บทที่ 145 เลื่อนเป็นระดับปรมาจารย์!
บทที่ 145 เลื่อนเป็นระดับปรมาจารย์!
สายตาของฝูงชนยังคงจับจ้องอยู่ที่ฟางชิวโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ทุกคนล้วนเงียบกริบ สายตามองไปยังฟางชิวอย่างเพ้อฝัน ราวกับว่าพวกเขากำลังชมการแสดงที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลก
หลังหมุนกระแสน้ำครบหนึ่งรอบ
ฟางชิวก็ไม่หยุดมือ เขาทำต่อไปเหมือนกับที่ทำก่อนหน้า ทำแบบนั้นอยู่สามรอบเต็มก่อนที่พลังปราณภายในของฟางชิวจะสลายไป กระแสน้ำที่ลอยอยู่ด้านหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำ ก่อนจะตกลงสู่สระน้ำทันที
ฟางชิวหันมองไปยังว่านชูเฉวียน เมื่อเจ้าตัวสบสายตากับฟางชิว เขาก็พยักหน้าให้ด้วยความขอบคุณแล้วนั่งลง สีหน้าเหมือนเริ่มจะเข้าใจบางอย่าง
ฟางชิวยิ้มจาง ๆ ตรงมุมปาก
อันที่จริง ครั้งนี้ฟางชิวไม่เพียงแสดงให้เขาเห็นถึงการใช้พลังปราณ แต่ยังแสดงให้เขาเห็นถึงพลังปราณฟ้าดิน
และสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่จะก้าวไปสู่ระดับปรมาจารย์คือ การเข้าใจปราณฟ้าดินนับไม่ถ้วนที่ถูกผูกติดอยู่กับความไม่เข้าใจ จนไม่สามารถฝ่าฟันไปถึงระดับปรมาจารย์ไปได้ตลอดชีวิต
นี่คือเหตุผลว่าทำไมขุมทรัพย์สมุนไพรจึงเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก
เนื่องจากขุมทรัพย์สมุนไพรสามารถช่วยให้รู้สึกถึงปราณฟ้าดินได้
หากเปรียบเทียบความก้าวหน้าของปรมาจารย์ ก็เปรียบได้ดั่งการปีนหน้าผาสูงหนึ่งหมื่นเมตรเมตรด้วยมือเปล่า และปราณฟ้าดินเปรียบบนสุดหน้าผา
หากปราศจากความเข้าใจเกี่ยวกับปราณฟ้าดิน ก็ไม่สามารถขึ้นไปบนสุดของหน้าผาได้
ถ้ามีพลังปราณฟ้าดิน การขึ้นไปบนจุดสูงสุดก็คงทำได้ง่าย ๆ
ไม่ว่าจะได้พลังปราณฟ้าดินมาจากขุมททรัพย์สมุนไพรหรือได้มาจากการฝึกฝนด้วยตนเอง ตราบใดที่เขาสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับมันได้ เขาจะสามารถพัฒนาฝีมือต่อไปได้
ฟางชิวรู้เรื่องนี้ดี ส่วนสาเหตุที่ว่านชูเฉวียนยังไม่ก้าวข้ามระดับเป็นเพราะยังไม่รู้สึกถึงพลังปราณฟ้าดิน เขาจึงต้องแสดงให้ดู เพื่อให้ว่านชูเฉวียนรู้สึกถึงและรวบรวมมันด้วยตัวเอง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าว่านชูเฉวียนจะสังเกตเห็นแล้ว
ฟางชิวโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
‘ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว’
เขากล่าวในใจ
อย่างไรเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับว่านชูเฉวียน เหตุผลที่เขาช่วยอีกฝ่ายก็เพราะเขาเห็นความไม่ยอมแพ้ของอีกฝ่ายที่ต้องการทะลวงข้ามผ่านระดับบนสังเวียน
น่าเสียดายที่สุดท้าย ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานสักเท่าไร เขาก็ยังไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านไปได้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปช่วย
อีกด้าน หลังจากที่ฟางชิวหยุดมือ ฝูงชนทั่วทั้งบริเวณที่ตกตะลึงจึงเริ่มพูดคุยกัน แต่สายตาของพวกเขายังคงจับจ้องไปยังฟางชิว
ในสายตาของพวกเขา ฟางชิวเป็นชายลึกลับ
ลึกลับเสียจนผู้คนเพ้อฝันถึง!
ส่วนผู้อาวุโสอี้ก็สังเกตเห็นสถานการณ์ของว่านชูเฉวียนเช่นกัน
เขาจึงลุกขึ้น ก่อนจะตะโกนขึ้น “เงียบก่อน มีคนกำลังจะทะลวงขั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงเอะอะโวยวายก็ดังไปทั่วบริเวณ
ทุกคนที่ได้เห็นการสาธิตของฟางชิวไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากคิดว่าเป็นภาพลวงตา ส่วนว่านชูเฉวียนได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จะทะลวงขั้นได้แล้ว
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มปกป้องว่านชูเฉวียน บางคนมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นแล้วรบกวนว่านชูเฉวียน
ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีในวงการศิลปะการต่อสู้
และแล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ครึ่งนาทีต่อมา ร่างของว่านชูเฉวียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็สั่นเทิ้ม ดวงตาและปากเบิกกว้าง
“อ๊ากก”
ราวกับพยัคฆ์คำรามฟ้าสะท้านปฐพี นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายขึ้นโดยพลัน
ทะลวงระดับได้แล้ว!
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างยิ้มให้กับความสำเร็จนี้
ว่านชูเฉวียนยืนขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาเกร็งมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ระดับปรมาจารย์…เขาทำสำเร็จแล้ว!
ด้วยความตื่นเต้น ว่านชูเฉวียนก็หันไปขอบคุณชายสวมหน้ากาก แต่เขาพบว่าชายสวมหน้ากากหายไปแล้ว
ผู้อาวุโสอี้ก็เพิ่งจะเห็นว่าชายสวมหน้ากากหายตัวไปเช่นกัน
ใบหน้าชายชราเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายเขาก็แหงนหน้า ตะโกนออกมาว่า “สหายลึกลับคนนั้น วันนี้ของสัปดาห์หน้าจะมีการแข่งขัน โปรดมาเมื่อถึงเวลา ทุกคนที่นี่จะรอ! ฉันมีเรื่องสงสัยอยากจะขอคำแนะนำ!”
เสียงผู้อาวุโสอี้ก้องไปในค่ำคืนอันมืดมิด
เป็นดั่งคาด ไร้ซึ่งคนตอบ
ทุกคนล้วนหันกลับไปหาฟางชิว แต่ไม่พบเขาแล้ว
‘เขาต้องได้ยิน ต้องมาแน่นอน!’
ผู้อาวุโสอี้อธิษฐานในใจ
ความสามารถของฟางชิวนั้นทำให้เขาตกใจไม่น้อยจริง ๆ
ต้องแข็งแกร่งเพียงใดที่สามารถนำให้คนทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้เพียงการสาธิตแค่ครั้งเดียว?
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ฉันจะจำไปตลอดชีวิต!” ว่านชูเฉวียนเปิดปากตะโกนออกไปเช่นกัน พูดจบเขาก็โค้งคารวะหนึ่งครั้ง
เสียงตะโกนนี้
ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขาทันที
ระดับปรมาจารย์!
ปรมาจารย์ตัวจริงเสียงจริง!
แม้แต่ในเมืองเจียงจิงเองก็ยากที่จะหาได้สักคน!
นี่ทำให้พวกเขาตระหนักว่าระดับปรมาจารย์หายากและทรงพลังเพียงใด!
ในขณะเดียวกัน ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจว่าชายลึกลับที่พวกเขาไม่รู้จักนั้นเป็นยอดฝีมือ อย่างน้อยก็ในระดับปรมาจารย์ ยากที่จะพบคนที่อยู่ในระดับนี้
ฝูงชนที่หาฟางชิวไม่พบออกมาแสดงความยินดีกับว่านชูเฉวียนแทน
ว่านชูเฉวียนเลยได้แต่เอ่ยตอบอย่างสุภาพ
หลังแสดงความยินดีเสร็จ ฝูงชนก็เริ่มสงสัยอีกครั้ง
“ในเมื่อชายนิรนามผู้นั้นเป็นยอดฝีมือ การแข่งขันครั้งนี้ก็ไม่ถือเป็นการชนะใช่ไหม?”
“ใช่ การขึ้นสังเวียนกับยอดฝีมือที่ทรงพลังเช่นนี้ถือเป็นการรังแกผู้อ่อนแอกว่าไม่ใช่เหรอ?”
“แต่เขาสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเลยนะ จนฉันนึกว่าเขาจะแพ้แล้ว”
“อืม จะนับว่าชนะก็คงไม่ได้”
…
ฝูงชนต่างถกเถียงกัน หลายคนสงสัยว่าการแข่งขันนี้ควรตัดสินอย่างไร
แต่ในตอนนั้นเอง เหลียงหย่งเจี๋ยซึ่งอยู่บนสังเวียนก็ลุกพรวดขึ้น “ทุกท่าน วันนี้ผมทะนงตนเอง สุดท้ายเลยพ่ายแพ้ให้กับชายนิรนาม จริง ๆ แล้วผมรู้ว่าที่ผ่านมาชายนิรนามลดความแข็งแกร่งของตัวเองลง”
ทุกคนตะลึงงัน
ไม่แปลกใจเลยที่ดูสูสีขนาดนี้
เป็นเช่นนี้นี่เอง ชายนิรนามเป็นปรมาจารย์จริง ๆ
ผู้อาวุโสอี้ก้าวไปบนสังเวียนพร้อมเอ่ยว่า “ทุกท่าน เรามีปรมาจารย์อยู่ในเจียงจิง ปรมาจารย์ไม่ได้ปรากฏตัวง่าย ๆ เราต้องขอคำแนะนำเขาให้ได้ในสัปดาห์หน้า”
ทุกคนตาเป็นประกายทันที จากนั้นก็ตัดสินใจกันว่าจะมาที่นี่อีกในวันจันทร์หน้า
ชายวัยกลางคนที่เคยนั่งข้างฟางชิวเหมือนจะฉลาดที่สุด
ฉันเอาด้วย! ชายคนนั้นยอดเยี่ยมมาก!
ชนะเดิมพันตั้งสี่ครั้งรวด สุดยอด! ครั้งต่อไปต้องสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้
ส่วนทายาทเศรษฐีทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
แม้ว่าคู่แข่งตัวฉกาจของพวกเขาอย่างเหลียงหย่งเจี๋ยจะพ่ายแพ้ตามที่คาดไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะล่วงเกินยอดฝีมือไปเสียแล้ว…
สองแสนหยวนอาจไม่เข้าตาเขาเสียด้วยซ้ำ
เข้าใจผิดไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขายังมาขายขุมทรัพย์สมุนไพร อย่าทำให้คนเข้าใจผิดสิ!
…
ในความมืดมิด ฟางชิวทำตัวราวกับเป็นภูตผี เขาเคลื่อนตัวด้วยความเร็วผ่านชานเมืองที่ถูกทิ้งร้าง
จริง ๆ แล้วเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสอี้ เช่นเดียวกับเสียงขอบคุณของว่านชูเฉวียน เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยตอบ
ครั้งนี้เขามาดูว่าการแข่งขันเป็นอย่างไรและมาพบปะผู้คนในวงการศิลปะการต่อสู้เพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเท่านั้น
แต่ผลคือ เขาถูกเรียกให้ออกไปประลองซะงั้น
ซึ่งนั่นทำให้เขากลัดกลุ้ม แน่นอนว่าในการแข่งขัน แม้ฟางชิวจะเห็นว่าเหลียงหย่งเจี๋ยจากมณฑลหลินค่อนข้างหยิ่งผยอง แต่เหลียงหย่งเจี๋ยก็ไม่ได้ถึงขั้นที่มีจิตใจที่ไม่ดี แต่เป็นเพียงเพราะเขาแข็งแกร่งและไร้พ่ายจึงก่อให้เกิดความเย่อหยิ่งในใจต่างหาก
ฟางชิวจึงไม่ได้ลงมือหนัก แต่แสดงพลังปราณต่อหน้าเขา
ในท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของเหลียงหย่งเจี๋ยนั้นคล้ายกับของว่านชูเฉวียน ทั้งคู่มีพรสวรรค์ในระดับที่กำลังจะทะลุทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับปรมาจารย์
หลังจากสาธิตเสร็จ ฟางชิวรู้ว่ามันจะดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาจึงเลือกที่จะจากมาอย่างเงียบ ๆ ถ้าอยู่ต่อไป ตัวตนของเขาอาจถูกเปิดเผย
สำหรับสัปดาห์หน้า เขาจะยังคงมาเข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่ ฟางชิวยังไม่รู้ เขายังคงพิจารณาอยู่ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบผู้อาวุโสอี้กลับไป
ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ระหว่างทางกลับมหาวิทยาลัย หารู้ไม่ว่ามีคนโพสต์เรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันในเว็บบอร์ดสำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองเจียงจิงเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีรูปถ่ายหรือวิดีโอ การแข่งขันนี้เป็นสังเวียนที่ผู้อาวุโสอี้เป็นเจ้าของ จึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระเท่าไรนัก
‘ช็อก! ชายสวมหน้ากากลึกลับปรากฏตัวที่การแข่งขัน ทั้งยังช่วยให้ผู้ประลองคนหนึ่งทะลวงระดับปรมาจารย์!”
โพสต์นี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย ในตอนที่โพสต์นี้ปรากฏขึ้น ผู้คนในวงการศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองเจียงจิงทั้งหมดให้ความสนใจในทันที
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วมงานหรือปรมาจารย์ที่ไม่มีเวลาหรือไม่ได้ติดตาม ทุกคนต่างพากันติดตามการอัปเดตจากเว็บบอร์ดนี้กันทั้งนั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็อยากรู้ผลการแข่งขัน ทว่าเมื่อผลออกมา สิ่งที่พวกเขารอคอยนั้นกลับสร้างความตกใจให้แทน
[ยอดฝีมือลึกลับ? ลึกลับแค่ไหน?]
[เชื่อได้ไหมเนี่ย?]
[จริงเหรอ จริงเหรอ?]
[เว่อร์น่า มีคนทำให้คนอื่นทะลวงระดับได้ด้วยเหรอ]
[ใครล่ะจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระในงานของผู้อาวุโสอี้ แต่เอาจริงก็น่าสงสัยนะ เชื่อได้จริงเหรอ ใครจะทำแบบนั้นได้กัน]
[เจ้าของโพสต์เป็นนักเรียนประถมใช่ไหม รู้ไหมว่าผู้ฝึกยุทธ์จะทะลวงไประดับปรมาจารย์มันยากขนาดไหน มันต้องใช้พลังปราณฟ้าดิน! จะผ่านได้จากการสอนส่ง ๆ ได้ไง]
[ถ้าทำแบบนั้นได้จริง ๆ ฉันยกแซ่ให้เลยเอ้า!]
…
คนจำนวนไม่น้อยที่เห็นโพสต์ดังกล่าวล้วนกวนเจ้าของโพสต์ไม่ก็ตั้งคำถามแบบติดตลก ไม่มีใครเชื่อลงเลยสักคน