บทที่ 159 ใครเป็นคนแรก?
บทที่ 159 ใครเป็นคนแรก?
“เหล่าฉี อย่าให้ฉันต้องเดาเลย ถ้าคุณรู้อะไรก็บอกพวกเรามาเถอะ” เฉินอินเซิงคะยั้นคะยอ
“ก็ได้!” ฉีไคเหวินพยักหน้าและพูดว่า “พวกคุณยังจำแบบทดสอบสุดโหดของปีที่แล้วได้ไหม? ก่อนหน้านี้ฉันเอาแบบทดสอบนั้นไปให้ฟางชิวลองทำ ปรากฏว่า เขาทำแบบทดสอบได้ 86.5 คะแนน ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาใช้เวลาแค่สี่สิบห้านาทีเท่านั้น!”
“อะไรนะ?” คนทั้งหมดตกใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะพวกเขายังจำได้ดีว่าว่าผลการแข่งขันในปีนั้นคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินกันขนาดไหน
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันส่วนใหญ่ในปีนั้นจะทำคะแนนแบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด หรือไม่คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดก็ประมาณแปดสิบกว่าคะแนนเท่านั้น และกว่าจะทำข้อสอบทั้งหมดเสร็จก็ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงถ้วน
แต่ฟางชิวกลับทำข้อสอบแค่สี่สิบห้านาที แถมยังได้คะแนนถึง 86.5 คะแนนเนี่ยนะ?
พวกเขาตกใจจนพูดไม่ออก
จะมีเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?
ผู้บริหารของแต่ละมหาวิทยาลัยตกใจเกินกว่าจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
แต่เมื่อเฉินอินเซิงได้ยินสิ่งที่ฉีไคเหวินพูดออกมา เขาก็มั่นใจในผลการแข่งครั้งนี้ทันที
ตอนที่เห็นฟางชิวรีบส่งกระดาษคำตอบ เฉินอินเซิงรู้สึกกังวลมาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว การแข่งครั้งนี้ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
แต่ในเมื่อฟางชิวสามารถทำแบบทดสอบสุดหินของปีที่แล้วได้คะแนนค่อยข้างสูง ชายหนุ่มก็คงจะมั่นใจในการทำแบบทดสอบครั้งนี้ถึงส่งกระดาษคำตอบเร็วแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ความกังวลในใจของเฉินอินเซิงจึงลดลงกว่าครึ่ง แต่เอาเข้าจริง เขาก็ยังกังวลอยู่ดีว่าฟางชิวจะรีบร้อนเกินไปจนตอบคำถามผิด
ภายในห้องสอบ
หลังจากส่งกระดาษคำตอบแล้ว ฟางชิวก็ก้าวออกจากห้องสอบทันที บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงที่กำลังยืนอยู่นอกห้องสอบก็อ้าปากค้าง
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฟางชิวอย่างรวดเร็ว
“ฟางชิว?” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
เจ้าของชื่อหันหน้าไปมองต้นตอของเสียง
“นายทำเสร็จแล้วเหรอ?” หญิงสาวคนนั้นถามด้วยความสงสัย
“ใช่” ฟางชิวพยักหน้า
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนที่อยู่ตรงนั้นก็ทำหน้าตกตะลึงราวกับคิดว่าตนเองหูฝาด
“ใช่เหรอ?”
“เร็วขนาดนี้เลย?”
“เขาให้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งไม่ใช่เหรอ แต่นี่แค่ชั่วโมงเดียวเอง”
ฝูงชนหันไปซุบซิบกันด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนั้นข่าวที่ฟางชิวเดินออกจากห้องสอบแล้วก็แพร่กระจายไปทั่ว
สิ่งที่นักศึกษาทุกคนกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการแข่งขันความรู้ของนักศึกษาใหม่ ด้วยความกังวลนี้เอง ข่าวของฟางชิวจึงแพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
โพสต์ใหม่ได้ปรากฏในเว็บบอร์ดทันที
[การแข่งขันสอบข้อเขียนในรอบแรก ฟางชิวจากมหาวิทยาลัยของพวกเราเดินออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลา เขาทำข้อสอบแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น!]
ภายในเวลาอันสั้น ทุกคนในมหาวิทยาลัยที่เห็นโพสต์ดังกล่าวก็รู้สึกประหลาดใจกันเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ยังอดสงสัยไม่ได้
[มันจบแล้ว ฟางชิวคงจะยอมแพ้แล้วใช่ไหม?]
[ฉันได้ยินมาว่าความยากของแบบทดสอบในครั้งนี้จัดว่ายากจนเป็นประวัติการณ์เลย แม้แต่เด็กปีสองกับปีสามก็อาจจะทำแบบทดสอบนี้ไม่เสร็จด้วยซ้ำ แต่ทำไมฟางชิวถึงออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะ]
[อาจเป็นเพราะคำถามของแบบทดสอบยากเกินไป ฟางชิวก็เลยไม่อยากทำต่อมั้ง? แต่นี่มันศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยนะ เขาทำตามใจตัวเองได้ยังไงกัน?]
[อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปสิ บางทีฟางชิวอาจทำแบบทดสอบเสร็จแล้วก็ได้]
[มันจะเป็นไปได้ยังไง?]
[ใช่ ๆ คำถามรอบนี้ยากมาก ถึงฟางชิวจะได้คะแนนเต็มในการทำแบบทดสอบครั้งก่อนและได้อันดับหนึ่งก็ตาม แต่ความยากในครั้งนี้มันต่างกัน ถ้าไม่ยอมแพ้ไปกลางคัน เขาก็ไม่มีทางทำเสร็จเร็วอย่างนี้หรอก]
[มหาวิทยาลัยของพวกเราจะแพ้อีกแล้วเหรอเนี่ย? โธ่ถัง ผลการแข่งขันครั้งที่แล้วแย่มากเลยนะ ถ้าครั้งนี้พวกเราตกไปอยู่อันดับสุดท้ายอีก ฉันจะกล้าบอกคนอื่นว่าฉันเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงได้ไง]
[หมดหนทางแล้ว ในเมื่อฟางชิวออกมาจากห้องสอบแล้ว ต่อให้อยากจะกลับเข้าไปก็กลับเข้าไปไม่ได้อยู่ดี]
[ถูกต้อง ฉันหวังว่านักศึกษาคนอื่น ๆ จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยคะแนนที่ฟางชิวเสียไป]
…
ฟางชิวที่ควรจะได้รับเสียงเชียร์จากเพื่อนร่วมสถาบัน แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้รับมันจากใครเลย
เพราะในสายตาของทุกคน ความเร็วในการทำข้อสอบของชายหนุ่มก็เหลือเชื่อเกินไป จึงไม่แปลกนักหากพวกเขาจะคิดว่าคะแนนสอบของฟางชิวจะออกมาไม่ดีเท่าไร
หากเรื่องราวมันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะกลับตาลปัตรอย่างนี้แหละ
ไม่นาน ข่าวลือก็ลอยไปถึงหูของประธานสมาคมนักศึกษาอย่างหลี่ชิงสือ
“ฮึ่ม น่าขายหน้าจริง ๆ!” เมื่อหลี่ชิงสือได้ยินข่าว เขาก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาและสาบานกับตัวเองในใจว่า ‘ถ้าแกทำคะแนนได้ไม่ดีละก็ ฉันจะอัดแกให้เละเลย!’
ทีแรกเขาวางแผนจะวางยาฟางชิว เพื่อให้อีกฝ่ายตกรอบจนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งมหาวิทยาลัย แต่เมื่อคิดได้ว่าวิธีการนี้มันชั่วร้ายและน่าอายเกินกว่าที่จิตสำนึกของเขาจะรับไหวเช่นกัน หลี่ชิงสือจึงล้มเลิกแผนการดังกล่าวไป
พอมาตอนนี้แล้ว รู้อย่างนี้เขาน่าจะปล่อยให้ฟางชิวกินยาถ่ายไปเสียให้จบ ๆ มหาวิทยาลัยของพวกเราจะได้ไม่เสียหน้าแบบนี้!
อีกด้านหนึ่ง การสอบยังคงดำเนินต่อไป
สิบห้านาทีหลังจากที่ฟางชิวเดินออกจากห้องสอบ ณ ห้องสอบหมายเลขสอง หานอวี่เซวียนจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจิงเป่ย ซึ่งเป็นแพทย์ฝึกหัดของเว่ยฉี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการจัดกระดูกก็เดินออกไปส่งกระดาษคำตอบท่ามกลางสายตาของทุกคน
นักศึกษาในห้องสอบเดียวกันต่างรู้สึกทึ่งและชื่นชมมาก
หานอวี่เซวียนส่งกระดาษคำตอบภายในเวลาเจ็ดสิบห้านาที ในมุมมองของนักศึกษาของห้องสอบหมายเลขสองแล้ว นี่มันช่างน่าทึ่งจริง ๆ
หานอวี่เซวียนเดินไปส่งกระดาษคำตอบที่โพเดียมหน้าห้อง ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มราวกับผู้ชนะ ก่อนจะเดินออกจากห้องสอบไป
หานอวี่เซวียนเดินมาถึงตู้วางกระเป๋านักศึกษาที่อยู่ตรงมุมทางเดินด้านนอกห้องสอบ ขณะที่เขากำลังจะหยิบกระเป๋าและออกไป จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เขาจึงหันกลับไปมองอาจารย์ที่ยืนดูกระเป๋าอยู่ ก่อนจะถามอย่างมั่นใจว่า “อาจารย์ครับ ผมเป็นคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบใช่ไหม?”
อาจารย์คนนั้นส่ายหน้า พลางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่”
ไม่ใช่?!
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหานอวี่เซวียนก็คล้ำหมองลงทันที
“แล้วใครเป็นคนแรกเหรอครับ” หานอวี่เซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฟางชิวจากมหาวิทยาลัยของฉัน” อาจารย์ตอบเสียงเบา
“ฟางชิว?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ หานอวี่เซวียนก็ตกตะลึง
เป็นเขาจริงหรือ?
หานอวี่เซวียนคาดไม่ถึงว่าฟางชิวจะส่งกระดาษคำตอบเร็วกว่าเขา เพราะโจทย์มันยากมาก แต่สำหรับเขา ความยากระดับนี้ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แล้วยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของเขาก็คือเว่ยฉี ซึ่งเป็นหนึ่งในแพทย์ระดับปรมาจารย์ที่มีเพียงห้าสิบคนในประเทศเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการเขียนตามคำบอกหรือการรับมือกับคำถามทดสอบนอกกรอบต่าง ๆ เขาก็สามารถตอบได้อย่างคล่องแคล่ว
เป็นเพราะเหตุนี้เอง ทำให้หานอวี่เซวียนคิดอยู่เสมอว่าเขาจะต้องเป็นคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบแน่ ๆ แต่นึกไม่ถึงว่า ฟางชิวจะชิงส่งกระดาษคำตอบตัดหน้าเขาไปก่อน
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อและยอมรับไม่ได้เล็กน้อย แต่ความจริงก็คือความจริง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน
หานอวี่เซวียนรู้สึกหดหู่ใจ และกำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ออกมาจากห้องสอบหมายเลขสาม
เมื่อมองดี ๆ แล้วก็จะพบว่าคนคนนี้คือเถาอี้หราน จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจว
หานอวี่เซวียนจำได้ว่า เถาอี้หรานเป็นลูกหลานของตระกูลเถา ซึ่งเป็นตระกูลแพทย์แผนจีน แล้วเขาก็เป็นสามารถทำคะแนนสอบได้เต็มจนขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฮุ่ยโจว เถาอี้หรานจึงได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแข่งขันความรู้ในครั้งนี้ด้วย
หานอวี่เซวียนมักมองว่าเถาอี้หรานเป็นคู่แข่งที่ต้องจับตามอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของคนธรรมดาก็เทียบไม่ได้กับเถาอี้หรานที่มีภูมิหลังมาจากตระกูลแพทย์แผนจีน
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าในการสอบรอบแรกนี้ เขาจะชนะคู่แข่งของตัวเองได้ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับม้ามืดอีกคนแทน!
“เป็นนายเองเหรอ” เมื่อเถาอี้หรานออกมาจากห้องสอบแล้วเจอกับหานอวี่เซวียน เขาจึงผงะไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “นายสมกับที่เป็นเด็กฝึกงานของอาจารย์เว่ยฉีจริง ๆ ที่สามารถส่งกระดาษคำตอบเร็วอย่างนี้ได้ ฉันชื่นชมนาย ยอมเป็นที่สองก็ได้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหานอวี่เซวียนก็กระตุกทันที จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “นายเป็นคนที่สามต่างหาก”
“คนที่สาม?” เถาอี้หรานรู้สึกตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำพูดของหานอวี่เซวียน
มีคนเดินออกจากห้องสอบก่อนหานอวี่เซวียนอย่างนั้นหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
“นายหมายความว่ามีคนออกจากห้องสอบก่อนหน้านายเหรอ?” เถาอี้หรานถาม
“อืม” หานอวี่เซวียนตอบกลับ
“ใคร?” เถาอี้หรานรีบถาม “ใครกันที่มีความสามารถเหนือกว่าพวกเราสองคน”
“ฟางชิว” หานอวี่เซวียนถอนหายใจแล้วตอบออกมา
“เป็นเขาเรอะ!” เถาอี้หรานตกตะลึง
เพราะว่าในมุมมองของเขา ฟางชิวไม่ได้ภูมิหลังที่โดดเด่นหรือได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าในตอนแรกเถาอี้หรานจะมองว่าฟางชิวเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่หลังจากได้เห็นการแสดงความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็มุ่งความสนใจไปที่ความสามารถในการร้องเพลงของฟางชิวแทน จนลืมไปชั่วขณะว่าชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นที่หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงเช่นกัน
พอลองคิดดูแล้ว เถาอี้หรานก็เข้าใจได้ทันที แต่เขาก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจ
ฟางชิวไม่มีภูมิหลังที่น่าจับตามอง ทว่ากลับออกมาจากห้องสอบก่อนหานอวี่เซวียนที่เป็นลูกศิษย์ของแพทย์ระดับปรมาจารย์กับเขาซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลการแพทย์แผนจีนได้
ตอนที่กำลังคุยกัน หน้าห้องสอบหมายเลขสามก็มีคนเดินออกมา
เมื่อมองดูดี ๆ ก็จะพบว่าคนคนนี้คือจ้าวเหยียนเฉิงที่ได้คะแนนเสมอกับฟางชิวในการทดสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
“เอ๊ะ?” พอเดินออกมาจากห้องสอบ จ้าวเหยียนเฉิงก็มองไปที่หานอวี่เซวียนกับเถาอี้หรานด้วยความประหลาดใจและพูดในใจว่า ‘ฉันคิดว่าฉันจะเป็นคนที่สอง แต่ฉันก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่สาม’
จ้าวเหยียนเฉิงอยู่ในห้องสอบเดียวกับเถาอี้หราน ตอนที่เถาอี้หรานออกไปส่งกระดาษคำตอบ เขาเพิ่งจะเขียนไปไม่กี่คำเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเสียใจในเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังตอบคำถามข้อสุดท้ายอย่างระมัดระวังก่อนที่จะออกมาจากห้องสอบ
เขาคิดว่าถ้าไม่สามารถเป็นที่หนึ่งได้ การเป็นที่สองก็ไม่เลวเช่นกัน แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นคนที่สามแทน
“ไม่ต้องถามหรอก” ขณะที่จ้าวเหยียนเฉิงเดินเข้าไปถาม เถาอี้หรานก็พูดขึ้นมาว่า “นายไม่ใช่คนที่สาม”
“หา?” จ้าวเหยียนเฉิงทำหน้าประหลาดใจ
ที่นี่มีกันแค่สามคน ถ้าเขาไม่ใช่คนที่สาม แล้วเขาอยู่ในลำดับที่เท่าไรล่ะ?
“คนที่สามคือใคร”
“ฉันเอง” เถาอี้หรานถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพูดว่า “นายควรถามว่าใครเป็นคนแรกมากกว่านะ”
“คนแรก?” จ้าวเหยียนเฉิงขมวดคิ้วและถามด้วยตะลึงว่า “มีคนเร็วกว่าพวกนายอีกเหรอ?”
ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
มีคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นด้วยหรือนี่?
จ้าวเหยียนเฉิงหันไปหาอาจารย์ที่อยู่ข้าง ๆ เขาทันทีและถามด้วยความเคารพว่า “อาจารย์ครับ ผมขอถามได้ไหมว่าคนแรกที่เดินออกจากห้องสอบคือใคร? แล้วเขาใช้เวลาเท่าไหร่ครับ?”
“คนแรกคือฟางชิว เขาน่าจะทำข้อสอบเร็วกว่าพวกเธอสิบห้านาที” อาจารย์ตอบตามความเป็นจริง
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่จ้าวเหยียนเฉิงที่ตกตะลึง ทว่าหานอวี่เซวียนกับเถาอี้หรานต่างก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
ฟางชิวทำเสร็จเร็วกว่าพวกเขาจริง ๆ หรือ?
“หมายความว่าฟางชิวใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง แล้วส่งกระดาษคำตอบเลยเหรอครับ?” หานอวี่เซวียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ผ่านไปแค่หนึ่งชั่วโมง เขาก็ออกมาจากห้องสอบแล้ว” อาจารย์พยักหน้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งสามก็ตกตะลึงอยู่กับที่และพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
จ้าวเหยียนเฉิงไม่เคยคิดว่าคนแรกจะเป็นฟางชิวที่มาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา
จ้าวเหยียนเฉิงคิดว่า จากตัวแทนทั้งหมดของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน เขาจะเป็นคนแรกที่ออกจากสอบห้อง เพราะเขาเชื่อว่า หากเขาไม่สามารถทำแบบทดสอบเร็วกว่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นได้ คนอื่น ๆ ก็ไม่น่าจะมีใครทำได้
แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นอย่างนี้
ฟางชิว!
จ้าวเหยียนเฉิงทวนชื่อนี้อยู่ในใจ รู้สึกว่าตนเองได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแล้ว
ทันใดนั้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ก็เดินออกจากห้องสอบในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบแล้ว สองสาวก็สบตากันด้วยประหลาดใจ จากนั้นต่างฝ่ายต่างยิ้มออกมา
เมื่อเห็นสองสาวเดินออกมา เถาอี้หรานก็ถามขึ้นมาทันทีว่า “พวกเธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนแรก”
“นายเหรอ?” เจียงเหมิงเจี๋ยตอบกลับ
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบไปเช่นนั้น เพราะเธอกับเถาอี้หราน และจ้านเหยียนเฉิงนั้นสอบห้องเดียวกัน เธอจึงรู้เวลาในการทำข้อสอบของพวกเขาดี
แต่เจียงเหมี่ยวอวี๋กลับมองไปที่หานอวี่เซวียน เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ส่งกระดาษคำตอบก่อนหน้าเธอในห้องสอบหมายเลขสอง
“ฮ่า ๆ เดาผิดแล้ว เป็นฟางชิวต่างหาก” เถาอี้หรานพูดไปยิ้มไป “ฉันนึกไม่ถึงว่าฟางชิวจะเป็นเพชรที่ผ่านการเจียระไนมาแล้ว ไม่คิดว่าตัวเองแพ้จริง ๆ”
“เป็นเขาหรอกเหรอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มหวานออกมาทันที
“เป็นเขานี่เอง” เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
แน่นอนว่าสองสาวต่างรู้สึกยินดีกับฟางชิว