถึงระดับปรมาจารย์
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้อาวุโสอี้ ทุกคนก็ตื่นจากอาการตกตะลึง แต่ถึงกระนั้น ความตื่นตระหนกในใจก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย แปรเปลี่ยนเป็นมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของผู้อาวุโสอี้สักคน
พวกเขาไม่รู้ว่าเส้นลมปราณปอดคืออะไร
อีกมุมหนึ่ง ว่านชูเฉวียนมองไปยังฟางชิวอย่างไม่วางตา หลังจากคลายความตกใจ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
ฟางชิวยังคงควบคุมการไหลของน้ำให้ทุกคนดู ปราณในตัวกำลังเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณปอดทางขวามือไปยังจุดจงฝู่*[1]
จุดจงฝู่ตั้งอยู่ในช่องซี่โครง ห่างจากแนวกึ่งกลางหน้าอกหกนิ้ว ตรงกล้ามเนื้อทรวงอกมัดใหญ่และกล้ามเนื้อทรวงอกมัดเล็ก โดยทั่วไปเรียกว่าจุดอวิ๋นเหมินจงฝู่
ฟางชิวทำให้น้ำไหลตามกระแสปราณในร่าง เขาลากนิ้วให้น้ำเคลื่อนจากจุดจงฝู่ของไหล่ขวาไปยังจุดจงฝู่ของไหล่ซ้าย หลังจากนั้นจึงลากนิ้วลงมาที่เส้นลมปราณปอดมือซ้าย ก่อนจะตวัดนิ้วไปยังจุดซ่าวซาง*[2] ที่ปลายนิ้วหัวแม่มือ
เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดนิ้ววนกลับให้กระแสน้ำไหลเป็นวงกลม
ยิ่งว่านชูเฉวียนมองเท่าไร เขาก็ยิ่งทึ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังตื่นเต้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ชายสวมหน้ากากกำลังสอนเขา!
เพียงแค่ฉากนี้เพียงฉากอย่างเดียวก็ได้ตระหนักอะไรมามากมาย ราวกับว่าเขากำลังจะทะลุทะลวงไปได้อีกระดับแล้ว!
[1] จุดจงฝู่ เป็นจุดมู่ของเส้นปอด โดยมู่ คือ จุดที่ปราณของแต่ละอวัยวะจะมากองรวมกัน นั่นคือบริเวณท้องและทรวงอก
[2] จุดซ่าวซาง คือ จุดจิ่งของเส้นปอด อยู่ที่ปลายนิ้วหัวแม่มือด้าน รัศมีห่างจากมุมโคนเล็บ 0.1 ชุ่น