บทที่ 180 ใช้งานเหมือนเป็นสมบัติ ทิ้งเหมือนเป็นโถปัสสาวะ?
บทที่ 180 ใช้งานเหมือนเป็นสมบัติ ทิ้งเหมือนเป็นโถปัสสาวะ?
“กำลังตรวจสอบอยู่เหรอครับ?” ฟางชิวแสยะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงยียวนขณะจ้องอีกฝ่าย “ตอนที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาล เหมือนผมจะได้ยินว่าผลการตรวจสอบออกมาแล้วนี่นา”
เฉินอินเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า“เธอคงจะได้ยินผิดแล้ว อาจารย์คนนั้นกำลังรายงานเรื่องอื่นให้ฉันฟัง”
“ทักษะการได้ยินของผมมันก็ดีพอ ๆ กับความเร็วนั่นแหละ” ฟางชิวจ้องมองเฉินอินเซิง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของอีกฝ่ายก็คล้ำลง
ชายหนุ่มได้ยินพวกเขาคุยกันหมดแล้ว!
เฉินอินเซิงจ้องตรงไปที่ฟางชิว และเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “ฟางชิว เธอเป็นเพียงนักศึกษาที่ไม่มีอำนาจหรือภูมิหลังใด ๆ ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องก็อย่ารับรู้เลยจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขาพบตัวการแล้ว!
“รองอธิการบดีเฉิน ถ้าเกิดผมอยากรู้ล่ะครับ?” ฟางชิวถามอีกครั้ง
“ถ้างั้นฉันก็หมดหนทางแล้ว” เฉินอินเซิงถอนหายใจเบา ๆ “มหาวิทยาลัยยังหาไม่เจอว่าใครเป็นตัวการ แต่จะไม่ปล่อยคนร้ายลอยนวลเด็ดขาด เธอไม่ต้องกังวล”
“…อืม เรามาเข้าเรื่องที่เธอจะเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการแข่งขันกีฬาระดับมณฑลดีกว่า”
ฟังจบ จู่ ๆ ฟางชิวก็หัวเราะออกมาเป็นบ้าเป็นหลัง
เป็นเรื่องปกติสินะ เมื่อนักศึกษารากหญ้าธรรมดาไม่มีอำนาจหรือภูมิหลังอะไรจะถูกวางยาพิษ แต่พอเจอตัวการแล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์รู้ แถมยังถูกคาดหวังให้ทำประโยชน์เพื่อมหาวิทยาลัยอีก เหอะ!
รอยยิ้มสดใสช่างขัดกับแววตาเศร้าหมองและแทนที่จะตอบคำถามของเฉินอินเซิง ฟางชิวกลับถามว่า “ไม่ใช่นักศึกษาใช่ไหม”
เฉินอินเซิงผงะไปครู่หนึ่ง
หมายถึงอะไรหรือ?
“ผมคิดว่า…” ฟางชิวมองตาของเฉินอินเซิง “ตัวการน่าจะเป็นผู้บบริหารของมหาวิทยาลัยพวกเรา หรือไม่ก็เป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยอื่น ไม่อย่างนั้นคุณคงจะบอกผมแล้ว”
สีหน้าของคนฟังถอดสีไปเมื่อได้ยิน เขาตระหนักได้ว่านักศึกษาคนนี้ยังคงหมกหมุ่นถึงคนที่วางยาพิษตัวเอง และยังแน่ใจอีกว่าเขาหาตัวการเจอแล้ว
เพราะอย่างนั้น หัวข้อสนทนาเรื่องการแข่งขันกีฬาจึงค่อย ๆ จางไป
เขาบอกให้ฟางชิวปล่อยมือจากเรื่องนี้แล้ว เพราะถ้าเกิดรู้ว่าตัวการจริง ๆ ว่าเป็นใคร …แล้วเขาจะทำอะไรได้?
หน้าที่ของนักศึกษาคือการเรียนหนังสือ ส่วนเรื่องอื่นควรปล่อยให้ผู้ใหญ่จัดการ!
“อย่างที่ฉันบอก พวกเรากำลังตรวจสอบอยู่” เฉินอินเซิงพูดเสียงแข็ง “กล้องวงจรปิดเสียน่ะ พวกเราเลยไม่สามารถหาตัวการได้ในเร็ว ๆ นี้”
ฟางชิวคิดว่าตัวเองจะหยิ่งผยองต่อหน้ารองอธิการบดีได้ หลังจากเป็นแชมป์มาอย่างนั้นสินะ
…ขอบอกเลยว่ายังช้าไปอีกสิบชาติ!
“ฮิ ๆ” ฟางชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โครงการฝึกงานเป็นความคิดของผม และผมก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันความรู้ เครดิตของทั้งสองเรื่องนี้ผมก็ได้มอบให้กับมหาวิทยาลัย เมื่อผมถูกวางยาก็ยังพามหาวิทยาลัยไต่ไปสู่อันดับหนึ่งได้ แต่สุดท้ายกลับไม่มีสิทธิ์รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำร้ายผม รองอธิการบดีครับ คุณคิดว่ามันยุติธรรมแล้วหรือ?”
“…รองอธิการบดี คุณพูดถูกแล้วที่ผมเป็นแค่น้องใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ไม่นาน สายตาของคุณ ผมมันไร้ค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงใช้งานผมเหมือนเป็นสมบัติ และทิ้งเหมือนเป็นโถปัสสาวะใช่ไหม?”
“ถ้าเป็นกรณีนี้…” ใบหน้าของฟางชิวกลายเป็นเคร่งขรึม และพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมต้องขออภัยสำหรับการแข่งขันกีฬาระดับมณฑล!” พูดจบ เขาก็หันหลังจากไปทันที
ในห้องประชุม
เฉินอินเซิงมองไปตามหลังชายหนุ่มพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น เพราะเขาตอบคำถามของนักศึกษาไม่ได้
ฟางชิวพูดถูก พวกเขาเจอตัวการที่วางยาพิษแล้ว และก็เป็นอย่างที่ฟางชิวคาดเดา ตัวการนั้นเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย!
สำหรับฟางชิว เขาต้องการความยุติธรรม แต่สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้ว ใครจะยอมถอดผู้บริหารออกจากตำแหน่งและทำลายชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเพื่อนักศึกษาคนเดียว?
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยวางยาพิษนักศึกษาตัวเอง? มันจะกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับชาติแน่นอน หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป
มหาวิทยาลัยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ถ้าทุกคนคิดว่าผู้บริหารห่วยแตก พวกเขาย่อมคิดว่ามหาวิทยาลัยก็คงจะห่วยแตกเช่นกัน
เมื่อถึงเวลานั้น มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงจะกลายเป็นตัวตลก จากนั้นก็จะส่งผลต่อจำนวนนักศึกษาที่สมัครเข้าเรียน
เมื่อผู้บริหารของมหาวิทยาลัยวางยาพิษนักศึกษาของตัวเองอย่างนี้ แล้วใครจะกล้าสมัครเข้าเรียนอีก?
ถ้าไม่มีใครสมัครเข้ามาเรียน มหาวิทยาลัยก็จะไม่มีนักศึกษาใหม่ ถ้าไม่มีนักศึกษาแล้วมหาวิทยาลัยนี้จะเป็นอย่างไร?
จากมุมมองของเฉินอินเซิง การวางยาพิษเป็นเรื่องผิด แต่มันก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แถมมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็ยังสามารถคว้าแชมป์ในแข่งขันความรู้ของน้องใหม่ได้
สำหรับตัวการที่วางยาพิษ แค่เขาให้เหตุผลง่าย ๆ ในการวางยาฟางชิว เขาก็พ้นความผิดแล้ว
แต่สำหรับฟางชิว เขาจะทำอะไรได้ แม้ว่าจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร?
ทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงไม่ยอมเข้าใจอีก?
ถึงฟางชิวจะมีผลการเรียนที่โดดเด่น แต่ที่นี่คือมหาวิทยาลัย ยังมีคนเก่งอีกมากมาย ไม่ใช่ฟางชิวคนเดียว และการแข่งขันความรู้ของน้องใหม่ก็จบลงแล้วด้วย ดังนั้นฟางชิวจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องมาประจบประแจงเขาอีก
“ส่วนการแข่งขัน…” หลังจากฟางชิวไปไกลแล้ว เฉินอินเซิงก็เลิกคิ้วและบ่นอย่างรำค่าญใจ “ช่างเถอะ การแข่งขันกีฬาระดับมณฑลนี้ ให้นักศึกษาที่เก่งด้านกีฬาไปแข่งก็สิ้นเรื่อง”
…
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อเดินออกจากอาคารสำนักงานผู้บริหารแล้ว ฟางชิวก็หน้าแดงจัดด้วยความโกรธ
สิ่งที่เขาต้องการคือคำตอบ!
แม้ว่าจะเป็นผู้บริหารที่วางยาเขา แต่ตราบใดที่ผู้บริหารคนนั้นให้คำอธิบายที่น่าพอใจได้ เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ
ทว่าเฉินอินเซิงผู้เป็นรองอธิการบดี ไม่เพียงแต่ไม่ให้คำอธิบายอะไรทั้งนั้น แต่ยังต้องการใช้งานเขาอีก!
น่าหงุดหงิดจริงโว้ย!
ถ้าผู้บริหารมหาวิทยาลัยเป็นแบบนี้ก็สมควรที่จะเฉือดเนื้อร้ายทิ้งซะ!
จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโดยไม่รอช้า เพื่อกดโทรหาเหอเกาหมิง
“[ฮัลโหล?]” เมื่อโทรติดแล้ว เสียงของเหอเกาหมิงก็ดังขึ้น
“ฉันถูกวางยาพิษ” ฟางชิวตอบกลับไปสั้น ๆ
“[ว่าไงนะ!?]” เหอเกาหมิงประหลาดใจ “นายเป็นเด็กบ้านรวย แต่ยังมีคนกล้าวางยาอีกเหรอ?”
“ช่วยสืบหน่อยว่าใครเป็นคนทำ” ฟางชิวไม่สนใจการหยอกล้อของเหอเกาหมิง แล้วเขาก็พูดเข้าประเด็นทันที
“[ไม่มีปัญหา ระดับฉันน่ะสบายปรื๋อ]” เหอเกาหมิงรับคำด้วยความมั่นใจแล้วถามว่า “[นายมีข้อมูลอะไรบ้าง]”
“ฉันมีข้อมูลไม่มากเท่าไหร่” ฟางชิวส่ายหัวไปมาและพูดเสริมบางอย่างที่อาจเป็นเบาะแส “ตอนนั้นฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัย มื้อค่ำในคืนแรกของการแข่งขันความรู้น้องใหม่ของฉันถูกวางยาพิษ นั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่ฉันมี”
“[แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว]” อีกฝ่ายเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “[ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ฉันจัดการเอง และฉันจะให้คำตอบกับนายโดยเร็วที่สุด]”
“ดี!” ชายหนุ่มพยักหน้าและวางกดสาย
ตัวการที่ว่าไม่น่าจะใช่นักศึกษา เวลานี้เขาคาดเดาได้คร่าว ๆ จากท่าทีของรองอธิการบดีแล้ว แต่ไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดใดจึงติดต่อเหอเกาหมิงผู้เป็นนักสืบมืออาชีพ
ด้วยการทำงานของเหอเกาหมิง คนที่วางยาเขาย่อมไม่สามารถหนีไปได้อย่างแน่นอน
ไม่มีใครพูดถึงราคา แต่ทั้งคู่ก็รู้ว่าราคาของมันไม่เบาแน่นอน
หลังจากวางสาย ฟางชิวก็เดินกลับไปที่หอพักด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาต้องรู้ความจริงให้ได้
เมื่อนึกถึงคำพูดของเฉินอินเซิง ฟางชิวก็พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “การรู้ว่าตัวการเป็นใครนั้น มันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ พวกเรามาคอยดูกัน!”
หลังจากชายหนุ่มเข้ามาในห้อง
ปัง! ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ฟางชิวจึงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วคนตรงหน้าเขาคือ ซุนฮ่าว โจวเสี่ยวเทียน และจูเปิ่นเจิ้ง
ทั้งสามคนถือพลุกระดาษหนึ่งอันในมือ และดึงมันตอนที่ฟางชิวเข้ามาในห้อง เป็นเหตุให้ริบบิ้นสีสันสดใสปลิวว่อนไปทั่ว
“ยินดีต้อนรับกลับมา!!” จูเปิ่นเจิ้งปรบมือขณะตะโกนออกมา
“ยินดีต้อนรับ ฮีโร่ห้อง 501 ของพวกเรา!” ซุนฮ่าวทำท่าทางคารวะ
“ขอแสดงความยินดีกับซูเปอร์แมนห้อง 501 ที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของมหาวิทยาลัย!” โจวเสี่ยวเทียนโยนพลุกระดาษทิ้ง แล้วคว้าริบบิ้นจากพื้นขึ้นมาโบกสะบัด
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งขรึมทันที
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับโยนเกียรติบัตรกับถ้วยรางวัลลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เขาหันกลับไปพูดกับสหายทั้งสามด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ วันนี้เพื่อนของพวกนายอารมณ์ไม่ดี มื้อเย็นวันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“นี่ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย” ซุนฮ่าวตาเบิกโพล่งกล่าวอย่างไม่เชื่อหู
“พวกเราสองคนไม่น่าได้ยินผิดกันนะ” โจวเสี่ยวเทียนหันไปหาจูเปิ่นเจิ้งด้วยความประหลาดใจ
“พวกนายได้ยินถูกต้องแล้ว” จูเปิ่นเจิ้งพยักหน้าอย่างจริงจัง
จากนั้นทั้งสามคนก็กระโดดโห่ร้องออกมาอย่างดีใจ แล้วลากฟางชิวออกจากมหาวิทยาลัยไป
“วันนี้กินอะไรดี” โจวเสี่ยวเทียนเอ่ยถาม ระหว่างที่น้ำลายไหลออกมาเป็นทาง
“ดูเหมือนว่านายจะมีเมนูในใจแล้วนะ” ซุนฮ่าวหัวเราะออกมาเบา ๆ
“อยากกินเทปันยากิ*[1]” จูเปิ่นเจิ้งพูดออกมาตรง ๆ
“ไม่เอา ไม่เอาเทปันยากิ” โจวเสี่ยวเทียนส่ายหัวอย่างงอแง “ฉันไม่ชินกับการกินเทปันยากิ แม้ว่ามันจะอร่อยก็เถอะ แต่มีคนยืนจ้องฉันกินขนาดนั้นใครจะกินลง ที่สำคัญเลยนะ มันกินไม่อิ่มเลย การที่ท้องเราไม่อิ่ม เราจะเป็นทุกข์กระวนกระวายใจและก่อให้เกิดความเครียด …ไม่คิดงั้นรึไง”
“อืม ก็จริง” จูเปิ่นเจิ้งเห็นด้วย “แล้วนายอยากกินอะไร”
“ฉันคิดเอาไว้แล้วล่ะ” โจวเสี่ยวเทียนหัวเราะออกมา แล้วมองไปยังเพื่อน ๆ และขยับเข้าไปใกล้ฟางชิว “เจ้าห้า ไปกินอาหารทะเลกันดีไหม?”
“ได้สิ ปลานิลสักตัว” ฟางชิวตอบรับ
“ฮื่อ …นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันหมายถึงงงงง” โจวเสี่ยวเทียนรีบอธิบาย “ฉันกำลังพูดถึงแมงดาทะเล กุ้งล็อบสเตอร์ หอยเป๋าฮื้อ และหอยเชลล์ต่างหาก…” โจวเสี่ยวเทียนเริ่มน้ำลายไหลทันทีที่สาธยายและรีบปาดน้ำลายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น” ชายหนุ่มกล่าวปฏิเสธ
“เจ้าห้า ทำไมนายใจร้ายแบบนี้ พวกเราอุตส่าห์พานายออกมา นายก็ควรจะดูแลเรื่องปากท้องของพวกเราไม่ใช่เหรอ” โจวเสี่ยวเทียนยังคงโน้มน้าวต่อไป
“ฉันรู้จักร้านอาหารทะเลร้านหนึ่ง ที่นั่นมีทุกอย่างและราคาก็ยุติธรรมด้วย มื้อหนึ่งไม่น่าเกินสามร้อยหยวน” จู่ ๆ ซุนฮ่าวก็นึกขึ้นได้ เขาจึงพูดแนะนำออกมา
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ฟางชิวพยักหน้า
จากนั้นซุนฮ่าวก็พาพวกเขาไปที่ร้านอาหาร
ระหว่างมื้ออาหาร
ชายทั้งสี่คนผู้หิวกระหายต่อสู้แย่งชิงอาหารกันเอง ฟางชิวที่เป็นเจ้าภาพของคืนนี้ถูกห้ามไม่ให้ใช้ความเร็วผิดมนุษย์มนา แต่ในท้ายที่สุดแล้วทั้งสามก็คีบอาหารได้ไม่เยอะเท่าฟางชิวอยู่ดี
พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมฟางชิวถึงไม่มีความสุขหลังจากที่คว้าตำแหน่งแชมป์มาครองได้ แต่ก็ไม่มีใครถามออกไป
หลังมื้ออาหาร
รูมเมตทั้งสามคนก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และตบท้องของตนเองเบา ๆ
“เจ้าห้าคราวหลังถ้ารู้สึกแย่ ก็ขอแค่บอก เข้าใจมะ?” โจวเสี่ยวเทียนมองไปที่ฟางชิวอย่างจริงจัง “ฉันจะได้เตรียมตัวล้างท้องรอ ก๊ากกกกกก”
ฟางชิว “…”
นี่นายอยากให้ฉันอารมณ์ไม่ดีอีกใช่ไหม!
หลังจากดื่มกินและพักผ่อนเพียงพอแล้ว ชายทั้งสี่คนก็กลับห้องโดยโอบหลังกันและกันไป
เป็นเวลาสองวันแล้วที่เหอเกาหมิงไม่ได้โทรหาฟางชิว
วันที่สามของบ่ายวันพุธ ในที่สุดฟางชิวก็ได้รับโทรศัพท์จากเหอเกาหมิง…
หลังจากต่อสายติดแล้ว ประโยคแรกของเหอเกาหมิงก็คือ “[ฉันรู้ตัวการแล้ว]”
[2] เทปันยากิ คือ เมนูที่ใช้กระทะเหล็กแบนในการทำอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นการผัดเนื้อสัตว์ ผัก หรือเส้นบนกระทะร้อน ๆ เช่น สเต็ก ปลา โอโคโนมิยากิ ยากิโซบะ