คุรุการแพทย์ – บทที่ 182 อยากได้หน้าไหม

คุรุการแพทย์

บทที่ 182 อยากได้หน้าไหม?

บทที่ 182 อยากได้หน้าไหม?

โทรแจ้งตำรวจ?

ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องยาพิษอีกครั้ง

ยังไม่จบอีกหรืออย่างไร!

เฉินอินเซิงพลันหงุดหงิดขึ้นมา

“ฉันบอกแล้วไงว่าหาไม่พบ หาแล้วก็ยังไม่พบ! ไม่ต้องไปแจ้งตำรวจ!”

กล่าวแค่นั้นเขาก็วางสายไป

หลังจากอีกฝ่ายวางสายไป ชายหนุ่มก็ดูที่หน้าจอโทรศัพท์ด้วยมุมปากยกยิ้ม

รออีกวันแล้วกัน…

หากจางซินหมิงไม่ถูกลงโทษ พรุ่งนี้เขาจะทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยตะลึง!

เฉินอินเซิงที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ก็ยกหลักฐานที่อยู่ในมือขึ้นมาดู ยิ่งดูมากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น

เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์โทรศัพท์แล้วโทรออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เขาก็เอ่ยว่า “บอกจางซินหมิงให้มาหาฉัน!”

รองอธิการบดีเรียกพบเขาเป็นการส่วนตัว จางซินหมิงไหนเลยจะกล้าลังเล

เขามาที่อาคารสำนักงาน ฝ่ายบริหารพร้อมความสงสัยเต็มอกขณะเดินเข้าไปยังห้องทำงานของเฉินอินเซิง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

จางซินหมิงออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

ทั้งยังขาแข้งอ่อนแรงเกือบตกบันได

แผ่นหลังที่เดินไปนั้นดูลุกลี้ลุกลน

เวลาผ่านไปไม่นานนัก

ทางมหาวิทยาลัยก็ออกประกาศ

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้บริหารต่างเห็นพ้องกับการยื่นคำร้องของรองอธิการบดีจางซินหมิงแห่งวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน เพื่อพักงานของเขาเป็นเวลาหกเดือนเนื่องจากอาการป่วย

ทันทีที่ประกาศที่อธิบายไม่ได้ ทั้งยังปรากฏขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากนักศึกษามากนัก

ในท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเรื่องของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่ใช่นักศึกษาอย่างพวกเขา

แต่ฟางชิวที่เห็นประกาศนี้กลับรู้สึกผิดหวัง…

“นี่เรียกว่าจัดการงั้นหรือ?”

เหอะ!

ชายหนุ่มทอดถอนใจ

ไม่ว่าจะเป็นการวางยาพิษหรือการรับสินบนก็กลายเป็นอาชญากรไปแล้ว อย่างต่ำก็ต้องติดคุกไม่น้อยกว่าสิบปี

แต่นี่แค่พักงาน?

นั่นคือการลงโทษ?

พักงานหกเดือนบ้าอะไรกัน!

รอ!

เขาจะรออีกวัน!

อีกแค่วันเดียว …วันเดียวเท่านั้น

หลังจากผ่านไปอีกวัน ทางมหาวิทยาลัยจะปล่อยเรื่องนี้ไปไหม และถ้าอยากจะจบจริง ๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา!

เมื่อเทียบความสงบของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงแล้วนั้น แวดวงศิลปะการต่อสู้นั้นคึกคึกกว่ามาก

เวลาเจ็ดนาฬิกา ผู้คนเกือบสองเท่ามารวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสอี้ในเขตชานเมือง เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุด

จากครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับชายสวมหน้ากากลึกลับ

เครื่องมือวัดและทดสอบแรงที่ประตูกำลังได้รับความสนใจ

ฝูงชนอยู่รอบเครื่องวัดและทดสอบแรงนั้น

“ฉันขอบอกพวกนายเลยว่าฉันเห็นชายนิรนามลึกลับคนนั้นระหว่างการแข่งขันครั้งล่าสุดจริง ๆ”

ภายในฝูงชน ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าอย่างฉะฉานว่า “ตอนนั้น ฉันกำลังจะขึ้นไปทดสอบแรง จู่ ๆ ชายนั้นก็ออกมาชกอุปกรณ์วัดแรงนี้ ลองเดาดูสิว่าแรงแค่ไหน”

“แค่ไหน?”

“ได้ยินมาว่ามากกว่า 1,500 กก.”

“ไม่สิ แม้ชายนิรนามจะทรงพลังไม่น้อย แต่เขาจะมีแรงมากกว่า 1,500 กิโลกรัมได้อย่างไร?”

“นั่นสิ แม้ว่าชายนิรนามจะเอ่ยเพียงคำเดียวแล้วทำให้คนทะลุข้ามผ่านไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้ก็จริง แต่เขาจะมีความแรงมากกว่า 1,500 กิโลกรัมได้อย่างไร?”

“แล้วเท่าไหร่เหรอ?”

ฝูงชนเอ่ยถาม

ชายหนุ่มที่กลายเป็นจุดสนใจพลันหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนเอ่ย “5,000! 5,000 กิโลกรัม! ตอนนั้นทำเอาฉันกลัวจนแทบบ้า”

“อะไรนะ?!”

“5000 กิโลกรัม?”

“บ้าไปแล้ว ชายนิรนามแข็งแกร่งมาก!”

“ด้วยพลังระดับนี้ต้องอยู่ในผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามใช่ไหม?”

ชายคนนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “จะเป็นนักสู้ระดับสามได้อย่างไร ฉันคิดว่าชายนิรนามนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้า มิฉะนั้นเขาจะชี้ให้ชายคนนั้นเห็นแนวทางในการทะลุทะลวงเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้อย่างง่าย ๆ แบบนั้นเหรอ?”

“ว้าว!”

“ระดับห้า พระเจ้า! ในชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไปถึงระดับเดียวกับชายนิรนามได้ไหมนะ?”

“แบบนี้คือสุดยอดปรมาจารย์แล้ว”

“นั่นน่ะสิ!”

ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมได้โดยสิ้นเชิง

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทุกคนเข้าไปข้างใน มิฉะนั้นจะไม่มีที่นั่งใน แล้วจะมองไม่เห็นชายนิรนาม” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยออกมา

แต่ทันทีที่ฝูงชนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อวัดกำลังแล้วเข้าไปในคฤหาสน์ทันที

คนกลุ่มใหญ่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในคฤหาสน์

เหลือเพียงสองคนที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์

นั่นก็คือ ทายาทเศรษฐีสองคนนั้น!

หนึ่งในสองถือกระเป๋าไว้ในมือ ขณะมองซ้ายแลขวาราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง

หนุ่มผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นคุยโวไว้ดีเสียจริง

ครั้งล่าสุดที่ชายนิรนามทดสอบแรงนั้นไม่ถึงหนึ่งพันกิโลกรัม แต่กลับพุ่งไปถึงห้าพันกิโลกรัม

แต่มันค่อนข้างจะเป็นการเกทับอยู่ทีเดียว

ภายในคฤหาสน์ พื้นที่กว้างขวางถูกยึดไว้จนเกือบเต็ม มันไม่ได้ดูแออัด และยังดูคึกคักไม่น้อย

เมื่อใกล้ถึงเวลาอันสมควร…

ผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกลมรอบ ๆ สังเวียนก็ส่งเสียงเริ่มพูดคุยกัน

“ชายนิรนามคนนั้นมาไหม?”

“แม้ว่าฉันจะเชื่อในตัวผู้อาวุโสอี้ แต่ครั้งที่แล้ว ชายนิรนามไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับเรื่องนี้ หากเขาไม่มาคงน่าเสียดายไม่น้อย”

“ใช่ ฉันหวังว่าชายนิรนามจะมาช่วยชี้แนะเราทุกคน”

“ฉันยอมไม่ทำโอทีแล้วรีบมาที่นี่ เขาต้องมาสิ”

“ส่วนฉันก็เลิกติวคณิตให้ลูก… อย่าว่าพ่อนะลูก… ฉันว่าชายนิรนามต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน!”

มุมหนึ่งของคฤหาสน์

พลับพลาที่ตัดเส้นทางไปสู่ด้านในของคฤหาสน์เต็มไปด้วยผู้คน

ครั้นเหลือบตามองหน้าพลับพลามีป้ายเขียนไว้ว่าจุดลงทะเบียน

“หลีกทาง หลีกทาง…”

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากฝูงชน

ไม่นานนัก…

ชายคนหนึ่งก็เบียดเสียดออกมาจากฝูงชนอย่างยากลำบาก แต่บนใบหน้ากลับแต้มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น

ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากเหอเกาหมิง!

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ฉันต้องเสียเงินหนึ่งหมื่นสองพันเหรียญเพื่อให้ได้ที่นั่งที่ดี ได้มาจากฟางชิวหนึ่งหมื่น แต่ก็ยังขาดไปสองพันหยวน ให้ตายสิ!”

เหอเกาหมิงคร่ำครวญพลางคิดว่าทำไมไม่คิดเงินฟางชิวให้มากกว่านี้กันนะ

“หนึ่งหมื่นสำหรับค่าธรรมเนียมแรกเข้า และเพิ่มอีกสองพันสำหรับอันดับที่ห้า ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปท้าทายกับอันดับที่ห้าได้ สองพันหยวนที่จ่ายไปนั่นย่อมคุ้มค่า”

“แต่หากไม่ขอท้าหรือชายนิรนามไม่ปรากฏตัว ทางเราจะคืนเงินทั้งหมดให้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้

เหอเกาหมิงก็กระแอมเบา ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่นั่งว่างรอบสังเวียน

เขาไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่หวังว่าชายลึกลับจะปรากฎตัวแล้วชี้แนะเพื่อที่เขาจะสามารถทะลวงขั้นไปได้มากกว่า

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่ช่วยฟางชิวครั้งก่อนก็มาเช่นกัน

ทันทีที่มาถึง เขาก็เร่งรุดไปยังจุดที่เคยนั่งในครั้งก่อน พร้อมความคาดหวังว่าชายลึกลับคนนั้นจะมานั่งข้าง ๆ อีกครา…

น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงทะเบียนเพราะมีคนสมัครจำนวนไม่น้อย แต่หากชายลึกลับกลับมานั่งข้าง ๆ เขาอีกครั้ง เขาจะแสดงความนอบน้อมพร้อมขอคำแนะนำให้ได้เลยคอยดู!

เวลาคล้อยผ่านไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่ม

ฟางชิวปรากฏตัวที่ทางเข้าคฤหาสน์ในชุดกีฬาแบบเดียวกับครั้งที่แล้ว เขาสวมฮู้ดพอดีตัว และหน้ากากที่แทบจะปิดบังทั้งใบหน้า

อันที่จริง… เขาไม่ได้สนใจการแข่งขันครั้งนี้มากนัก

เหตุผลที่กลับมาเพียงเพราะเขากลัวว่าเงินของเหอเกาหมิงจะถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ต่างหาก!

เมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์

ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นทายาทเศรษฐีสองคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู

ฮึ่ม!

ไร้ซึ่งคำพูดใด เขาเพียงคำรามในลำคอ ก่อนจะเดินตรงไปที่เครื่องวัดและทดสอบแรง แล้วต่อยไปสุดแรง

สองพันกิโลกรัม!

หลังจากต่อยเสร็จ ประตูของคฤหาสน์ก็เปิดกว้าง เขาจึงสาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน

ในตอนนั้นเอง ทายาทเศรษฐีสองคนที่ละล่ำละลักจะเอ่ยคำก็รีบก้าวออกมาด้านหน้า

“ผู้อาวุโส เดี๋ยวก่อนครับ!”

ชายที่ถือกระเป๋าไว้ในมือมองไปยังฟางชิวด้วยใบหน้าจริงใจ ก่อนจะโค้งคำนับขอโทษ “ขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่ครั้งที่แล้วพวกเราทำให้คุณต้องเข้าสู่สังเวียนอย่างกะทันหัน โชคดีที่คุณมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมจึงไม่เสียหน้า”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายคนนั้นก็ยกกระเป๋าในมือขึ้น “เงินห้าแสนหยวนนี้เตรียมไว้สำหรับผู้อาวุโสเป็นพิเศษ หวังว่าคุณจะยอมรับคำขอโทษของเรา!” ว่าแล้วชายทั้งสองก็ก้มคำนับอีกครั้ง

ฟางชิวหยุดเท้าลง ก่อนจะมองไปยังทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยคำ “ทำงานให้หนักขึ้นสักหน่อย การที่เป็นคนจนใช้งานเขียน คนรวยใช้ศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรใช้ชีวิตที่มีสิทธิพิเศษมากเกินไป มิฉะนั้นจะต้องหยุดอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งยากที่จะพัฒนาได้!”

หลังกล่าวจบเขาก็เดินเข้าประตูไป

เมื่อทั้งสองได้ยินคำสอนของฟางชิวที่หน้าประตู ทายาทเศรษฐีทั้งสองก็หันมองหน้ากันอย่างมีความสุข

ชายนิรนามสั่งสอนพวกเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคง่าย ๆ แต่นี่คือการชี้แนะ!

ทั้งยังหมายความว่าพวกเขาได้รับการอภัยด้วย!

“ขอบคุณครับ”

ชายทั้งสองตะโกนไล่หลังฟางชิวไป

“ผู้อาวุโส แล้วเงินนี่ล่ะ?”

ชายที่ถือกระเป๋ารีบเอ่ยถาม

“บริจาคให้กับสถานสงเคราะห์ซะ”

เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ชายทั้งสองก็ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคำนับลงต่ำอีกครั้งด้วยความนับถือหมดหัวใจ

ชายหนุ่มเข้าไปในคฤหาสน์และตรงไปที่สวนน้ำ

วินาทีที่เขาปรากฏตัวด้วยเสื้อผ้าชุดนี้ จึงทำให้ฝูงชนทั่วบริเวณพลันแตกตื่นฮือฮา เกิดเสียงคุยกันดังเอ็ดตะโร

“ชายนิรนามอยู่นั่นไง!”

ใครคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังเจื้อยจ้าว

ทุกคน ณ ที่นั้นหันพรึ่บและจ้องตรงไปยังฟางชิวอย่างพร้อมเพรียงกัน

กระนั้นฟางชิวก็หาได้สนใจ เขาเดินต่อไปยังที่นั่งที่เคยนั่งในการแข่งขันครั้งที่แล้ว

อีกด้าน

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่รอมานานพลันตื่นเต้น

ผ่านไปสักพัก

“ทำไมยังไม่เริ่มอีก?”

ฟางชิวมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนเอ่ยปากถาม “มองผมทำไมครับ?”

“ฉันกำลังรอนายอยู่น่ะเซ่ เจ้าบ้า!”

ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนพูดตะกุกตะกัก “ตัวละครหลักในวันนี้คือนาย จะเริ่มได้ยังไงถ้านายไม่มาน่ะ หืม?”

“…รอผมงั้นเหรอ?”

ฟางชิวพึมพำเสียงเบา

อีกด้าน

เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ฝูงชนรอบข้างก็พากันพูดไม่ออก

พูดอะไรออกมาน่ะ?

ถ้าฉันไม่รอแกแล้วจะให้รอใคร!

ผู้อาวุโสอี้เป็นคนแรกที่ได้ทราบว่าชายนิรนามปรากฏตัวขึ้น เขาจึงรีบมาหาทันที

“ขอบคุณที่มานะครับ หวังว่าคุณจะไม่ลังเลที่จะให้คำแนะนำ”

เมื่อเห็นฟางชิว ผู้อาวุโสอี้ก็โค้งคารวะพร้อมเอ่ยคำ

ฟางชิวยืนขึ้นอย่าสง่างามและโค้งคำนับตอบ

“ผู้อาวุโส”

ผู้อาวุโสอี้มองไปยังฟางชิวและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณสามารถถอดหน้ากากออกเพื่อให้ทุกคนได้เห็นโฉมหน้าได้หรือไม่ครับ?”

“ไม่จำเป็น” ฟางชิวส่ายหน้าไปตอบกลับไม่ใส่ใจ “ผมหล่อเกินไป กลัวว่าพลังหล่อเหลาจะกระแทกใจใครหลายคน”

ได้ยินดังนั้น ทั่วบริเวณก็เงียบงันลงทันที…

นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงพูดอย่างนั้นหรือ?

ฟังดูเหมือนสิ่งที่พวกวัยรุ่นจะพูดกันเสียมากกว่า

คิดได้เช่นนี้ ฝูงชนพลันตกตะลึง ด้วยการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา… ไม่ใช่ว่าชายนิรนามคนนี้ยังเด็กอยู่หรอกใช่ไหม?

วัยรุ่นคนหนึ่งจะมีกำลังภายในที่แข็งเกร่งเช่นนี้เลยหรือ?

เป็นไปได้หรือ?

“ผู้อาวุโสกังวลเกินไปแล้ว”

ผู้อาวุโสอี้หัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นก็หน้าตาดีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เห็นว่ามันทำให้คนตกใจกลัวเลยนะ?”

ฟางชิว “…”

ตัวเขาเองนั้นไร้ยางอายอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีคนไร้ยางอายมากไปกว่าตัวเอง…

ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงถอนหายใจ “แต่ก็ที่ไม่มีใครตกใจนี่เพราะคุณยังหล่อไม่พอน่ะสิ เข้าใจไหม??!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของผู้อาวุโสอี้พลันแข็งค้าง

หมดแล้วซึ่งคำพูดใด ตอนนี้เขาพูดไม่ออกจริง ๆ!

คนที่พูดแบบนั้นควรเป็นเจ้าของคฤหาสน์ แต่ฟางชิวในฐานะแขกกลับพูดอย่างนั้นได้อย่างไร?

พูดไม่ออกแต่ก็ไม่น่าตำหนิแม้แต่น้อย

คนที่ได้ยินการสนทนาของฟางชิวกับผู้อาวุโสอี้ต่างพากันกลอกตาโดยไม่รู้ตัว

คนไร้ยางอายสองคนนี้มาจากไหนกัน?

มียางอายบ้างมั้ย?

ลองคิดดูว่าคนหนึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกคนสวมหน้ากาก แต่กลับบอกว่าตัวเองหล่อ มียางอายกันบ้างไหม?

ผู้อาวุโสอี้เห็นแล้วว่าเขาได้เกลี้ยกล่อมถึงสองครั้งแต่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวันถอดหน้ากากออกแน่ ๆ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”

เขากวาดสายตามองพร้อมยิ้มให้ทุกคน และหันมาเอ่ยกับฟางชิว “วันนี้ทุกคนล้วนมาที่นี่เพื่อผู้อาวุโส เพราะฉะนั้น เชิญครับ!”

ชายหนุ่มคารวะหนึ่งครั้ง ก่อนเดินตรงไปยังสังเวียนโดยไม่ปฏิเสธ

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท