บทที่ 150 ใช้พลังจิตจัดกระดูก!
บทที่ 150 ใช้พลังจิตจัดกระดูก!
เมื่อฟางชิวสัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนกระดูกที่หักแล้ว เขาก็คิดหาวิธีในการรักษากระดูกที่หักเหล่านี้อยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง
เขาพบว่ายากมากทีเดียว!
“ใช่แล้ว” ทันใดนั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของฟางชิว
นั่นคือพลังจิต!
จู่ ๆ ฟางชิวก็นึกถึงพลังจิตขึ้นมา
ตอนอยู่ในหอพัก ฟางชิวสามารถใช้พลังเพื่อลงสลักกลอนประตูของหอพักได้ แล้วกระดูกที่หักเหล่านี้ล่ะ เขาจะควบคุมมันได้เหมือนกันหรือเปล่า?
ฟางชิวรีบสัมผัสถึงอาการบาดเจ็บที่กระดูกอีกครั้ง เขาถึงรู้ว่าบาดแผลของเด็กน้อยคนนี้ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เขาควรลองทำมันเดี๋ยวนี้เลย
ทันทีที่ฟางชิววางมือของเขาลงบนกระดูกที่หัก เขาก็เริ่มใช้พลังสัมผัสสัมบูรณ์ทันที แล้วอาการบาดเจ็บของเด็กก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว
ฟางชิวสัมผัสชิ้นส่วนกระดูกที่หักอย่างระมัดระวัง เขากัดฟันเล็กน้อย พลางเพ่งพลังจิตให้ไปควบคุมชิ้นส่วนกระดูกที่หัก
ในตอนแรกกระดูกก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย แต่ฟางชิวก็ไม่หยุดแค่นั้น
วินาทีต่อมา กระดูกที่หักก็ขยับ
ฟางชิวจึงพยายามตั้งสมาธิแล้วลุยต่อ!
แม้ว่ากระดูกจะขยับอย่างเชื่องช้า แต่ก็โชคดีที่อีกส่วนที่หักอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การขยับนี้มันไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของเด็ก
สวีเมี่ยวหลินเห็นว่าฟางชิวไม่ขยับจึงไม่รบกวนอีกฝ่าย
ประมาณสิบวินาทีต่อมา กระดูกที่หักก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์
ฟางชิวปล่อยมือพร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่คิดว่าพลังจิตจะทำได้ขนาดนี้
ถ้าไม่ใช้พลังจิต เด็กคนนี้ต้องไปเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลในวันนี้ มิฉะนั้น กระดูกที่หักเหล่านี้จะยังคงอยู่ในแขน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน และกระดูกก็จะหักง่ายกว่าเดิม
“ฮู่…” ฟางชิวแอบถอนหายใจออกมา
หลังจากการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ฟางชิวก็รวบรวมพลังปราณภายในร่างกายของเขาแล้วปล่อยมันเข้าไปในตัวเด็ก กระดูกที่หักตั้งแต่ข้อศอกไปจนถึงข้อมือของเด็กจึงกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
หลังจากที่กระดูกได้รับการจัดให้เข้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว พลังปราณภายในที่พลุ่งพล่านก็ช่วยลดความเจ็บปวดของเด็กลงได้มาก
“ไม่เป็นไรแล้ว!” รักษาเสร็จแล้วฟางชิวก็พูดขึ้นว่า “ผมอยากได้ไม้กระดานสองสามแผ่น ผ้าพันแผล หรือเชือกก็ได้”
“ฉันเอาผ้าพันแผลมา” สวีเมี่ยวหลินรีบไปหยิบผ้าพันแผลม้วนหนึ่งออกจากกระเป๋ายาของเขาทันที
“หลังนี้ดูแลลูกของคุณให้ดีนะครับ กระดูกมือของเขาเพิ่งสมานกัน อย่าปล่อยให้เขาขยับแขนตอนนี้ เดี๋ยวผมจะหาไม้กระดานมายึดแขนให้” ฟางชิวบอกผู้เป็นแม่ของเด็ก
“ขอบคุณค่ะ!” ผู้เป็นแม่พูดอย่างตื่นเต้น
การทำให้เด็กสงบลงได้ในเวลานี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก เด็กน้อยไม่กล้าขยับไปไหนเลย เขาแค่นอนแน่นิ่งบนไหล่ของผู้เป็นแม่ ผู้เป็นแม่จึงจับมือเล็ก ๆ ของเขาไว้โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เพราะที่นี่เป็นสลัม ฟางชิวจึงหาไม้กระดานได้อย่างง่ายดาย
ระหว่างกลับไปที่กระโจม เขาก็ใช้พลังปราณผ่ากระดานไม้ให้เป็นแผ่น ๆ และไร้เสี้ยน จากนั้นเขาก็กลับกระโจม ยึดแขนเด็กด้วยไม้กระดาน พร้อมทั้งพันผ้าพันแผลให้แน่น
“เอาล่ะ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
หลังจากทำเฝือกชั่วคราวให้เด็กน้อยแล้ว ฟางชิวก็ถอนหายใจออกมา เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาการบาดเจ็บอาจใช้เวลาหนึ่งร้อยวันในการฟื้นตัว อย่าถอดผ้าพันแผลและแผ่นไม้ออกอย่างน้อยหนึ่งเดือนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ! ขอบคุณนะคะ!” ผู้เป็นแม่เด็กพยักหน้าขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขอบคุณครับคุณหมอ!” เด็กน้อยก็ขอบคุณฟางชิวเช่นกัน
ฟางชิวลูบหัวเด็กน้อย คลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี
“แม้ว่ากระดูกจะเข้าที่แล้ว แต่ก็ยังมีข้อควรระวังอย่างอยู่ เพราะไม่มียาทา มันอาจจะหายช้านิดหน่อย ถ้างั้นฉันจะจ่ายยาบางอย่างให้” สวีเมี่ยวหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หยิบกล่องยาแก้อักเสบสองสามกล่องจากกระเป๋าแพทย์แล้วยื่นให้ผู้เป็นแม่เด็ก
“ในช่วงนี้ แขนของลูกคุณอาจจะมีอาการคัน ถ้าคันมาก ก็เกาได้ แต่อย่าเกาแรงเกินไป ยาแก้อักเสบพวกนี้ต้องกินทุกวันสม่ำเสมอเป็นเวลาสองสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการอักเสบ หากบังเอิญมีไข้หรือมีอาการอื่น ๆ ให้พาเด็กไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด” สวีเมี่ยวหลินกล่าว
“เข้าใจแล้วค่ะ” ผู้เป็นแม่เด็กพยักหน้าทันที แล้วต้องการจ่ายเงิน
“ไม่ต้องจ่ายค่ายา” สวีเมี่ยวหลินส่ายหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “นี่เป็นคลินิกฟรี พวกเราไม่สามารถรับเงินของคุณได้”
“เอ่อ…” ผู้เป็นแม่มองไปที่ฟางชิว
“คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายหรอกครับ” ฟางชิวก็ส่ายหัวเช่นกัน
เพราะคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น แล้วพวกเขาจะกล้ารับเงินไว้ได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล สำหรับฟางชิวแล้ว การรักษาเด็กก็เป็นเหมือนการทำความดี
“ขอบคุณค่ะ!!” ผู้เป็นแม่ของเด็กคำนับฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินอย่างสุดซึ้ง
ฟางชิวรีบรับการคำนับของเธอไว้
“ขอบคุณหมอสวีด้วยนะคะ” ผู้เป็นแม่ของเด็ก คำนับสวีเมี่ยวหลิน
“ขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกของฉัน ขอบคุณจริง ๆ”
ผู้เป็นแม่ของเด็กถามชื่อของฟางชิวด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง และเธอก็ยังบอกอีกว่า เธอจะป่าวประกาศให้ผู้คนรู้ว่านอกจากหมอดี ๆ อย่างหมอสวีแล้ว ในเมืองเจียงจิงก็ยังมีหมอเสี่ยวฟางด้วยอีกคน
สวีเมี่ยวหลินยิ้มให้ฟางชิว ขณะมองหญิงสาวจากไปพร้อมกับเด็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน ชื่อของหมอเสี่ยวฟางที่เป็นหมอกระดูกก็เลื่องลือไปทั่วสลัมเขตนั้น
“หมอเสี่ยวฟาง?”
“ฉันนึกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหมอสวีซะอีก ไม่คิดว่าเขาจะเป็นหมอด้วย!”
“ฉันก็ดูไม่ออกเลยจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอเสี่ยวฟางจะดีขนาดนี้”
“ที่สำคัญก็คือเขามีจิตใจดี เพราะหากส่งเด็กไปโรงพยาบาล แม่เด็กก็จะไม่สามารถรักษาลูกให้หายขาดได้ถ้าไม่มีเงินเป็นพันหยวน ดูสิ พอหมอเสี่ยวฟางรักษาเด็กหายแล้ว เขายังไม่รับเงิน แถมหมอสวีก็ยังให้ยาฟรีกับแม่ลูกคู่นั้นอีก”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าแผนกกระดูกและข้อมีหมอฝีมือดีชื่อหมอเสี่ยวฟาง จะใช่เขาหรือเปล่า”
“ต้องใช่แน่ ๆ!”
“หมอสวีกับหมอเสี่ยวฟาง เป็นคนใจดีจริง ๆ!”
…
ฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินเดินทางออกจากเขตสลัมตอนสามทุ่มครึ่ง ระหว่างนั่งในรถ พวกเขาก็พูดคุยกันไปตลอดทาง
“อาจารย์สวี อาจารย์ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ผมขอเลี้ยงข้าวอาจารย์ได้ไหมครับ ผมอยากขอบคุณสำหรับคำแนะนำของอาจารย์ด้วย” ฟางชิวกล่าวอย่างจริงใจกับสวีเมี่ยวหลิน
“ไม่จำเป็น” สวีเมี่ยวหลินส่ายหัวอย่างเกียจคร้านและพูดว่า “ไม่รู้ว่าเธอเป็นเด็กบ้านรวยหรือเปล่า แต่เงินน่ะไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ เป็นแพทย์แผนจีนหาเงินไม่ได้เยอะหรอกนะ เก็บเงินไว้บ้างก็ดี”
“ไม่ได้ครับ” ฟางชิวกล่าวว่า “อาจารย์บอกให้หญิงชราที่อาศัยอยู่เพียงลำพังให้กินข้าวครบทุกมื้อและดูแลตัวเอง แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ทำบ้างล่ะครับ? นอกจากนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเราจะเป็นแพทย์แผนจีนหรือเปล่า และในฐานะแพทย์แผนจีน พวกเราก็ควรใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการช่วยชีวิตผู้คนก่อน ทีนี้ผมเลี้ยงข้าวอาจารย์ได้หรือยัง”
สวีเมี่ยวหลินผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “นี่เด็กอย่างเธอพยายามที่จะสอนฉันเหรอ?”
“อาจารย์คิดไปไกลขนาดนั้นเลย” ฟางชิวพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์เคยบอกผมว่า อาจารย์ชอบเอาเปรียบเด็กฝึกงานไม่ใช่เหรอ”
สวีเมี่ยวหลินตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันชอบประโยคนั้นที่เธอพูดนะ”
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ” ฟางชิวพยักหน้า
สวีเมี่ยวหลินขับรถเข้าไปในเมืองแล้วหยุดรถลงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
แม้ว่าร้านอาหารจะเล็ก แต่ก็ค่อนข้างสะอาด เพราะสวีเมี่ยวหลินต้องการประหยัดเงินของฟางชิว เขาจึงเลือกร้านอาหารแห่งนี้
ฟางชิวไม่ได้พูดอะไรมาก พวกเขาสั่งอาหารกันทันที จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร ส่วนฟางชิวก็ถามคำถามเรื่องแพทย์แผนจีน สวีเมี่ยวหลินจึงอธิบายทีละข้ออย่างละเอียด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะส่งเธอกลับมหาวิทยาลัยก่อน” ระหว่างที่เดินออกจากร้านอาหาร สวีเมี่ยวหลินก็กล่าวกับฟางชิว
“ไม่ต้องหรอกครับ อาจารย์กลับไปก่อนได้เลย” ฟางชิวกล่าวว่า “ผมยังมีสิ่งที่ต้องทำ ผมว่าจะกลับเองคนเดียวครับ”
“เธอจะไปไหน? อยากให้ฉันไปส่งไหม” สวีเมี่ยวหลินถาม
“ขอบคุณครับอจารย์ แต่ผมกลับเองได้” ฟางชิวส่ายหัว “อีกอย่างอาจารย์ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อาจารย์รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ” สวีเมี่ยวหลินยิ้มแล้วเปิดประตูรถ ก่อนจะไปเขาก็พูดว่า “เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มสาวจะมีความปรารถนา อย่าเที่ยวไนต์คลับบ่อยไปล่ะ ในฐานะแพทย์แผนจีน เธอต้องปกป้องไตของเธอเอาไว้บ้าง” พูดจบ เขาก็ขับรถออกไปทันที
ฟางชิวพูดไม่ออก
อาจารย์สวีคนนี้ก็จริง ๆ เลย…
ถึงเวลาที่คนเมืองเริ่มต้นชีวิตกลางคืนแล้ว แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฟางชิวอยู่ดี หลังจากที่สวีเมี่ยวหลินจากไปแล้ว ฟางชิวก็ค้นหาตำแหน่งตู้เอทีเอ็มในโทรศัพท์ จากนั้นเขาก็พบว่ามันอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง
เขาจึงตรงไปถอนเงินสองหมื่นหยวนออกจากตู้ แต่พอเขาจะถอนเงินเพิ่มก็ปรากฏว่ามันได้เกินขีดจำกัดแล้ว
ฟางชิวทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะไปที่ตู้เอทีเอ็มตู้อื่น แต่เขาก็ถอนเงินไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มจึงยอมแพ้
เขานั่งแท็กซี่ไปที่สะพานกว่างหมิงที่ทางตะวันตกของเมืองเพื่อไปหาเว่ยตง
ผลปรากฏว่าใต้สะพานไม่มีใครอยู่เลย เว่ยตงไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
ด้วยความสงสัย ฟางชิวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลขโทรศัพท์ของเหอเกาหมิง
หลังจากนั้นไม่นาน
“[ฮัลโหล?]” เสียงของเหอเกาหมิงดังมาจากโทรศัพท์
“ฉันเอง” ฟางชิวกล่าว
“[ฉันรู้ว่าเป็นนาย ฉันใช้สมาร์ตโฟนนะพวก มันโชว์ชื่อ]” เหอเกาหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฟางชิวกล่าวว่า “ฉันอยากถามอะไรสักหน่อย”
“[ถามอะไร?]”
“ตอนนี้ฉันอยู่ใต้สะพานกว่างหมิงเขตตะวันตก เว่ยตงไม่อยู่ที่นี่แล้ว นายรู้ไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน” ฟางชิวถาม
“[ตอนนี้เขาย้ายไปที่อื่นแล้ว]” เหอเกาหมิงกล่าวต่อ “[ครั้งที่แล้วมีคนช่วยให้เว่ยตงได้รับเงินเดือนคืน จากนั้นเขาก็บริจาคเงินจากสองหมื่นแปดพันหยวน จนเหลือแค่สองพันหยวน เขาใช้เงินราว ๆ ร้อยหยวนเช่าห้องใต้ดินในแถบชานเมืองอยู่ ถึงจะเป็นชั้นใต้ดิน แต่เทียบกับสะพานกว่างหมิงแล้ว ห้องเช่ายังพอหลบลมหลบฝนได้]”
“มีที่อยู่ไหม” ฟางชิวยังคงถามต่อไป
“[มี ทางฝั่งตะวันตกของเมือง แถวเขตชานเมืองจะมีเขตพื้นที่ของโรงงานที่ชื่อหลินอวี้อยู่ บ้านเลขที่…]” เหอเกาหมิงสูดลมหายใจ บอกที่อยู่ของเว่ยตงอย่างละเอียด
“ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากฟังจบ ฟางชิวก็พยักหน้าและวางสายทันที
อีกด้านหนึ่ง
“เฮ้ย หมอนี่ทำไมรีบวางสายแบบนี้เนี่ย” เหอเกาหมิงรู้สึกพูดไม่ออก
เดิมทีเขาต้องการเล่าให้ฟางชิวฟังว่า เขาได้รับประสบการณ์อะไรบ้างจากงานชุมนุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้ครั้งล่าสุด และเขาก็พร้อมที่จะเกลี้ยกล่อมฟางชิวอีกครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายยอมควักเงินไปงานชุมนุมด้วยกัน
ไม่คิดเลยว่าฟางชิวจะวางสายเร็วแบบนี้
…
ทางด้านฟางชิว
หลังจากถามที่อยู่มาแล้ว ฟางชิวก็ขึ้นรถแท็กซี่แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เว่ยตงอาศัยอยู่
พื้นที่แห่งนี้แออัดมาก เนื่องจากเป็นบริเวณโรงงาน ทำให้แถวนี้มีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นบ้านไม้หลายหลังจึงให้เช่าชั้นใต้ดินได้
ฟางชิวตรงไปตามที่อยู่ที่ได้มา หลังสอบถามเจ้าของบ้าน ฟางชิวก็มาถึงห้องใต้ดินที่เว่ยตงอยู่
ในห้องใต้ดินนั้นมืดสลัวเล็กน้อย มีเพียงหลอดไฟสีเหลืองที่แขวนไว้ด้านบน ให้ความสว่างแก่ห้องใต้ดินแคบ ๆ แห่งนี้
อาจเป็นเพราะอยู่ใต้ดิน อากาศในห้องจึงค่อนข้างเย็น
ภายในห้องมีเตียงไม้ มีเตาเหล็กอยู่ตรงกลางและมีกาน้ำชาสีเข้มบนเตา
เวลานี้เว่ยตงกำลังนอนอยู่บนเตียง เหมือนว่ากำลังคิดกับตัวเองอยู่
แต่เมื่อฟางชิวมาถึง เว่ยตงก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทันที เมื่อเขาเห็นฟางชิว เขาก็รู้สึกประหลาดใจมาก
“หมอเสี่ยวฟาง?” หลังจากที่เห็นฟางชิวมา เว่ยตงก็ถามด้วยความประหลาดใจ “หมอมาที่นี่ทำไม”