ตอนที่124 คุณชายจ้าวน่าทึ่งมาก
จ้าวเฉียนหัวเราะขบขันกับคำกล่าวของหยางหมิง เขาปริปากขึ้นว่า
“ในเมื่อนายน้อยหยางถูกหลอกใช้แบบนี้ ผมคงไม่ต้องลงมือเองแล้วมั่ง?”
หยางหมิงพยักหน้าตอบทันทีว่า
“อืม แต่นายต้องส่งรูปถ่ายกับคลิปทั้งหมดให้ฉัน ห้ามสำรองข้อมูลชุดนี้ไว้ที่อื่นเด็ดขาด”
“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ผมจัดการเรื่องหุ้น แล้วคุณจัดการเรื่องของคุณเสร็จทั้งหมด ถึงตอนนั้นถึงจะไว้ใจพอสำหรับส่งมอบหลักฐานพวกนี้ ขอเพียงทำในสิ่งที่ควรทำให้เข้าที่ พวกเราก็คุยกันง่ายขึ้นจริงไหม?”
จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวไปตามความเป็นจริง
หยางหมิงพยักหน้าตอบพร้อมให้สัญญาว่า ปัญหาเรื่องโปรเจคเขาจะจัดการเองไม่ต้องห่วง จากนั้นทั้งคู่ก็เดิงเคียงข้างกันออกมาจากห้องประชุม ท่าทางของพวกเขาช่างดูร่าเริงอย่างมากราวกับสหายเก่ามากกว่าศัตรู ไม่ใช่น้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้แต่อย่างใด
“ประธานฟาง ผมจะให้เวลาคุณอีกหนึ่งเดือนสำหรับการแก้ไขจุดที่มีปัญหา ที่จริงแล้วผมก็พูดแรงเกินไป จริงๆแล้วมันเป็นแค่ปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น อย่างไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะครับ”
หยางหมิงกล่าวกับฟางนี่อย่างสุภาพและโบกมือลาออกไป
พอเห็นหยางหมิงพากลุ่มคนทั้งหมดออกจากออฟฟิศ ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่ง เขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหากับฟางนี่โดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ? แล้วจ้าวเฉียนไปคุยอะไรกับเขากันแน่ ถึงยอมกลับแต่โดยดีแบบนี้?
หวานฮันซูถึงกับมึนตึบ รีบตามหยางหมิงไปทันทีและถามว่า
“นายน้อยหยาง นี่เกิดอะไรขึ้น? มันพูดอะไรกับคุรถึงยอมจากไปง่ายๆแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้ ฉันโดนแบล็คเมล ต่อให้นายจะพูดยังไงฉันคงหยุดแล้ว เป็นคนดังในอินเตอร์เน็ตมันเหนื่อย!”
หยางหมิงตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรนะ? มันใช้วิธีสกปรกขนาดนี้เลยงั้นเหรอ! ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริงๆ!”
หวานฮันซูสบถด่าเร้าอารมณ์เดือด
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ช่างเถอะแค่ต่อชีวิตให้ฟางนี่ไปก่อน คราวหลังฉันจะระวังตัวไม่ให้มันแอบถ่ายฉันได้”
หลังจากหยางหมิงพูดจบ เขาก็แสร้งทำเป็นกระทืบเท้าสองสามที พร้อมสบถเสียงแผ่วใต้ลมหายใจ
ทัศนคติของหวานฮันซูที่มีต่อจ้าวเฉียนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินทีเขาคิดแค่ว่าจ้าวเฉียนเป็นพวกขี้งก ไร้ทางสู้ แต่ใครจะไปคิดว่า จะเป็นคนโหดร้ายและไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้กัน?
ฟางนี่เดินเข้าไปถามจ้าวเฉียนทันทีด้วยความสงสัย
“จ้าวเฉียน นายไปพูดอะไรกันแน่? ทำไมหยางหมิงถึงดูกลัวนายขนาดนั้น?”
“ถูกต้อง! แถมยังโดนโค๊กสาดเละจนเปียกชุ่มทั้งตัว นายนี่มันโคตรเจ๋งเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้กำลังตอบโต้เลยเหรอ?”
“บอกมาเถอะน่า พวกเราแทบรอไม่ไหวแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้องประชุม พวกเราแอบส่องแค่ครึ่งแรกเอง!”
บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างแหแหนไถ่ถามจ้าวเฉียนไม่หยุดหย่อน พวกเขาอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน ว่าจ้าวเฉียนสามารถกำราบหยางหมิงผู้หยิ่งผยองได้โดยวิธีไหน?
จ้าวเฉียนไม่สามารถบอกความจริงได้โดยธรรมชาติ เขาจึงสร้างเรื่องขึ้นมา
“อยากรู้เหตุผลจริงๆเหรอ?”
“อยากสิ! เกิดอะไรขึ้นในนั้นกันแน่?”
“บอกมาเลย! ฉันเองก็อยากรู้…”
จ้าวเฉียนอธิบายขึ้นว่า
“ฉันมักจำไปนั่งดื่มที่Emgrand KTV เปิดไวน์นั่งจิบชมบรรยายกาศยามค่ำคืนอยู่บ่อยครั้งน่ะ จึงค่อนข้างสนิทกับพี่หยางหู่ เจ้าของEmgrand KTV ก็เลยให้เขาช่วยเจรจากับหยางหมิง ยังไงซะทายาทมหาเศรษฐีหรือจะสู้เจ้าพ่อวงการมาเฟียจริงไหม?”
“ว้าว! สุดยอด! การที่นายชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกลับไม่ได้สูญเปล่าจริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้นายมีเส้นสายใหญ่คอยหนุนหลัง ถึงขั้นเรียกคุณหยางหู่ว่าพี่ชายได้ นับว่านายน่าเกรงขามจริงๆ!”
“ฉันเคยคิดว่านายเป็นพวกเสเพล วันๆเอาแต่เที่ยวอย่างเดียว แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกอย่างที่ทำไปล้วนมีผลประโยชน์ทั้งสิ้น นายมองการณ์ไกลจริงๆ ใช้เงินซื้อความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหยางหู่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครในเมืองตกไห่กล้ายั่วยุนายแล้ว!”
“ดีจังเลย… เอาล่ะ! วันนี้ฉันจะไปเหมาล็อตเตอร์รี่ให้หมดแผงเลย! รางวัลที่1ต้องเป็นของฉันบ้างล่ะ จะได้รวยแบบคุณชายจ้าวได้ ถึงเวลานั้นฉันก็คงมีคนค่อยหนุนหลังอยู่บ้างแน่นอน!”
เหล่าเพื่อนร่วมงานต่างยกย่องชมเชยจ้าวเฉียนไม่หยุดปาก ซึ่งภาพฉากเหล่านี้ยิ่งทำให้เจี่ยงเสี่ยวปิงรู้สึกขื่นขมระทมใจเข้าไปใหญ่ ยิ่งจ้าวเฉียนมีชีวิตดีเลิศเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นเท่านั้น เสียงหัวเราะชื่นชมของทุกคนที่มีให้แก่จ้าวเฉียน ประดุจเหมือนเสียงหัวเราะเยาะซ้ำเติมความผิดพลาดของเจียงเสี่ยวปิง เพราะสายตาอันห่วยแตกของเธอ จึงทำให้หยิบเมล็ดงาขึ้นมาแทนเมล็ดแตงโม[1]
จ้าวเฉียนยิ้มแย้มให้แก่ทุกคนและโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง และกล่าวขึ้นว่า
“ที่ฉันมีทุกวันนี้ได้แค่โชคดีเท่านั้น ถึงพวกนายจะไม่ถูกล็อตเตอร์รี่ แต่บางทีอาจจะโชคดีในด้านอื่นๆนะ”
“อย่าถ่อมตัวเลย อย่าลืมสิ นายยังมีแฟนสาวทั้งรวยทั้งสวย!”
“ใช่ๆ พวกเราเห็นกันหมดนะ เธอมีเรือยอทช์ไว้เที่ยวเล่นส่วนตัว ถ้าไม่รวยก็บ้าแล้ว นายซ่อนเรื่องนี้จากเราไม่ได้หรอก!”
“ฉันอยากรู้จริงๆ นายไปเจอสาวสวยระดับนี้จากที่ไหน เผื่อฉันจะไปตามนายบ้าง?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังลั่นและจงใจตอบเสียงดังฟังชัดไปว่า
“ฮ่าฮ่า… นี่จริงแล้ว…ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณเจียงเสี่ยวปิงนะ ถ้าเธอไม่บอกเลิกฉันในวันนี้ พวกเราคงไม่ได้คบกันในวันนี้! เอาล่ะ อย่ามัวคุยเล่นกันเลย ใกล้เวลาเลิกงานแล้วด้วย รีบเคลียร์งานค้างแล้วรีบกลับบ้านกันดีกว่า!”
หลังจากที่จ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งมือถือค้นหาข้อมูลของบริษัทหวงโหย้วต่อไป
ฟางนี่ปรบมือเรียกสติทุกคนและสั่งให้แยกย้ายกันไปทำงาน บรรยายกาศในออฟฟิศแห่งนี้กลับมาสงบอีกครั้งในไม่ช้า
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงเวลาเลิกงานและทุกคนต่างเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านกัน จ้าวเฉียนยังคงนั่งค้นหาข้อมูลของบริษัที่ต้องไปดิลด้วยอย่างขยันขันแข็ง ในเวลานั้นเองฟางนี่ก็เดินมาเรียกจ้าวเฉียน ให้ไปคุยด้วยที่ห้องทำงานของเธอ
จางหยางเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน สายตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนดูไม่พอใจขึ้นมาทันตา
“จ้าวเฉียน นายต้องการจะลดมูลค่าหุ้นในมือหวานฮันซูสักกี่เปอร์เซ็นต์?”
“ไม่เกิน10% เอาแค่นี้ไปก่อน”
จ้าวเฉียนกล่าวน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
ทันใดนั้นจางหยางระเบิดอารมณ์ใส่จ้าวเฉียนทันที ลุกขึ้นพรวดทุบโต๊ะดังปัง ตวาดขึ้นว่า
“นี่แกคิดว่าตัวเองใหญ่โตขนาดนั้นจริงๆใช่ไหม? นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับตัวหวานฮันซู? เจ้าหมอนั่นอยู่ในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างWall Street เคยเป็นผู้บริหารหนุ่มดาวรุ่งจากบริษัทGoldman Sachs! ภูมิหลังของเขาแข็งแกร่งมาก แล้วนายจะไปสู้อะไรเขาได้! แค่จะทนแรงเสียดทานเล็กน้อย ร่างของแกก็ถูกบดบี้ไม่เหลือแล้ว! หากหวานฮันซูนำเรื่องนี้ไปรายงานกับสำนักงานใหญ่ ว่าตัวเองถูกบังคับให้ถือหุ้นที่เหลือมูลค่าแท้จริงต่ำแบบนั้น คงไม่ต้องบอกสินะว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้! แล้วน้ำหน้าอย่างแกจะสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้ไหม?”
นับประสาอะไรกับแค่ธนาคารเพื่อการลงทุนอย่างWall Street ต่อให้หวานฮันซูเป็นคนของธนาคารยักษ์ใหญ่ของจีน จ้าวเฉียนเองก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย
อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนไม่คิดเปิดเผยเรื่องของตัวเองให้มันมากนัก จึงตอบปัดแค่ว่า
“ทำไมผู้จัดการจางชอบตีตัวไปก่อนไข้จังครับ? หวาดระแวงขนาดนี้ อย่าออกจากบ้านไปไหนเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวโดนหมากัดเอย รถชนเอย และอีกยอะครับ ถ้ากลัวทุกอย่างไปซะขนาดนี้ แล้วทำไมคุณต้องพูดอย่างกับว่าอเมริกาเหนือกว่า? เฮ้ออ…พรุ่งนี้ผมอาจจะลาพักร้อนนะครับ ไม่ได้เข้าออฟฟิศ ประธานฟางคงไม่ว่ากันใช่ไหม?”
ฟางนีรีบพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า
“แน่นอน ในเมื่อนายสามารถบริหารจัดการงานของนายได้ จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ที่จริงไม่ต้องได้รับคำยืนยอมจากฉันก็ได้นะ เพราะฉันเชื่อว่านายไม่ได้หยุดเพราะขี้เกียจไปเฉยๆหรอก”
จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม และลุกขึ้นจากออกไป
แม้ว่าจางหยางจะรู้สึกระทมใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดแทรกใดๆอีกต่อไป ตอนนี้รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า เธอไม่ค่อยพอใจเขาเท่าไหร่ ถ้าพูดอะไรขึ้นมาตอนนี้มีหวังได้ทะเลาะกันแน่นอน
ในฐานะสามี จางหยางต้องกู้หน้ากลับคืนมาให้จงได้ พอคิดได้ดังนั้นจางหยางจึงรีบไปหารือกับหวังเฉียง เพื่อหาลูกค้ารายใหญ่ที่ไม่แพ้บริษัทหวงโหย้ว ตราบใดที่เขาสามารถดิลกับคู่ค้ารายใหญ่ได้สำเร็จ ฟางนี่จะต้องกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขาอีกครั้งแน่นอน
จ้าวเฉียนกำลังเก็บข้าวของและกำลังจะลงตึกไป ทันใดนั้นเองหวานเจียงก็โทรมาหา
“นี่นายอยู่ไหน? รอบก่อนเกิดเรื่องจนไม่ได้ไปงานราตรี ครั้งนี้อย่าลืมสัญญาด้วย!”
ฟังจากน้ำเสียงหวานเจียง เธอกำลังอารมณ์เสียได้ที่
จ้าวเฉียนนึกขึ้นได้ทันทีว่า คืนนี้มีงานราตรีที่เขาจะต้องไปกับเธอ
“เพิ่งเลิกงาน แล้วเธอยู่ไหน?”
น้ำเสียงของหวานเจียงดูไม่พอใจขึ้นมาทันตา
“ก็รอนายอยู่ที่บ้านไง! งานจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง ช้าขนาดนี้หรือคิดจะเบี้ยวแล้ว?”
“เหลืออีกตั้งสองชั่วโมงมากกว่า ฉันไม่ไปสายหรอกน่า ไม่ต้องกังวล”
จ้าวเฉียนกล่าวย้ำสร้างเสริมความมั่นใจให้แก่เธอ
“ก็ใช่ไง! เหลือแค่สองชั่วโมง! ไหนจะอาบน้ำแต่งตัว แต่งหน้าไม่ใช่รึไง? ขอโทษนะ…นายช่วยจริงจังกว่านี้ได้ไหม?”
เห็นได้ชัดว่า หวานเจียงในขณะนี้เริ่มโมโหเล็กน้อยแล้ว เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอเลย
จ้าวเฉียนขี้เกียจอธิบายอะไรให้มากความ จึงตัดสายทิ้งและขับรถไปหาเธอทันที
[1]เลือกหยิบของไม่ดีแต่ทิ้งของดีไว้