บทที่ 149 เขาจัดกระดูกเก่งกว่าฉัน!
บทที่ 149 เขาจัดกระดูกเก่งกว่าฉัน!
เมื่อนิ้วของฟางชิวแตะที่ชีพจรบนข้อมือของผู้ป่วย คำอธิบายของชีพจรก็ลอยขึ้นในห้วงความคิดของเขาทันที
ชีพจรลอยจะรู้สึกคล้ายท่อนซุงลอยน้ำ เวลากด เส้นชีพจรจะจมเล็กน้อย และจะลอยขึ้นทันทีที่ปล่อยมือ
ปัจจัยก่อโรคจากภายนอกจะอยู่ที่ผิวกาย พลังชี่จะคอยต่อต้านปัจจัยการก่อโรค ชีพจรชี่จึงลอยออกมา ตำแหน่งชีพจรก็เลยตื้นไปด้วย ถ้าชีพจรแน่นและลอย หมายถึง มีอาการอ่อนเพลียจากปัจจัยภายนอก ที่ยังไม่หายก็เพราะเลือดหยินลดลงและขาดหยาง การขาดหยางจะทำให้ความร้อนลอยอยู่ข้างนอกและทำให้ชีพจรลอยและอ่อนแรง ใครมีชีพจรแบบนี้นับว่าอันตราย
ฟางชิวสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยอย่างระมัดระวังแล้วพูดในใจว่า ‘นี่สินะชีพจรลอย’
เนื่องจากเขามีสัมผัสสัมบูรณ์ เขาจึงรับรู้ถึงความละเอียดอ่อนของชีพจรได้
ขณะที่ฟางชิวสัมผัสกับชีพจร เขาก็พบว่าชีพจรของผู้ป่วยเป็นชีพจรลอยจริง ๆ ซึ่งตรงตามคำอธิบายเรื่องชีพจรลอยในหนังสือทางการแพทย์
หลังจากที่ฟางชิวสัมผัสเสร็จ สวีเมี่ยวหลินก็จัดการจ่ายยา ไม่นานก็ให้ผู้ป่วยรายที่สองเข้ามา
“นี่คือชีพจรเร่ง จำไว้!”
เวลาสวีเมี่ยวหลินจับชีพจร เขาก็บอกให้ฟางชิวรับรู้ทันที
ชีพจรเร่ง คือ ชีพจรที่เต้นเร็วและถี่รัว แต่ในการเต้นจะมีจังหวะหยุด แต่ไม่แน่นอนเพราะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว คนที่ชีพจรเต้นเช่นนี้คือคนที่มีธาตุหยางเยอะและมีความร้อนมากเกินไป หรือไม่ก็คือคนที่มีการพร่องของชี่ เลือดและสารอาหาร อาการบวมและอาการปวดสื่อถึงอาการของโรคจากความร้อน ชีพจรจะเต้นเร็วแต่อ่อนแรง ส่วนใหญ่แล้วเป็นสัญญาณของการป่วย
ฟางชิวเริ่มสัมผัสชีพจรของผู้ป่วย แล้วพบว่าชีพจรของผู้ป่วยสอดคล้องกับความรู้ในใจของเขา
ในเวลาเดียวกัน เขาก็จดจำความรู้สึกของการจับชีพจรอย่างระมัดระวังไว้
ถ้าไม่มีอาจารย์สอน เขาก็คงไม่ได้ใช้ความรู้ในหัว และไม่รู้เลยว่าการแพทย์แผนจีนช่างซับซ้อนและยิ่งใหญ่มากจริง ๆ!
เขาคิดได้ดังนี้ก็ดีใจมากที่ได้มาฝึกงานกับสวีเมี่ยวหลิน
การแพทย์แผนจีนระบุว่าลักษณะของชีพจรนั้นมีมากมาย การจับชีพจรจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตรวจจับชีพจรจึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ง่าย ๆ
ไม่นานนัก ผู้ป่วยรายที่สองก็จากไป ผู้ป่วยรายที่สามจึงเข้ามาแล้วนั่งลง
“หมอสวี กำลังสอนลูกศิษย์อยู่เหรอ” คนที่มาเป็นชายวัยกลางคน กำลังอวดฟันเหลือง ๆ ผ่านรอยยิ้ม
“ใช่แล้วครับ” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“พ่อหนุ่ม เธอต้องตั้งใจเรียนรู้นะ ทักษะทางการแพทย์ของหมอสวียอดเยี่ยมมาก ถ้าเธอเรียนรู้ได้ทั้งหมด จะเจ็บจะป่วยก็ไม่ต้องกลัวแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าว
ได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
สวีเมี่ยวหลินยังคงจับชีพจรต่อไป หลังจากเสร็จสิ้นการจับชีพจรแล้วก็เอ่ยว่า “นี่คือชีพจรตึง*[1]”
ฟางชิวจึงเริ่มจับชีพจรทันที พวกเขาก็สลับจับชีพจรกันไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
สวีเมี่ยวหลินจับชีพจรเร็วมาก เพราะเขารู้จักคนไข้เหล่านี้มาเป็นเวลานาน เขาจึงไม่จำเป็นต้องถามอาการคนไข้เลย ไม่นานก็ตรวจคนไข้ไปแล้วสามสิบคน
ส่วนผู้ป่วยรายที่สามสิบเอ็ด หลังจากที่สวีเมี่ยวหลินจับชีพจรแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หันไปมองฟางชิวแล้วพูดว่า “ตาเธอจะต้องบอกชีพจรให้ฉันฟังแล้ว”
ฟางชิวชะงัก เขารู้ทันทีว่าสวีเมี่ยวหลินกำลังจะทดสอบเขา
แม้ว่าการทดสอบนี้จะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ฟางชิวก็ไม่ได้รู้สึกกังวลเลย เขาเริ่มจับชีพจรคนไข้ทันที
“ชีพจรเป็นเส้นตรงและยาว และอยู่ลึกมาก รู้สึกถึงได้น้อย ต้องกดแรง ๆ เท่านั้น” แล้วฟางชิวก็เอ่ยต่อว่า “นี่คือชีพจรจม*[2] ครับ!”
ชีพจรของผู้ป่วยรายนี้คล้ายกับชีพจรตึงมาก แต่ทันทีเขาใช้สัมผัสสัมบูรณ์ ฟางชิวก็เลยรู้ว่านี่คือชีพจรจม เพราะมันลักษณะเหมือนกับชีพจรของผู้ป่วยคนที่สิบ และเขาก็จำมันได้ชัดเจน
“ดีมาก!” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้า จากนั้นก็ตรวจโรคต่อไปโดยไม่ได้บอกผลการจับชีพจรให้ฟางชิวฟังอีก
แต่พอมาถึงผู้ป่วยรายที่สามสิบห้า
หลังจากที่สวีเมี่ยวหลินจับชีพจรเสร็จแล้ว เขาก็บอกกับฟางชิวว่า “มาจับชีพจร!”
ฟางชิวรีบจับชีพจรผู้ป่วยทันที เมื่อจับชีพจรได้แล้วก็ตอบกลับไปทันที
“ชีพจรเร็ว*[3] ครับ”
“ถูกต้อง!” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าก่อนจะตรวจต่อ
และเหมือนกับเมื่อครู่นี้ เมื่อพบชีพจรที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมา สวีเมี่ยวหลินก็จะอธิบายลักษณะของชีพจรก่อน แล้วค่อยให้ฟางชิวจับชีพจรทีหลัง เมื่อพบชีพจรลักษณะซ้ำ สวีเมี่ยวหลินก็จะเริ่มทดสอบฟางชิวทันที
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงตรง
สวีเมี่ยวหลินตรวจโรคให้ผู้ป่วยหนึ่งร้อยคนเข้าไปแล้ว เขาไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด แต่ยังคงตรวจโรคให้ผู้ป่วยต่อไป
“สายมากแล้วนะ หมอสวี ดื่มน้ำและกินข้าวก่อนไหม ค่อยมาตรวจโรคต่อก็ได้”
ผู้ป่วยคนหนึ่งมายืนอยู่ที่โต๊ะ เขาไม่ได้มาให้สวีเมี่ยวหลินรักษา เพราะเจ้าตัวนำกล่องอาหารสองกล่องและน้ำแร่สองขวดมาให้สวีเมี่ยวหลินกับฟางชิว
“ใช่แล้ว หมอสวี คุณควรกินข้าวก่อน! พวกเราไม่รีบหรอก!”
“หมอสวี คุณควรกินข้าวก่อนนะ”
ผู้ป่วยที่รออยู่ในแถวพากันตะโกนออกมาดัง ๆ
“ได้ งั้นฉันจะกินข้าวก่อน” สวีเมี่ยวหลินพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เริ่มกินข้าวทันที เขารีบตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ตรวจคนไข้ต่อ
แล้วสวีเมี่ยวหลินก็ทำงานจนถึงสามทุ่ม เขาใช้เวลาเกือบทั้งวันในการตรวจคนไข้ทุกคนที่มาหา
รวมแล้วเป็น 253 คน!
ฟางชิวเองก็จำและเข้าใจชีพจรทุกลักษณะได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่คนไข้ออกไปหมดแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็ทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ทันที
“อาจารย์สวี ขอบคุณครับ” ฟางชิวโค้งคำนับสวีเมี่ยวหลินด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ขอบคุณที่สอนผมด้วยตนเองและขอบคุณที่ช่วยเหลือผู้คนมากมายนะครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
วันนี้ฟางชิวได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเล่มไหน เขาประทับใจจิตใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาของสวีเมี่ยวหลินอย่างยิ่ง
“เห~” สวีเมี่ยวหลินชำเลืองมองฟางชิวแล้วพูดว่า “อย่าพูดไร้สาระ ถ้าอยากจะขอบคุณฉันจริง ๆ ก็ช่วยทำอะไรให้เห็นภาพชัดเจนหน่อย อย่างนวดให้ฉัน ไม่เห็นเหรอว่าอาจารย์ของเธอเหนื่อยมาก”
ฟางชิวเริ่มนวดทันที ขณะที่นวดให้สวีเมี่ยวหลิน ชายหนุ่มก็รวบรวมพลังปราณภายในของเขาไปด้วย
เมื่อฟางชิวเริ่มการถ่ายโอนพลังปราณ ร่างกายของสวีเมี่ยวหลินก็สบายตัวขึ้นมาก
“อา…” สวีเมี่ยวหลินส่งเสียงในลำคอออกมาอย่างพึงพอใจ เขากล่าวกับฟางชิวด้วยความประหลาดใจว่า “ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า เธอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนวดด้วย เก่งนะเนี่ย!”
ฟางชิวยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“หมอสวี หมอสวี ได้โปรดช่วยลูกของฉันด้วย…”
ฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินหันกลับไปมองพร้อมกัน แล้วจึงพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตา
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อมองไปที่ผู้หญิงที่กำลังอุ้มเด็กวิ่งเข้ามาหาพวกเขา สวีเมี่ยวหลินก็ยืนขึ้นทันทีแล้วถามว่า “ไม่ต้องกังวล เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก”
“เขาหกล้มค่ะ” หลังที่วิ่งมาถึงโต๊ะ คนเป็นแม่ก็กระวนกระวายจนตาแดง จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ วางเด็กที่มีใบหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำตาลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
“คุณหมอดูนี่สิคะ แขนของเขาหักจนผิดรูปไปแล้ว ฉันควรทำอย่างไรดี? หมอสวี ได้โปรดช่วยลูกของฉันด้วยนะคะ”
ในเวลาเดียวกัน สวีเมี่ยวหลินกับฟางชิวก็มองไปที่เด็กพร้อมกัน
แล้วพวกเขาก็พบว่า ผู้บาดเจ็บเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ดวงตาปรือคล้ายจะหมดสติ ใบหน้าน้อย ๆ แดงจัด ร่องรอยน้ำตาปรากฏอยู่ตามผิวแก้มชัดเจน
สวี่เมี่ยวหลินสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีหลังเห็นแขนขวาของเด็กน้อย
แขนของเด็กคนนี้บิดจนเหมือนลำตัวงู ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
“กระดูกหัก” สวีเมี่ยวหลินกล่าว
“แล้วฉันจะทำอะไรได้บ้าง? หมอสวี ได้โปรดช่วยลูกของฉันด้วย” ผู้เป็นแม่ขอร้องด้วยความสงสารลูก
“ไม่ต้องห่วง!” สวีเมี่ยวหลินพูดปลอบใจเธออย่างรวดเร็ว และในขณะที่เขากำลังจะเริ่มการรักษา จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นเขาจึงหันไปมองฟางชิว และพูดว่า “คราวนี้เธอควรเป็นคนรักษา”
“ครับ” ฟางชิวพยักหน้าโดยไม่ลังเล เขาเริ่มการรักษาทันทีโดยไม่พูดอะไรให้มากความ
“อ๊ะ อย่านะ” ผู้เป็นแม่รีบห้ามพวกเขาเอาไว้ “ตอนนี้เด็กเพิ่งจะหยุดร้องไห้ ถ้าเกิดเธอแตะตัวเขาตอนนี้ เขาก็อาจจะร้องไห้อีกก็ได้ ให้หมอสวีรักษาไม่ดีกว่าเหรอ”
“อย่ามองว่าฟางชิวเป็นแค่เด็กธรรมดาเลยครับ” สวีเมี่ยวหลินคลี่ยิ้มทันทีและพูดว่า “เขาเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลในแผนกกระดูกและข้อ ชื่อเสียงของเขาที่โรงพยาบาลไม่ธรรมดาเลย เขามีประสบการณ์รักษากระดูกที่หัก และเขาก็เก่งกว่าผมด้วยซ้ำ”
“อะไรนะ?”
ผู้เป็นแม่ไม่เชื่อ เธอมองไปที่ฟางชิวสลับกับสวี่เมี่ยวหลิน เมื่อเห็นว่าสวีเมี่ยวหลินไม่ได้ล้อเล่น เธอก็ผ่อนความกังวลลงนิด ๆ
“งั้นฉันอนุญาต” ผู้เป็นแม่รีบพูดกับฟางชิว
“ครับ มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว” จากนั้นฟางชิวก็พูดว่า “อย่ากังวลเลยครับ เขาจะเจ็บก็จริง แต่ตราบใดที่เขาอดทนได้สักระยะหนึ่งก็จะไม่เป็นไรแล้ว มันไม่ใช่โรคร้ายแรงครับ”
“ถ้างั้นก็ดี” ผู้เป็นแม่พยักหน้า
ฟางชิวเริ่มต้นการรักษาทันที เขาเอื้อมมือไปจับแขนของเด็กชายอย่างเบามือ
“อา~” แต่จู่ ๆ เด็กน้อยที่ยังพอมีสติอยู่เริ่มร้องไห้ทันที
ผู้เป็นแม่จึงรีบก้าวเข้าไปปลอบลูกตัวเอง
ฟางชิวจับแขนของเด็กชายไว้ แล้วค่อย ๆ สัมผัสกระดูก ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น
ภายใต้การสัมผัสนี้ เขาจึงพบได้อย่างชัดเจนว่าแขนของเด็กชายไม่ใช่การหักธรรมดา แต่เป็นการหักที่ร้ายแรงมาก
โดยทั่วไป การกระดูกหักจะหักที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น แต่กระดูกแขนของเด็กคนนี้หักหลายแห่ง
เนื่องจากจำนวนกระดูกที่หักมีมากเกินไป กระดูกบางชิ้นถึงกับแตกออกเป็นชิ้น ๆ ถ้าส่งโรงพยาบาลจำเป็นต้องผ่าตัด แล้วยึดกระดูกด้วยเหล็กเพื่อรักษา
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่อาการที่ฟางชิวรักษาไม่ได้
“คุณกอดเด็กเอาไว้ ผมจะจัดกระดูกให้เขา” ฟางชิวกล่าว
“ตกลง” ผู้เป็นแม่พยักหน้าทันที
“อาจารย์สวี ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ” ฟางชิวหันไปหาสวีเมี่ยวหลิน แล้วพูดว่า “อาจารย์ช่วยผมจับข้อศอกของเด็กไว้นะครับ ผมจะได้จัดกระดูกได้ถนัด”
“ไม่มีปัญหา!”
สวีเมี่ยวหลินก้าวไปข้างหน้า แล้วจับข้อศอกของเด็กด้วยมือทั้งสองข้าง
เด็กน้อยค่อย ๆ หยุดร้องไห้แล้วจ้องมาแขนตนเอง
“ผมจะเริ่มรักษาเดี๋ยวนี้” เมื่อสวีเมี่ยวหลินจับข้อศอกของเด็ก ฟางชิวก็เดินไปด้านข้างแล้วเอื้อมมือไปจับข้อมือของเด็ก เขายิ้มให้เด็กคนนั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อย่ากลัวเลย อีกไม่นานนายก็จะหายดี”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่เด็กน้อยก็พยักหน้า
กร๊อบ!
ฟางชิวจับข้อมือของเด็กแล้วดึงอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดังลั่น
“อ๊าก!” เด็กน้อยกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผู้เป็นแม่รีบลูบหลังลูกชายเพื่อปลอบประโลม
ฟางชิวไม่ได้หยุดมือ หลังจากที่ยืดแขนของเด็กให้ตรงแล้ว เขาก็ใช้มือซ้ายดึงข้อมือของเด็กต่อไป ส่วนมือขวาสัมผัสถึงตำแหน่งที่กระดูกหัก จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เลื่อนมือทั้งสองขึ้นเรื่อย ๆ
กร๊อบ! กร๊อบ!
ทุกครั้งที่ฟางชิวบีบก็จะมีเสียงกระดูกแขนดังขึ้นมา เขาบีบจากข้อศอกจนถึงข้อมือ
ในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้ แขนของเด็กก็ถูกจัดกระดูกจนตรง
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้
หลังจากที่กระดูกเข้าที่แล้ว ฟางชิวก็จับข้อมือของเด็กด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วดันกระดูกอย่างระมัดระวังเพื่อเชื่อมกระดูกให้ประสานกันอย่างสมบูรณ์
นอกเหนือจากนั้น เมื่อสวีเมี่ยวหลินมองไปที่การกระทำของฟางชิว เขาก็แอบพยักหน้าอย่างพอใจ
สวีเมี่ยวหลินมีความเชี่ยวชาญในการแพทย์แผนจีนทุกด้าน ดังนั้นการจัดกระดูกจึงไม่มีปัญหาสำหรับเขาเลย
ในสายตาของสวีเมี่ยวหลิน เทคนิคการจัดกระดูกของฟางชิวไม่ได้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย และมันไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นที่สะดุดตาและเป็นที่นิยมในโรงพยาบาลขนาดนั้น
แล้วเมื่อเห็นแขนของลูกใกล้เป็นปกติแล้ว ใบหน้าของผู้เป็นแม่ก็ฉายแววดีใจออกมา
ส่วนฟางชิวยังคงดำเนินการรักษาต่อไป
หลังจากจัดกระดูกทั่วไปแล้ว ฟางชิวก็เอื้อมมือไปแตะแขนเด็กอีกครั้ง แล้วพบว่ายังมีเศษกระดูกบางส่วนอยู่ในแขนของเด็กที่ยังไม่ได้เข้าที่
ชิ้นส่วนกระดูกเหล่านี้มีขนาดเล็กมาก เมื่อเด็กล้มลงกระดูกก็เจาะเข้าไปในเนื้อกับเส้นเลือดอย่างง่ายดาย แม้ว่าฟางชิวจะสัมผัสถึงมันได้ แต่มันก็ยากที่จะรักษาด้วยการจัดกระดูก
เขาจึงไม่สามารถจัดกระดูกให้เด็กคนนี้ได้อีกต่อไป
[1] ชีพจรตึง คือลักษณะชีพจรที่ตึงและยาว
[2] ชีพจรจม คือชีพจรที่คลำแล้วชีพจรอยู่ลึก แตะเบาไม่เจอ ต้องกดลงไปแรง ๆ ถึงจะพบ แปลว่าโรคได้เข้าสู่ภายในร่างกายแล้ว
[3] ชีพจรเร็ว คือชีพจรที่เต้นเร็วกว่าปกติ ใน 1 ลมหายใจชีพจรจะเต้นได้ 5 ถึง 6 ครั้งขึ้นไป แปลว่าอวัยวะของผู้ป่วยมีความร้อนอยู่มาก