บทที่ 208 ขวางเขาเอาไว้!
บทที่ 208 ขวางเขาเอาไว้!
“ฉันไม่ได้อยากพูดแบบนั้น” สวีเมี่ยวหลินมองไปที่ฟางชิวอย่างใจเย็น “สิ่งที่ฉันหมายถึงก็คือ ในอนาคตเธออาจจะมีชื่อเสียงก็ได้ ถึงตอนนั้นเวลาจะไปไหนมาไหนก็มีแต่คนไล่ตาม …และชีวิตจะไม่สงบสุขอีกต่อไป”
“ที่อาจารย์พูดมาก็มีเหตุผล” ความคิดหนึ่งพลันเข้ามาในหัวของฟางชิว จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่งั้น… ผมควรจะสวมหน้ากากดีไหม เพราะยังไงก็ตามภาพในวิดีโอออนไลน์ก็ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสดก็ตาม ทีนี้ผู้คนก็จะมองไม่ออกว่าผมหน้าตาเป็นยังไง”
“แล้วแต่เธอจะจัดการเลย” สวีเมี่ยวหลินหัวเราะเบา ๆ
…
ณ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง…
“ดู ดู ดู…”
ในห้องทำงานของรองอธิการบดี เสียงโทรศัพท์ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เฉินอินเซิงได้รับโทรศัพท์มากมายจากผู้นำด้านการแพทย์แผนจีนและผู้นำคนอื่น ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สายจากโทรศัพท์เหล่านี้ย่อมต้องขอให้เขาหาวิธีขวางฟางชิวเอาไว้แน่นอน
สายจากโทรศัพท์เหล่านี้ทำให้เฉินอินเซิงหงุดหงิดที่สุด และเขายังต้องการที่จะขวางฟางชิวด้วย แต่จะทำอย่างไรดี?
มันไม่เหมาะสมที่จะไล่ฟางชิวออกจากมหาวิทยาลัยในตอนนี้
แต่ถ้าไม่ไล่ออกไป ฟางชิวก็ยังคงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเขา และผู้นำในวงการแพทย์แผนจีนต้องมาหาเขา เพราะฟางชิวตกปากรับคำท้าไปแล้ว
แม้ว่าในมหาวิทยาลัย เฉินอินเซิงจะมีสิทธิ์เพียงพอที่จะจัดการกับฟางชิว แต่สถานที่นัดหมายดันอยู่ในปักกิ่ง!
สถานที่แห่งนั้นไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่นอกเหนือเขตอำนาจของเฉินอินเซิง แล้วทีนี้จะเข้าไปขวางไงกัน?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ฟางชิวขอลาล่วงหน้าแล้ว เพราะมีใบลาของเขาและได้รับการอนุมัติแล้วด้วย การที่นักศึกษาขอลามันก็เป็นหน้าที่ของอาจารย์ประจำชั้น เฉินอินเซิงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้!
“ไม่ได้การแล้ว!” เฉินอินเซิงลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน
“ต้องขวางฟางชิวเอาไว้ให้ได้!”
“คิดสิคิด คิดหาวิธีให้ได้”
“แต่จะทำยังไงดี”
หลังจากคิดอยู่สามวันสามคืน ทันใดนั้นเฉินอินเซิงก็พบว่าคำประกาศที่เขาประกาศออกไปก่อนหน้านี้ มันไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย…
ก่อนที่ฟางชิวจะถูกไล่ออก ฟางชิวยังคงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอยู่ และหากเจ้านั่นถูกกีดกัน มุมมองของโลกที่มีต่อมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยขาดความรับผิดชอบ
แม้ว่าจะมีการออกประกาศมาแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ฟางชิวไม่เข้าร่วมคำท้า ทุกปัญหาก็จะคลี่คลายได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเจ้านั่นเก่งไม่เท่าคนอื่น มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวและเขาจะเสียหน้าคนเดียว แต่ถ้าได้รับความพ่ายแพ้กลับมา นั่นจึงจะเป็นตัวมหาวิทยาลัยกับวงการแพทย์แผนจีนที่พลอยเสียหน้าไปด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องหาทางหยุดฟางชิวให้ได้!
“ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว… ถ้าอย่างนั้นมีแต่ต้องใช้กำลังเท่านั้น!”
ในขณะที่เขาหรี่ตาลง เฉินอินเซิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากบนโต๊ะต่อสายหาเหลียงหย่งเสียงคณบดีของคณะพลศึกษา
“รองอธิการบดีเฉิน?” เมื่อต่อสายโทรศัพท์ติดแล้ว เสียงของเหลียงหย่งเสียงก็ดังขึ้น
“นี่เกิดอะไรขึ้นกับคณะพลศึกษาของคุณ” เฉินอินเซิงรีบวิพากษ์วิจารณ์ก่อนเป็นอันดับแรก “มหาวิทยาลัยให้ทรัพยากรมากมายแก่คุณ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาระดับมณฑล แต่ยังได้แค่เหรียญทองแดงกลับมาเท่านั้นน่ะหรือ?”
“รองอธิการบดีเฉิน ฉันไม่อยากให้ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน” เหลียงหย่งเสียงยิ้มอย่างมีเลศนัย และพูดเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “ก็คุณไม่อนุญาตให้ฟางชิวมีส่วนร่วมในการแข่งขันเองนี่ และนักศึกษาที่มีความพิเศษด้านกีฬาของพวกเราก็ไม่มีอารมณ์จะแข่งแล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผู้เข้าแข่งขันของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่างแข็งแกร่งมากเช่นกัน ดีแค่ไหนแล้วที่ได้เหรียญทองแดงกลับมา”
“อะไรนะ? นี่คุณโทษฉันเหรอ?” เฉินอินเซิงตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“ฉันจะกล้าตำหนิคุณได้ยังไง ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ฉันสอนนักศึกษาได้ไม่ดี” เหลียงหย่งเสียงพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ช่างเถอะ” เฉินอินเซิงบอกปัด “ตอนนี้คุณรีบไปเตรียมกลุ่มนักศึกษาที่แข็งแกร่งให้ฉันเดี๋ยวนี้”
“หา~ เพื่ออะไรกัน” เหลียงหย่งเสียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
นักศึกษาที่แข็งแกร่ง?
เฉินอินเซิงต้องการจะทำอะไรกันแน่?
เฉินอินเซิงจะลงโทษพวกเขางั้นเหรอ? แต่มันก็ไม่เหมาะที่เฉินอินเซิงจะทำเช่นนั้น
ถ้าไม่ใช่การลงโทษ งั้นจะเป็นไปได้ไหมว่าเฉินอินเซิงต้องการอัดพวกเขา?
“คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่เตรียมคนให้พร้อมก็พอ ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของฉันด้วย” หลังจากนั้นเฉินอินเซิงก็วางสายโทรศัพท์ไป
…
วันจันทร์
เนื่องจากสวีเมี่ยวหลินไม่ได้จัดให้มีการเรียนรู้อีก ฟางชิวจึงใช้เวลาทั้งวันอ่านหนังสืออยู่ในหอพัก แม้ว่าสงครามจะใกล้เข้ามา แต่ชายหนุ่มไม่ได้ดูกังวลเลย หากแต่ดูสงบเหมือนปกติ
“เจ้าห้า ทำไมนายถึงดูไม่กังวลเลยล่ะ”
หลังเลิกเรียน
ซุนฮ่าว โจวเสี่ยวเทียน และจูเปิ่นเจิ้งที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังฟางชิวต่างพากันมองมาด้วยความประหลาดใจ
ในสายตาของพวกเขา ศึกแห่งศักดิ์ศรีในครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก ฟางชิวควรจะตื่นเต้นและกังวลเหมือนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยสิ
แต่ไหงกลับสงบผิดปกติ ทำให้พวกเขาทั้งสามคนแปลกใจมาก
“ไอ้หนุ่ม พวกเราเป็นเพื่อนกัน ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องซ่อนความกังวลใจก็ได้ เพราะถึงยังไงในเวลานี้ คนอื่นก็มองไม่เห็นอยู่ดี” โจวเสี่ยวเทียนกล่าว
“นั่นสิ นายอย่าแบกรับความกดดันคนเดียวเลย หรือว่าจะให้พวกเราไปวิ่งกับนายก็ได้ เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าการออกกำลังกายเป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีที่สุด” จูเปิ่นเจิ้งเอ่ยอย่างเป็นห่วงเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดที่ห่วงใยของรูมเมตทั้งสามคน ฟางชิวก็หันไปมอง “พวกนายมองยังไงถึงได้เห็นความกังวลใจกับความกดดันของฉันน่ะ?”
พวกเขาทั้งสามคนตกตะลึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“นี่มันเป็นวันก่อนการสู้รบครั้งใหญ่ นายจะไม่กังวลได้ยังไง” ซุนฮ่าวกล่าว
“มันแปลกจริง ๆ แต่ฉันไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลย” ชายหนุ่มสะบัดหน้าเบา ๆ แล้วก้มอ่านหนังสือต่อไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามก็รู้สึกตะลึงงัน
“ไม่กังวลเหรอ?”
“ไม่กังวลจริง ๆ เหรอ?”
“บ้าเอ๊ย แม้ว่าจะไม่กังวล แต่ดูสงบเกินไปไม่ใช่หรือไง?”
รูมเมตทั้งสามคนผลัดกันถามไม่หยุด
“ไม่งั้นพวกนายจะให้ฉันรู้สึกยังไงล่ะ?” ฟางชิวพูดหยอกล้อ “นี่ฉันต้องซื้อมีดไปด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
ได้ยินเช่นนั้น รูมเมตทั้งสามก็มองหน้ากันและพยักหน้าเงียบ ๆ พวกเขาแน่ใจแล้วว่าฟางชิวไม่ได้รู้สึกกังวลจริง ๆ
อย่างไรก็ตามหากคิดอย่างรอบคอบแล้ว ยกเว้นตอนเจียงเหมี่ยวอวี๋ได้รับบาดเจ็บที่เท้า พวกเขาก็ไม่เคยเห็นฟางชิวเป็นกังวลเลย
ดูเหมือนว่าจะมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ทำให้เจ้าห้ากังวลได้ แถมยังเป็นสาวสวยซะด้วย!
จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็มองไปที่ฟางชิวด้วยความชื่นชม
“เจ้าห้ามีสภาพจิตใจที่ดี ถ้าฉันมีสภาพจิตใจแบบนี้ในตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ ฉันเกรงว่าพวกนายสามคนจะไม่เจอฉันแล้ว” จูเปิ่นเจิ้งถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
“นายหมายความว่าไง? บอกฉันมาเลยตรง ๆ” ซุนฮ่าวหรี่ตาและพูดด้วยความขบขัน “พวกเราอุตส่าห์แสดงความเคารพต่อนาย เพราะนายอายุมากที่สุด แต่กล้าดียังไงมาดูถูกพวกเราแบบนี้ฮะ??”
“พี่ใหญ่ นี่เป็นความผิดของนาย คำพูดคำจาพวกนี้ทำร้ายจิตใจของเพื่อนมากเกินไป ถ้านายไม่ยอมแสดงความจริงใจให้เพื่อนเห็นบ้าง แล้วเพื่อน ๆ จะให้อภัยนายได้ยังไง” โจวเสี่ยวเทียนยิ้มเยาะ แล้วกระโจนใส่จูเปิ่นเจิ้งทันที
จากนั้น ทั้งสามคนก็วิ่งเล่นไปรอบ ๆ ฟางชิวจึงได้แต่ส่ายหัวและหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะอ่านหนังสือต่อไป
…
พริบตาเดียวก็มาถึงวันอังคาร …วันเผด็จศึก!
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ฟางชิวตื่นนอนตอนตีสามเพื่อฝึกฝนและกลับมาที่หอพักตอนตีห้า หลังจากที่อาบน้ำและกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มเก็บข้าวของ
เวลา 06.30 นาฬิกา รูมเมตทั้งสามคนยังคงอยู่ในห้วงความฝัน หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จแล้ว เขาก็ออกจากหอพักไปอย่างเงียบงัน
เมื่อมาถึงชั้นล่างหอพักเขาก็ตัวแข็งทื่อ เพราะตอนที่กลับมาจากการทานอาหารเช้า เขาพบว่าในมหาวิทยาลัยมีคนน้อยมาก แต่เพียงพริบตาเดียวที่หน้าหอพักก็มีคนกลุ่มใหญ่มาขวางทางไว้
แค่มองแวบเดียว ฟางชิวก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นสมาชิกของทีมกีฬามหาวิทยาลัย และหลายคนเป็นสมาชิกของทีมกีฑา เพราะแต่ละคนมีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงกันทั้งนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะฟางชิวรู้จักคนพวกนี้ คงคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่ออัดคน
“พวกนายกำลังทำอะไรอยู่?” เมื่อเห็นว่าถนนด้านหน้าถูกปิดกั้น ฟางชิวจึงเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย
“พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?”
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลตะคอกอย่างเย็นชาและพูดด้วยความโกรธ “พูดตามตรง พวกเรามาที่นี่เพื่อขวางทางนายโดยเฉพาะ เพราะว่านายมันเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่รู้สึกละอายใจกับตัวเองบ้างเลยหรือไง ทำไมต้องเอามหาวิทยาลัยของพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย? การที่ยอมรับคำท้าในนามของมหาวิทยาลัย นายคิดว่าไม่มีใครกล้าลงโทษนายหรือไง?”
“แม้ว่าฉันจะยอมรับคำท้าแล้ว และมันเกี่ยวข้องกับคณะการแพทย์แผนจีน ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคณะพลศึกษาของพวกนายเลย” ฟางชิวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไสหัวไปให้พ้น!”
“ไม่ไปโว้ย” หัวหน้ากลุ่มอันธพาลพูดอย่างเย็นชา “ถ้านายมีความสามารถจริง นายก็บินออกไปสิ ฉันไม่เชื่อว่าวันนี้นายจะก้าวขาออกจากมหาวิทยาลัยได้ เพราะพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว”
“ใครขอให้พวกนายมาที่นี่กัน” ชายหนุ่มถามพร้อมขมวดคิ้ว
“พวกเราสมัครใจมาเอง” ขณะที่ตอบ หัวหน้ากลุ่มก็เหลือบมองนักศึกษาคนอื่น ๆ ไปด้วย
“ใช่ พวกเรามาด้วยความสมัครใจ”
“วันนี้นายไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวขาออกจากมหาวิทยาลัย!”
“และนายไม่ได้รับอนุญาตทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง!”
พวกเขาทั้งหมดพากันตะโกนออกมา
ในเวลาเดียวกัน
หน้าระเบียงดอกไม้ที่ห่างจากหอพักชายหลายสิบเมตร เฉินอินเซิงกับเหลียงหย่งเสียงยืนอยู่ด้วยกัน โดยมองดูสถานการณ์จากระยะไกล
“เรื่องแบบนี้ทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถจัดการเองได้ ฉันเลยได้แต่ขอให้นักศึกษาพวกนี้จัดการแทน”
ขณะมองดูสถานการณ์ที่หน้าหอพักชาย เฉินอินเซิงก็ถอนหายใจออกมา “มีกลุ่มเด็กผู้ชายอยู่ที่นั่น ฟางชิวไม่น่าจะหลบหนีได้ ต่อให้มีปีกก็ตาม”
“ใช่”
เหลียงหย่งเสียงพยักหน้าเบา ๆ “ถ้าฟางชิวไปคราวนี้ ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยถูกทำลายแน่ ในฐานะผู้บริหาร ถ้าไม่ขวางเขาไว้ พวกเราจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าวิธีนี้เท่านั้นที่จะได้ผล”
“เฮอะ” เฉินอินเซิงกล่าวเย้ยหยัน “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฟางชิวจะก้าวขาออกจากมหาวิทยาลัยได้ในวันนี้”
“ไม่ต้องห่วง ฉันอธิบายทุกอย่างให้นักศึกษาฟังแล้ว วันนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียน พวกเขาแค่ต้องขังฟางชิวเอาไว้ในหอพักและไม่ปล่อยให้ฟางชิวออกมา” เหลียงหย่งเสียงกล่าว
“ดี” เฉินอินเซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่ทันทีที่เขาพยักหน้า พลันมีบางอย่างเกิดขึ้นที่หน้าหอพักชาย
หน้าหอพักชาย
ขณะที่กลุ่มนักศึกษารูปร่างสูงใหญ่กำลังขวางทางของฟางชิวอย่างดื้อรั้น ชายหนุ่มก็หันไปมองรอบ ๆ อย่างหมดหนทางและพร้อมที่จะกลับไปที่หอพัก
แต่ทันทีที่หันกลับมา เขาก็หยุดฝีเท้ากะทันหันราวกับว่าเห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ ทันใดนั้นก็หันไปชี้ทางระยะไกล และตะโกนว่า “นั่นชายลึกลับนี่!”
ในขณะที่ฟางชิวตะโกน นักศึกษาที่ขวางทางเขาต่างก็มองไปในทิศทางที่เขาชี้ทันที
“ไหน? อยู่ไหน?”
เห็นแบบนั้น ฟางชิวก็รีบสับเท้าพุ่งตรงเข้าไปในฝูงชนด้วยความคล่องแคล่ว หลังจากฝ่าออกมาได้ฟางชิวก็วิ่งไปที่ประตูมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ พวกเขาทุกคนก็รู้สึกตัวขึ้นมา
แม่งเอ๊ย! ถูกหลอกเข้าให้แล้ว
“ตามเขาไป!”
“เร็วเข้า!”
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มวิ่งไล่ตามฟางชิวด้วยความโกรธ
กลิ่นอายของพวกเขาดูแข็งแกร่งมาก แต่ไม่สามารถไล่ตามได้ทันเลย
แม้แต่หัวหน้าทีมกีฑายังไม่สามารถวิ่งตามทัน แล้วพวกเขาที่เหลือจะตามทันได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ผลที่ได้กลับเป็นระยะห่างที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ
ขณะที่พวกเขากำลังไล่ตามฟางชิวอยู่นั้น…
เฉินอินเซิงกับเหลียงหย่งเสียงต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นจากระยะไกล
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เฉินอินเซิงชี้ไปที่ด้านหลังของฟางชิวด้วยความตกใจระคนวิตกกังวล
“ฟางชิววิ่งเร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน” เหลียงหย่งเสียงดูตกตะลึงจนเห็นได้ชัด
เมื่อก่อน เหลียงหย่งเสียงได้ยินแค่ว่าฟางชิววิ่งได้ดีมาก และในครั้งนี้เขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว
ความเร็วแบบนี้น่าทึ่งมาก มันเร็วจนผิดปกติ ขนาดนักศึกษาคณะพลศึกษายังไม่สามารถเทียบกับฟางชิวได้เลย!