บทที่ 210 มาถึงเมืองหลวงแล้ว!
บทที่ 210 มาถึงเมืองหลวงแล้ว!
ในห้องโถง
ฟางชิวดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งรอด้วยใบหน้าผ่อนคลาย และมีความตั้งใจที่จะงีบหลับด้วยซ้ำ
เห็นแบบนั้นแล้ว หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “นี่แกคิดว่าแกหนีไม่รอดแล้ว ก็เลยยอมจำนนงั้นเหรอ หรือว่ารถไฟขบวนนี้ ไม่ใช่ขบวนที่แกซื้อตั๋ว”
เขาได้ดูเวยป๋อของฟางชิวล่วงหน้าแล้ว และเห็นภาพของตั๋วที่ฟางชิวโพสต์ไว้ก็เป็นขบวนรถไฟที่กำลังจะออกในไม่ช้านี้ แต่ทำไมถึงดูไม่กังวลเลย?
“เจ้าเบื๊อก ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ฟางชิวยิ้มอย่างเยือกเย็น “วางใจเถอะ ฉันเปลี่ยนตั๋วเรียบร้อยแล้ว เวลาออกเดินทางคือสิบโมงเช้า อืม… ฉันยังพอมีเวลาที่จะโทรหาตำรวจ” หลังจากพูดจบ ฟางชิวก็หยิบโทรศัพท์ออกมาทันที
“ฮัลโหล นั่น 110 ใช่ไหม” หลังจากโทรออกฟางชิวก็พูดขึ้นทันที “ตอนนี้ฉันถูกกลุ่มคนล้อมเอาไว้ในสถานีรถไฟความเร็วสูง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางชิว นักศึกษาที่อยู่รอบ ๆ พลันหวาดกลัว
เหตุผลที่พวกเขาสามารถเข้ามาในห้องโถงรอได้ เป็นเพราะว่าเฉินอินเซิงแจ้งคนที่ทำงานในสถานีรถไฟความเร็วสูงล่วงหน้าแล้ว ถ้าตำรวจมาที่นี่จริง ๆ พวกเขาคงจะเดือดร้อนแน่
ตามที่ฟางชิวเคยพูด หากเจ้าหนุ่มนี่กล่าวหาว่าพวกเขาจำกัดเสรีภาพของผู้อื่น พวกเขาอาจจะต้องเข้าคุก
หัวหน้าของกลุ่มนักศึกษาเริ่มมีอาการตื่นตระหนก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้งและกดโทรหาเฉินอินเซิงโดยไม่รีรอ
“แย่แล้วครับ ท่านรองอธิการบดี ฟางชิวจะเรียกตำรวจ!” หัวหน้าของกลุ่มนักศึกษาพูดด้วยความตื่นตระหนก
“โทรแจ้งตำรวจแล้วทำไมล่ะ?” เฉินอินเซิงตอบกลับด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “อย่ากลัวเลย ยังดีที่โทรหาตำรวจ เพราะตำรวจจะได้พาเขาไปที่สถานีตำรวจด้วย แล้วฉันจะรอดูว่าเขาจะไปที่เมืองหลวงได้ยังไง”
“แต่ว่า…” หัวหน้าของกลุ่มนักศึกษายังคงดูหวั่นเกรง
ในเวลานี้ ฟางชิวที่กำลังเฝ้าดูการกระทำของหัวหน้ากลุ่มนักศึกษาอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ดึงเหรียญออกมาจากกระเป๋า แล้วดีดมันไปเบา ๆ
ฟิ่ว!
เหรียญกระเด็นไปกระแทกกับโทรศัพท์ของหัวหน้ากลุ่มนักศึกษาเข้าอย่างจัง
ตุ้บ!
เสียงหล่นที่ดังก้องนี้ ทำให้นักศึกษาคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของฟางชิวกับเหรียญเลย!
โอกาสนี้แหละ!
ต้องหนี!
หัวใจของชายหนุ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ในขณะที่กลุ่มนักศึกษากำลังตกตะลึง เขาก็รีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วกระแทกตัวใส่นักศึกษาคนหนึ่งที่ขวางอยู่ ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูตรวจตั๋วอย่างรวดเร็ว
เมื่อผ่านเครื่องตรวจตั๋วแล้ว ฟางชิวก็ไปหาเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว
ฉากนี้ทำให้กลุ่มนักศึกษาต่างนิ่งอึ้ง แต่เมื่อกำลังจะไล่ตามฟางชิวไป เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วหลายคนก็เดินมาขวางทางเอาไว้อย่างไร้ความปรานี พวกเขาจึงทำได้เพียงมองชายหนุ่มค่อย ๆ ห่างออกไปด้วยสายตาละห้อย
ฟางชิวที่วิ่งไปไกลก็หันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตา ก่อนจะลงลิฟต์ไปชั้นล่าง
พอเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าไปในลิฟต์แล้ว เหล่านักศึกษาที่ไล่ตามมาก็รู้สึกสลด เพราะพวกเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ!
ด้วยผู้คนมากมายขนาดนี้ แต่ไม่สามารถหยุดฟางชิวได้เลย พวกเขาทำได้แค่มองดูชายหนุ่มขึ้นรถไฟและจากไปเท่านั้น
แล้วทีนี้พวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้กับรองอธิการบดีและคณบดีอย่างไร?
หัวหน้าของกลุ่มนักศึกษาหันกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนร่วมชั้นข้าง ๆ “โทรศัพท์ฉันพังน่ะ นายช่วยโทรหาท่านรองอธิการบดีหน่อยสิ”
หัวหน้าของกลุ่มนักศึกษารู้สึกหดหู่เกินบรรยาย เขาไม่เพียงสูญเสียค่าแท็กซี่เท่านั้น แต่ยังทำโทรศัพท์พังอีกด้วย บัดซบ!!
รองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยคงจะไม่คืนเงินค่าซ่อมโทรศัพท์ให้อย่างแน่นอน~
ไม่นาน นักศึกษาคนนั้นก็โทรไปรายงานข่าว และเมื่อเฉินอินเซิงได้ยินว่าฟางชิวหนีไปแล้ว เขาก็แทบจะเป็นบ้า
นึกไม่ถึงว่าฟางชิวจะหลบหนีภายใต้แผนอันรัดกุมนี้ได้!
ด้วยการจากไปของชายหนุ่ม การท้าทายของชีพจรตั้งครรภ์ก็จะเริ่มขึ้น แล้วแรงกดดันของวงการแพทย์แผนจีนกับผู้นำทุกฝ่ายก็จะตามมา
เฉินอินเซิงจะชดเชยสิ่งนี้ไหวได้อย่างไร??
รอก่อนเถอะเจ้าฟางชิว! วันไหนที่แกล้มเหลว วันนั้นจะเป็นวันที่แกถูกไล่ออก!
…
เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า รถไฟก็มาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงในเมืองหลวง ฟางชิวเดินมาถึงทางออกพร้อมกับผู้คนจำนวนมาก เขาสูดเอาหมอกควันของชาวเมืองหลวงเข้าปอดลึก ๆ แล้วถ่ายรูปทางออกไว้
จากนั้นก็ลงชื่อเข้าใช้บัญชีเวยป๋อ
[มาถึงแล้ว!]
สามคำพร้อมกับรูปถ่ายของทางออกสถานีรถไฟความเร็วสูง
ครั้งนี้ฟางชิวไม่ได้แท็กหาหลี่เหวินป๋อ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเฝ้าดูบัญชีเวยป๋อของเขาอยู่ตลอดเวลา
ทางด้านของหลี่เหวินป๋อก็เป็นเหมือนกับที่ฟางชิวคิด เขาได้ติดตามเวยป๋อของฟางชิวตลอดเวลา เพราะวันนี้เป็นวันนัดหมายเลยอยากรู้ว่าฟางชิวจะกล้ามาหรือไม่
แม้ว่าจะมีการเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่หลี่เหวินป๋อยังไม่แน่ใจว่าการท้าดวลในวันนี้จะเกิดขึ้นไหม
ในความเป็นจริงจากก้นบึ้งหัวใจแล้ว หลี่เหวินป๋อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟางชิวจะไม่มา เพราะจะได้ใช้โอกาสนี้เยาะเย้ยการแพทย์แผนจีน และเพื่อเพิ่มความนิยมของตัวเองอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายที่ฟางชิวมาถึงที่นี่แล้ว…
“น่าสนใจดีนี่”
เมื่อเห็นโพสต์เวยป๋อของฟางชิวแล้ว หลี่เหวินป๋อก็เย้ยหยันและพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “เป็นความจริงที่ว่า …ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ไอ้เด็กคนนี้ไม่กลัวตายจริง ๆ สินะ ผู้นำวงการแพทย์แผนจีนยอมรับฟางชิวแล้วเหรอ? หรือว่าพวกเขาหยุดฟางชิวไม่ได้?”
หลี่เหวินป๋อสงสัยว่า ฟางชิวมาที่เมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากวงการแพทย์แผนจีนได้อย่างไร …และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้นำด้านการแพทย์แผนจีนจะไม่ขัดขวาง!
‘นอกเสียจากว่าเด็กคนนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี’
จู่ ๆ ความคิดดังกล่าวก็เข้ามาในหัว
แต่สุดท้าย หลี่เหวินป๋อก็รีบส่ายหัวและหัวเราะเยาะออกมา “เป็นแค่เด็กปีหนึ่งจะเก่งได้ยังไง ในเมื่อเขามาที่นี่แล้ว ถ้างั้นฉันก็สามารถบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่าการแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์เทียม!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลี่เหวินป๋อก็รีโพสต์เวยป๋อของฟางชิวทันที และตอบว่า [ฉันนึกว่าแกจะไม่มาแล้วซะอีก แม้ว่าแกจะเป็นแค่เด็กโง่เง่าคนหนึ่ง แต่ก็เป็นคนพูดจริงทำจริงเหมือนกันนี่!]
หลังจากที่หลี่เหวินป๋อเพิ่งโพสต์เวยป๋อ ชายหนุ่มที่เพิ่งขึ้นรถแท็กซี่ก็ได้รับข้อความทันที เขาจึงเปิดเวยป๋ออย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นโพสต์ของหลี่เหวินป๋อแล้ว ฟางชิวก็ยิ้มกว้างและรีบรีโพสต์ทันที ก่อนจะตอบว่า [ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอเงินหนึ่งล้านหยวนของแก!]
ภายใต้การรีโพสต์ของกันและกัน เวยป๋อจึงปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้งทันที
หลายคนเริ่มแสดงความคิดเห็น
[ในที่สุด การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว!]
[การต่อสู้นี้จะต้องน่าสนใจมากแน่ ๆ !]
[ฉันมานั่งรอดูฟางชิวถูกตบหน้า!]
[การได้เงินหนึ่งล้านหยวนมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?]
[ในความคิดของฉัน ฟางชิวกำลังหมกมุ่นอยู่กับเงินล้านหยวนมากเกินไป!]
[ชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่งกลับถูกล่อลวงด้วยเงินตรา]
[ฉันแทบรอที่จะเห็นฟางชิวแพ้ไม่ไหวแล้ว ฮิฮิ]
[ไอ้คนงี่เง่าคนนี้ต้องแพ้แน่นอน อย่าแม้แต่จะฝันถึงเงินรางวัลเลย]
[ไลฟ์สดจะเริ่มเมื่อไร? ฉันรอแคปหน้าเจ้าฟางชิวไปทำมีมไม่ไหวแล้วนะ พอนึกถึงตอนที่เขาแพ้ทีไร ฉันก็รู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ได้ทุกที!]
ในไม่ช้า
ผู้คนนับไม่ถ้วนก็ได้ฝากข้อความไว้ในเวยป๋อของฟางชิว แล้วพวกเขาก็พบว่าเกือบทุกคนไม่ได้มองฟางชิวในแง่ดีเหมือนเมื่อก่อนเลย
ในสายตาของพวกเขา ฟางชิวเป็นคนโง่ที่ไม่มีโอกาสชนะ!!
เห็นได้ชัดว่าหลี่เหวินป๋อกล้าท้าทาย เพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียง มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย
และแม้แต่แพทย์ชื่อดังก็ยังไม่กล้ารับคำท้า นั่นหมายความว่าฟางชิวหาเรื่องตายเอง!
…
ณ สำนักงานของรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
หลังจากที่ถูกอารมณ์โกรธครอบงำมาตลอดทั้งเช้านี้ ในที่สุดเฉินอินเซิงก็สงบลงได้เล็กน้อย
และภาพที่แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เป็นหน้าบัญชีเวยป๋ออย่างเป็นทางการของฟางชิว
ทุก ๆ ห้านาที เฉินอินเซิงจะรีเฟรช เขายังไม่ยอมแพ้ เพราะได้ส่งคนไปหยุดฟางชิวที่สถานีรถไฟความเร็วสูงในเมืองหลวงแล้ว
ตราบใดที่เจ้านั่นยังไม่ออกจากสถานี เขาจะหยุดฟางชิวได้แน่นอน
ห้านาทีผ่านไป
เฉินอินเซิงคลิกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชหน้านี้
ในวินาทีต่อมา…
“เฮ้ย!”
ครั้งนี้ มีโพสต์ใหม่สองโพสต์บนเวยป๋อของฟางชิว
เมื่อตั้งใจมอง เฉินอินเซิงพบว่าฟางชิวได้ออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูงของเมืองหลวงไปแล้ว!
เฉินอินเซิงจ้องมองทั้งสองโพสต์บนเวยป๋อ แล้วทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
“จบแล้ว”
“ฉันหยุดเขาไม่ได้!”
“ฉันกลายเป็นคนบาปของวงการแพทย์แผนจีนแล้ว!”
เฉินอินเซิงรู้สึกเสียใจ เพราะไม่ควรปฏิบัติต่อฟางชิวแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ทำเช่นนี้!
.
ในเมืองหลวง…
“พ่อหนุ่ม เธอจะไปไหนเหรอ” บนรถแท็กซี่ หลังจากที่ฟางชิวอัปเดตเวยป๋อเสร็จแล้วและเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง คนขับจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฟางชิวมึนงง
“ขอโทษที พอดีฉันลืมน่ะ” คนขับยิ้มแห้ง ๆ “ฉันเพิ่งดูเวยป๋อน่ะ มันกำลังเดือดเลย ว่ากันว่าจะมีงานใหญ่ในวันนี้”
“งานใหญ่อะไรเหรอครับ” ฟางชิวถามด้วยความสงสัย
“ก็สงครามระหว่างการแพทย์แผนจีนกับการแพทย์แผนตะวันตกน่ะสิ เธอไม่รู้หรือ”
คนขับรถอธิบายต่อ “การแพทย์แผนจีนเป็นแก่นแท้ของจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงห้าพันปี แต่ในยุคนี้ผู้คนกลับนิยมเลือกแพทย์แผนตะวันตกมากกว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่แพทย์แผนตะวันตกจะกล้าท้าทายแพทย์แผนจีน ผู้ป่วยคือความมั่นใจของพวกเขา เช่นเดียวกับคนขับแท็กซี่ พวกเราจะมีความมั่นใจหากมีลูกค้าประจำ โดยเฉพาะในยุคนี้ …ยุคที่แอปเรียกแท็กซี่กำลังเป็นที่นิยม”
“ฉันไม่เห็นรู้ว่ามีการแข่งแบบนั้นเลย” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอะไร
“งั้นก็บอกฉันมาสิว่าเธอจะไปไหน แล้วฉันเล่าเรื่องนี้ให้ฟังต่อระหว่างทาง” คนขับตอบ
“ฉันอยากกินเป็ดย่าง!” ฟางชิวเปิดปากของเขาและพูดว่า “ฉันไม่เคยกินเป็ดย่างเมืองหลวงมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะต้องลองชิมเป็ดย่างของเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้ได้”
“ถ้างั้นก็ไปที่ร้านเป็ดย่างฉวนจูเต๋อกันเถอะ” คนขับพยักหน้า “เธอควรโทรจองโต๊ะก่อนที่มันจะสายเกินไป เพราะคิวยาวเหยียดเลยละ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟางชิวก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจองโต๊ะทันที
ระหว่างทาง คนขับยังคงพูดคุยไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่หมอกควันในฤดูหนาวไปจนถึงผู้ลี้ภัยชาวยุโรป และจากการมาเยือนของผู้นำประเทศ ไปจนถึงแผนห้าปีฉบับที่ 13 สำหรับปีใหม่
แต่ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงหัวข้อของการท้าทายระหว่างการแพทย์แผนจีนกับการแพทย์แผนตะวันตก
จากคำพูดของคนขับรถ ฟางชิวบอกได้ว่าคนขับมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแพทย์แผนจีนเช่นกัน แต่คนขับรถรู้สึกโมโหที่ไม่มีหมอชื่อดังคนไหนในวงการแพทย์แผนจีนกล้าออกมารับคำท้าทายนี้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังมาก และผู้ที่เชื่อในการแพทย์แผนจีนก็ผิดหวังเหมือนกัน
การปรากฏตัวของฟางชิวควรได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากสามัญสำนึกของคนทั่วไป แต่กุญแจสำคัญก็คือฟางชิวเป็นเพียงนักศึกษาที่น่าจะยังไม่เชี่ยวชาญในการจับชีพจร
ผู้ที่สนับสนุนการแพทย์แผนจีนต่างกลัวว่าฟางชิวจะทำให้การแพทย์แผนจีนอันศักดิ์สิทธิ์เสียหาย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากด่าฟางชิวในโลกออนไลน์
เมื่อมาถึงร้านเป็ดย่างฉวนจูเต๋อ
“จริง ๆ แล้ว ฉันก็เชื่อในศาสตร์แพทย์แผนจีนเหมือนกัน” ฟางชิวพูดกับคนขับตอนที่เขาลงจากรถและทำการจ่ายเงินแล้ว
คนขับรถแท็กซี่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น จากนั้นเขาก็ขับรถออกไป
“แม้แต่คนขับรถแท็กซี่ในเมืองหลวงยังกังวลเรื่องคำท้าทาย ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว” ฟางชิวกระซิบกับตัวเองเบา ๆ
จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านเป็ดย่างฉวนจูเต๋อ และหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาก็โพสต์เวยป๋ออีกครั้ง
[เป็ดย่างเมืองหลวงอร่อยมาก!]
ภายในโพสต์มีรูปเป็ดย่างหลายรูปพร้อมกับแคปชั่น
ผลที่ตามมาคือมันดึงดูดคำเยาะเย้ยด่าทอจากผู้คนนับไม่ถ้วนในพริบตา!!