บทที่ 182 อยากได้หน้าไหม?
บทที่ 182 อยากได้หน้าไหม?
โทรแจ้งตำรวจ?
ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องยาพิษอีกครั้ง
ยังไม่จบอีกหรืออย่างไร!
เฉินอินเซิงพลันหงุดหงิดขึ้นมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าหาไม่พบ หาแล้วก็ยังไม่พบ! ไม่ต้องไปแจ้งตำรวจ!”
กล่าวแค่นั้นเขาก็วางสายไป
หลังจากอีกฝ่ายวางสายไป ชายหนุ่มก็ดูที่หน้าจอโทรศัพท์ด้วยมุมปากยกยิ้ม
รออีกวันแล้วกัน…
หากจางซินหมิงไม่ถูกลงโทษ พรุ่งนี้เขาจะทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยตะลึง!
เฉินอินเซิงที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ก็ยกหลักฐานที่อยู่ในมือขึ้นมาดู ยิ่งดูมากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์โทรศัพท์แล้วโทรออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เขาก็เอ่ยว่า “บอกจางซินหมิงให้มาหาฉัน!”
รองอธิการบดีเรียกพบเขาเป็นการส่วนตัว จางซินหมิงไหนเลยจะกล้าลังเล
เขามาที่อาคารสำนักงาน ฝ่ายบริหารพร้อมความสงสัยเต็มอกขณะเดินเข้าไปยังห้องทำงานของเฉินอินเซิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
จางซินหมิงออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ทั้งยังขาแข้งอ่อนแรงเกือบตกบันได
แผ่นหลังที่เดินไปนั้นดูลุกลี้ลุกลน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
ทางมหาวิทยาลัยก็ออกประกาศ
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้บริหารต่างเห็นพ้องกับการยื่นคำร้องของรองอธิการบดีจางซินหมิงแห่งวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน เพื่อพักงานของเขาเป็นเวลาหกเดือนเนื่องจากอาการป่วย
ทันทีที่ประกาศที่อธิบายไม่ได้ ทั้งยังปรากฏขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากนักศึกษามากนัก
ในท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเรื่องของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่ใช่นักศึกษาอย่างพวกเขา
แต่ฟางชิวที่เห็นประกาศนี้กลับรู้สึกผิดหวัง…
“นี่เรียกว่าจัดการงั้นหรือ?”
เหอะ!
ชายหนุ่มทอดถอนใจ
ไม่ว่าจะเป็นการวางยาพิษหรือการรับสินบนก็กลายเป็นอาชญากรไปแล้ว อย่างต่ำก็ต้องติดคุกไม่น้อยกว่าสิบปี
แต่นี่แค่พักงาน?
นั่นคือการลงโทษ?
พักงานหกเดือนบ้าอะไรกัน!
รอ!
เขาจะรออีกวัน!
อีกแค่วันเดียว …วันเดียวเท่านั้น
หลังจากผ่านไปอีกวัน ทางมหาวิทยาลัยจะปล่อยเรื่องนี้ไปไหม และถ้าอยากจะจบจริง ๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา!
เมื่อเทียบความสงบของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงแล้วนั้น แวดวงศิลปะการต่อสู้นั้นคึกคึกกว่ามาก
เวลาเจ็ดนาฬิกา ผู้คนเกือบสองเท่ามารวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสอี้ในเขตชานเมือง เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุด
จากครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับชายสวมหน้ากากลึกลับ
เครื่องมือวัดและทดสอบแรงที่ประตูกำลังได้รับความสนใจ
ฝูงชนอยู่รอบเครื่องวัดและทดสอบแรงนั้น
“ฉันขอบอกพวกนายเลยว่าฉันเห็นชายนิรนามลึกลับคนนั้นระหว่างการแข่งขันครั้งล่าสุดจริง ๆ”
ภายในฝูงชน ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าอย่างฉะฉานว่า “ตอนนั้น ฉันกำลังจะขึ้นไปทดสอบแรง จู่ ๆ ชายนั้นก็ออกมาชกอุปกรณ์วัดแรงนี้ ลองเดาดูสิว่าแรงแค่ไหน”
“แค่ไหน?”
“ได้ยินมาว่ามากกว่า 1,500 กก.”
“ไม่สิ แม้ชายนิรนามจะทรงพลังไม่น้อย แต่เขาจะมีแรงมากกว่า 1,500 กิโลกรัมได้อย่างไร?”
“นั่นสิ แม้ว่าชายนิรนามจะเอ่ยเพียงคำเดียวแล้วทำให้คนทะลุข้ามผ่านไปสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้ก็จริง แต่เขาจะมีความแรงมากกว่า 1,500 กิโลกรัมได้อย่างไร?”
“แล้วเท่าไหร่เหรอ?”
ฝูงชนเอ่ยถาม
ชายหนุ่มที่กลายเป็นจุดสนใจพลันหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนเอ่ย “5,000! 5,000 กิโลกรัม! ตอนนั้นทำเอาฉันกลัวจนแทบบ้า”
“อะไรนะ?!”
“5000 กิโลกรัม?”
“บ้าไปแล้ว ชายนิรนามแข็งแกร่งมาก!”
“ด้วยพลังระดับนี้ต้องอยู่ในผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามใช่ไหม?”
ชายคนนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “จะเป็นนักสู้ระดับสามได้อย่างไร ฉันคิดว่าชายนิรนามนั้นอย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้า มิฉะนั้นเขาจะชี้ให้ชายคนนั้นเห็นแนวทางในการทะลุทะลวงเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งได้อย่างง่าย ๆ แบบนั้นเหรอ?”
“ว้าว!”
“ระดับห้า พระเจ้า! ในชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไปถึงระดับเดียวกับชายนิรนามได้ไหมนะ?”
“แบบนี้คือสุดยอดปรมาจารย์แล้ว”
“นั่นน่ะสิ!”
ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมได้โดยสิ้นเชิง
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทุกคนเข้าไปข้างใน มิฉะนั้นจะไม่มีที่นั่งใน แล้วจะมองไม่เห็นชายนิรนาม” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยออกมา
แต่ทันทีที่ฝูงชนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อวัดกำลังแล้วเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
คนกลุ่มใหญ่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในคฤหาสน์
เหลือเพียงสองคนที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์
นั่นก็คือ ทายาทเศรษฐีสองคนนั้น!
หนึ่งในสองถือกระเป๋าไว้ในมือ ขณะมองซ้ายแลขวาราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง
หนุ่มผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นคุยโวไว้ดีเสียจริง
ครั้งล่าสุดที่ชายนิรนามทดสอบแรงนั้นไม่ถึงหนึ่งพันกิโลกรัม แต่กลับพุ่งไปถึงห้าพันกิโลกรัม
แต่มันค่อนข้างจะเป็นการเกทับอยู่ทีเดียว
ภายในคฤหาสน์ พื้นที่กว้างขวางถูกยึดไว้จนเกือบเต็ม มันไม่ได้ดูแออัด และยังดูคึกคักไม่น้อย
เมื่อใกล้ถึงเวลาอันสมควร…
ผู้คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกลมรอบ ๆ สังเวียนก็ส่งเสียงเริ่มพูดคุยกัน
“ชายนิรนามคนนั้นมาไหม?”
“แม้ว่าฉันจะเชื่อในตัวผู้อาวุโสอี้ แต่ครั้งที่แล้ว ชายนิรนามไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับเรื่องนี้ หากเขาไม่มาคงน่าเสียดายไม่น้อย”
“ใช่ ฉันหวังว่าชายนิรนามจะมาช่วยชี้แนะเราทุกคน”
“ฉันยอมไม่ทำโอทีแล้วรีบมาที่นี่ เขาต้องมาสิ”
“ส่วนฉันก็เลิกติวคณิตให้ลูก… อย่าว่าพ่อนะลูก… ฉันว่าชายนิรนามต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน!”
…
มุมหนึ่งของคฤหาสน์
พลับพลาที่ตัดเส้นทางไปสู่ด้านในของคฤหาสน์เต็มไปด้วยผู้คน
ครั้นเหลือบตามองหน้าพลับพลามีป้ายเขียนไว้ว่าจุดลงทะเบียน
“หลีกทาง หลีกทาง…”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากฝูงชน
ไม่นานนัก…
ชายคนหนึ่งก็เบียดเสียดออกมาจากฝูงชนอย่างยากลำบาก แต่บนใบหน้ากลับแต้มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากเหอเกาหมิง!
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ฉันต้องเสียเงินหนึ่งหมื่นสองพันเหรียญเพื่อให้ได้ที่นั่งที่ดี ได้มาจากฟางชิวหนึ่งหมื่น แต่ก็ยังขาดไปสองพันหยวน ให้ตายสิ!”
เหอเกาหมิงคร่ำครวญพลางคิดว่าทำไมไม่คิดเงินฟางชิวให้มากกว่านี้กันนะ
“หนึ่งหมื่นสำหรับค่าธรรมเนียมแรกเข้า และเพิ่มอีกสองพันสำหรับอันดับที่ห้า ซึ่งคุณสามารถขึ้นไปท้าทายกับอันดับที่ห้าได้ สองพันหยวนที่จ่ายไปนั่นย่อมคุ้มค่า”
“แต่หากไม่ขอท้าหรือชายนิรนามไม่ปรากฏตัว ทางเราจะคืนเงินทั้งหมดให้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้
เหอเกาหมิงก็กระแอมเบา ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่นั่งว่างรอบสังเวียน
เขาไม่ได้ต้องการเงินคืน แต่หวังว่าชายลึกลับจะปรากฎตัวแล้วชี้แนะเพื่อที่เขาจะสามารถทะลวงขั้นไปได้มากกว่า
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่ช่วยฟางชิวครั้งก่อนก็มาเช่นกัน
ทันทีที่มาถึง เขาก็เร่งรุดไปยังจุดที่เคยนั่งในครั้งก่อน พร้อมความคาดหวังว่าชายลึกลับคนนั้นจะมานั่งข้าง ๆ อีกครา…
น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงทะเบียนเพราะมีคนสมัครจำนวนไม่น้อย แต่หากชายลึกลับกลับมานั่งข้าง ๆ เขาอีกครั้ง เขาจะแสดงความนอบน้อมพร้อมขอคำแนะนำให้ได้เลยคอยดู!
เวลาคล้อยผ่านไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่ม
ฟางชิวปรากฏตัวที่ทางเข้าคฤหาสน์ในชุดกีฬาแบบเดียวกับครั้งที่แล้ว เขาสวมฮู้ดพอดีตัว และหน้ากากที่แทบจะปิดบังทั้งใบหน้า
อันที่จริง… เขาไม่ได้สนใจการแข่งขันครั้งนี้มากนัก
เหตุผลที่กลับมาเพียงเพราะเขากลัวว่าเงินของเหอเกาหมิงจะถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ต่างหาก!
เมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์
ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นทายาทเศรษฐีสองคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
ฮึ่ม!
ไร้ซึ่งคำพูดใด เขาเพียงคำรามในลำคอ ก่อนจะเดินตรงไปที่เครื่องวัดและทดสอบแรง แล้วต่อยไปสุดแรง
สองพันกิโลกรัม!
หลังจากต่อยเสร็จ ประตูของคฤหาสน์ก็เปิดกว้าง เขาจึงสาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน
ในตอนนั้นเอง ทายาทเศรษฐีสองคนที่ละล่ำละลักจะเอ่ยคำก็รีบก้าวออกมาด้านหน้า
“ผู้อาวุโส เดี๋ยวก่อนครับ!”
ชายที่ถือกระเป๋าไว้ในมือมองไปยังฟางชิวด้วยใบหน้าจริงใจ ก่อนจะโค้งคำนับขอโทษ “ขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่ครั้งที่แล้วพวกเราทำให้คุณต้องเข้าสู่สังเวียนอย่างกะทันหัน โชคดีที่คุณมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมจึงไม่เสียหน้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายคนนั้นก็ยกกระเป๋าในมือขึ้น “เงินห้าแสนหยวนนี้เตรียมไว้สำหรับผู้อาวุโสเป็นพิเศษ หวังว่าคุณจะยอมรับคำขอโทษของเรา!” ว่าแล้วชายทั้งสองก็ก้มคำนับอีกครั้ง
ฟางชิวหยุดเท้าลง ก่อนจะมองไปยังทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยคำ “ทำงานให้หนักขึ้นสักหน่อย การที่เป็นคนจนใช้งานเขียน คนรวยใช้ศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรใช้ชีวิตที่มีสิทธิพิเศษมากเกินไป มิฉะนั้นจะต้องหยุดอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งยากที่จะพัฒนาได้!”
หลังกล่าวจบเขาก็เดินเข้าประตูไป
เมื่อทั้งสองได้ยินคำสอนของฟางชิวที่หน้าประตู ทายาทเศรษฐีทั้งสองก็หันมองหน้ากันอย่างมีความสุข
ชายนิรนามสั่งสอนพวกเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคง่าย ๆ แต่นี่คือการชี้แนะ!
ทั้งยังหมายความว่าพวกเขาได้รับการอภัยด้วย!
“ขอบคุณครับ”
ชายทั้งสองตะโกนไล่หลังฟางชิวไป
“ผู้อาวุโส แล้วเงินนี่ล่ะ?”
ชายที่ถือกระเป๋ารีบเอ่ยถาม
“บริจาคให้กับสถานสงเคราะห์ซะ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ชายทั้งสองก็ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคำนับลงต่ำอีกครั้งด้วยความนับถือหมดหัวใจ
ชายหนุ่มเข้าไปในคฤหาสน์และตรงไปที่สวนน้ำ
วินาทีที่เขาปรากฏตัวด้วยเสื้อผ้าชุดนี้ จึงทำให้ฝูงชนทั่วบริเวณพลันแตกตื่นฮือฮา เกิดเสียงคุยกันดังเอ็ดตะโร
“ชายนิรนามอยู่นั่นไง!”
ใครคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังเจื้อยจ้าว
ทุกคน ณ ที่นั้นหันพรึ่บและจ้องตรงไปยังฟางชิวอย่างพร้อมเพรียงกัน
กระนั้นฟางชิวก็หาได้สนใจ เขาเดินต่อไปยังที่นั่งที่เคยนั่งในการแข่งขันครั้งที่แล้ว
อีกด้าน
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่รอมานานพลันตื่นเต้น
ผ่านไปสักพัก
“ทำไมยังไม่เริ่มอีก?”
ฟางชิวมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนเอ่ยปากถาม “มองผมทำไมครับ?”
“ฉันกำลังรอนายอยู่น่ะเซ่ เจ้าบ้า!”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนพูดตะกุกตะกัก “ตัวละครหลักในวันนี้คือนาย จะเริ่มได้ยังไงถ้านายไม่มาน่ะ หืม?”
“…รอผมงั้นเหรอ?”
ฟางชิวพึมพำเสียงเบา
อีกด้าน
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ฝูงชนรอบข้างก็พากันพูดไม่ออก
พูดอะไรออกมาน่ะ?
ถ้าฉันไม่รอแกแล้วจะให้รอใคร!
ผู้อาวุโสอี้เป็นคนแรกที่ได้ทราบว่าชายนิรนามปรากฏตัวขึ้น เขาจึงรีบมาหาทันที
“ขอบคุณที่มานะครับ หวังว่าคุณจะไม่ลังเลที่จะให้คำแนะนำ”
เมื่อเห็นฟางชิว ผู้อาวุโสอี้ก็โค้งคารวะพร้อมเอ่ยคำ
ฟางชิวยืนขึ้นอย่าสง่างามและโค้งคำนับตอบ
“ผู้อาวุโส”
ผู้อาวุโสอี้มองไปยังฟางชิวและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณสามารถถอดหน้ากากออกเพื่อให้ทุกคนได้เห็นโฉมหน้าได้หรือไม่ครับ?”
“ไม่จำเป็น” ฟางชิวส่ายหน้าไปตอบกลับไม่ใส่ใจ “ผมหล่อเกินไป กลัวว่าพลังหล่อเหลาจะกระแทกใจใครหลายคน”
ได้ยินดังนั้น ทั่วบริเวณก็เงียบงันลงทันที…
นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสระดับสูงพูดอย่างนั้นหรือ?
ฟังดูเหมือนสิ่งที่พวกวัยรุ่นจะพูดกันเสียมากกว่า
คิดได้เช่นนี้ ฝูงชนพลันตกตะลึง ด้วยการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา… ไม่ใช่ว่าชายนิรนามคนนี้ยังเด็กอยู่หรอกใช่ไหม?
วัยรุ่นคนหนึ่งจะมีกำลังภายในที่แข็งเกร่งเช่นนี้เลยหรือ?
เป็นไปได้หรือ?
“ผู้อาวุโสกังวลเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสอี้หัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นก็หน้าตาดีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เห็นว่ามันทำให้คนตกใจกลัวเลยนะ?”
ฟางชิว “…”
ตัวเขาเองนั้นไร้ยางอายอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีคนไร้ยางอายมากไปกว่าตัวเอง…
ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงถอนหายใจ “แต่ก็ที่ไม่มีใครตกใจนี่เพราะคุณยังหล่อไม่พอน่ะสิ เข้าใจไหม??!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของผู้อาวุโสอี้พลันแข็งค้าง
หมดแล้วซึ่งคำพูดใด ตอนนี้เขาพูดไม่ออกจริง ๆ!
คนที่พูดแบบนั้นควรเป็นเจ้าของคฤหาสน์ แต่ฟางชิวในฐานะแขกกลับพูดอย่างนั้นได้อย่างไร?
พูดไม่ออกแต่ก็ไม่น่าตำหนิแม้แต่น้อย
คนที่ได้ยินการสนทนาของฟางชิวกับผู้อาวุโสอี้ต่างพากันกลอกตาโดยไม่รู้ตัว
คนไร้ยางอายสองคนนี้มาจากไหนกัน?
มียางอายบ้างมั้ย?
ลองคิดดูว่าคนหนึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกคนสวมหน้ากาก แต่กลับบอกว่าตัวเองหล่อ มียางอายกันบ้างไหม?
ผู้อาวุโสอี้เห็นแล้วว่าเขาได้เกลี้ยกล่อมถึงสองครั้งแต่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวันถอดหน้ากากออกแน่ ๆ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
เขากวาดสายตามองพร้อมยิ้มให้ทุกคน และหันมาเอ่ยกับฟางชิว “วันนี้ทุกคนล้วนมาที่นี่เพื่อผู้อาวุโส เพราะฉะนั้น เชิญครับ!”
ชายหนุ่มคารวะหนึ่งครั้ง ก่อนเดินตรงไปยังสังเวียนโดยไม่ปฏิเสธ