ตอนที่125 พี่ชายของคุณโง่เกินเยียวยา
หวานเจียงไม่เคยพบเจอใครกล้าตัดสายเธอทิ้งแบบนี้มาก่อน เธอรีบโทรกลับไปหาจ้าวเฉียนอีกครั้ง เตรียมดุอีกฝ่ายยกใหญ่
จ้าวเฉียนมองบนจอโทรศัพท์เล็กน้อยและกดตัดสายทิ้งโดยตรง
“ไอ้จ้าวเฉียน! ฉันจะรอดูว่านายจะมาสายไหม!?”
หวานเจียงโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด
ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา จ้าวเฉียนก็มาถึงที่บ้านของหวานเจียง ทันทีที่ทั้งคู่เจอกัน เธอก็วิ่งเข้าไปเตะต่อยอีกฝ่ายไม่ยั้ง
“ฉันบอกแล้วไงว่า จริงจังกับฉันหน่อย! จริงจังกับฉันหน่อยได้ไหม!!”
หวานเจียงบ่นพึมพำไม่หยุด พลางขบริมฝีปากสวยอย่างแผ่วเบา
จ้าวเฉียนไม่ได้ขัดขืนใดๆ ยังคงยืนนิ่งให้เธอตบตีระบายอารมณ์ หญิงสาวเจ้าอารมร์ตรงหน้าเขาได้ชื่อว่าเป็น ราชินีน้ำแข็งแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปราวกับกุหลาบน้ำแข็งแสนเย็นชา ทว่ากลับงดงานเกินพรรณนาได้ เวลาอยู่กับจ้าวเฉียน เธอมักจะดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกลับที่เคยได้ยินมาเลย
ทุบตีไปสักพัก หวานเจียงเริ่มรู้สึกเหนื่อยจนหยุดมือในที่สุด
“พอแล้ว พอแล้ว ไปงานราตรีกันเลยเถอะ”
จ้าวเฉียนยิ้มกล่าว
หวานเจียงเพิ่งนึกได้ว่า เธอยังมีธุระที่ต้องทำอยู่ ดังนั้นจึงรีบลากจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องนอนของเธอทันที
“นี่นายต้องใส่ชุดนี้ พอดีช่วงนี้ฉันว่าง ก็เลยซื้อมาเผื่อเฉยๆน่ะ แต่งตัวเสร็จแล้วเรียกฉันนะ เดี๋ยวจะเข้าไปแต่งหน้าต่อให้”
คล้อยหลังหวานเจียงพูดจบก็เดินจากออกไป
จ้าวเฉียนรีบคว้าแขนเธอไว้และกล่าวว่า
“ฉันไม่แบบนี้ไม่ได้ มันดูทางการเกินไป ฉันไม่ค่อยชินน่ะ แถมอีกอย่าง…ฉันเป็นผู้ชายนะ ทำไมต้องแต่งหน้าด้วย? ถ้าบังคับกันขนาดนี้ ฉันไม่ไปดีกว่า”
“แต่พวกเรากำลังไปงานใหญ่นะ ถ้าไม่แต่งตัวให้สมฐานะ มีหวังคนอื่นๆคงหัวเราะเยาะตาย”
หวานเจียงกล่าวเสียงขรึม
ซึ่งสิ่งที่เธอพูดไปก็สมเหตุสมผลเช่นกัน นี่คืองานสังคมมีคนใหญ่คนโตรวมไปถึงพวกคุณนายและคุณหนูมากมาย แต่อย่างไร จ้าวเฉียนก็ไม่ชินกับการแต่งตัวแบบนี้อยู่ดี
พอเห็นว่าจ้าวเฉียนเริ่มดูลังเล หวานเจียงจึงรีบเกลี้ยกล่อมทันทีว่า
“ถือว่าฉันขอร้องนายเถอะนะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว…เพื่อฉันได้ไหม?”
สาวสวยระดับคุณหนูแห่งฮวาหยิน กรุ๊ปถึงขั้นเอ่ยปากขอขนาดนี้ ถ้ายังกล้าปฏิเสธ จ้าวเฉียนก็หน้าด้านเกินคนแล้ว เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
หวานเจียงพยักหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขอย่างมาก และหมุนตัวกลับออกไปรอด้านนอก
จ้าวเฉียนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าชุดสูทนี้มันเข้ากับเขาขนาดไหน เกือบจะเรียกได้ว่า เหมือนเธอสั่งตัดสูทชุดนี้ให้เขาโดยเฉพาะ
“หวานเจียง เธอเข้ามาได้แล้ว”
จ้าวเฉียนตะโกนเรียก
หวานเจียงเข้ามาเชยชมผลงานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นนัยน์ตาคู่สวยของเธอถึงกับสว่างวาบ
นี่มัน…คุณชายชัดๆ ราวกับว่าเป็นเจ้าชายสุดหล่อที่หลุดออกมาจากหนังอย่างไงอย่างงั้น ไม่เพียงแค่ดูดีมาก แต่ยังเสริมสง่าราศีของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่เคยรู้จักกันก่อน เธอคงคิดว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีหนุ่มจากสักแห่งหนหนึ่ง?
“ชุดเข้ากับนายขนาดนี้ แต่ยังไม่อยากแต่งอีกงั้นเหรอ?”
หวานเจียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
จ้าวเฉียนยิ้มแห้งตอบไปว่า
“ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับชุดทางการแบบนี้น่ะ หลังจากทำงานอย่างหนักมาห้าปีเต็ม เลยสไตล์การแต่งตัวมันเป็นเพียงเปลือกนอกไปแล้ว ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องจุกจิกแบบนี้เท่าไหร่แล้วล่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น จู่ๆหวานเจียงพลันสนใจเรื่องราวในอดีตของจ้าวเฉียนขึ้นมาเฉยเลย เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“ห้าปีที่ผ่านมานายเป็นมายังไงเหรอ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ?”
จ้าวเฉียนเปลี่ยนเรื่องทันทีและบอกให้หวานเจียงดูนาฬิกาเสียหน่อย นี่มันจะสายแล้ว
“ฉันว่าถ้าให้เล่า พวกเราคงไปงานราตรีไม่ทันอีกรอบแน่นอน ยังจะฟังอยู่อีกไหม?”
“โอ๊ะ! ใช่แล้ว ยังมีงานราตรีอยู่หนิ! แต่ให้นายเข้าร่วมทั้งแบบนี้ไม่ได้หรอก ต้องแต่งหน้าก่อน!”
หวานเจียงกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
แต่อย่างไร ครั้งนี้จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างแน่วแน่
“ขอสักเรื่องนะ ไม่เอาแต่งหน้าได้ไหม? ไม่งั้น…ฉันไม่ไป!”
“อ่าๆ ตามใจ งั้นไปกันได้แล้ว”
หลังจากพูดจบหวานเจียงก็หยิบกระเป๋าถือ และรีบออกไปกับจ้าวเฉียนทันที
จ้าเฉียนจ้องหวานเจียงแขม็งราวกับมีอะไรบางอย่าง ซึ่งนี่ทำให้เธออึดอัดไม่น้อยเลย จนท้ายที่สุดต้องเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า
“นี่นายจ้องอะไรฉันตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว? มองขนาดนี้กินฉันเข้าไปเลยไหมห่ะ?”
หวานเจียงแอบจิกกัดเบาๆ
จ้าวเฉียนเองก็ไม่คิดจะปิดบัง กล่าวตอบตามความรู้สึกไปตรงๆว่า
“จะให้ฉันพูดยังไงดี คงดูไม่เหมาะจริงๆนั้นแหละที่ฉันจ้องเธอขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งเธอดูสวยบอกไม่ถูก เพราะว่าบุคคลิกที่เย่อหยิ่งก็ดี หรือท่าทีที่ดูเย็นชาก็ดี เอาเป็นว่า ถ้าเป็นฉันขอมองอยู่ห่างๆดีกว่า ไม่กล้าเข้าไปใกล้น่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น หวานเจียงไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะต้องดีใจหรือร้องไห้ดี? จ้าวเฉียนมันกำลังชมหรือด่าเธอทางอ้อมกันแน่หว่า? บอกว่าสวยก็ดีอยู่หรอก แต่ไอ้ที่ไม่กล้าเข้าใกล้มันหมายความว่ายังไง?
ทั้งสองเดินขึ้นรถของตัวเองขับกันออกไป ไม่นานก็ถึงสถานที่จัดงานอย่างตึกไข่มุก
และเจ้าของตึกไข่มุกแห่งนี้มีชื่อว่า จ้าวอี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขาคนนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับจ้าวเฉียนแน่นอน ซึ่งดูได้จากนามสกุลที่ทั้งเสียงและตัวอักษรเดียวกัน
หวานเจียงตรงเข้ามาควงแขนจ้าวเฉียนและเดินเข้าไปในสถานที่จัดงานด้วยกัน อย่างไรเสียเธอได้ชื่อว่าเป็น ราชินีน้ำแข็งแห่งฮวาหยิน กรุ๊ป และมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในเมืองตงไห้ ทันทีที่เธอเข้าไปในงานก็กลายมาเป็นจุดสนใจของผู้คนโดยส่วนใหญ่ในทันที
จ้าวเฉียนกวาดสายตาไปรอบๆอย่างระมัดระวัง ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่มีใครรู้จักเขาเลยสักคน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี กวาดสายตามองไปอีกสักพักกลับเจอคนคุ้นเคย ทั้งหวานฮันซูและหยางหมิง
หวานเจียงเดินเข้าไปแวะเวียนทักทายเหล่าผู้คนภายในงาน โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจเช่นกัน
ในเวลานั้นเอง ก็มีสาวงามท่าทีหยิ่งผยอง สวมชุดราตรีและเครื่องประดับหรูหราเดินคู่มากับผู้ชายของเธอ ตรงเข้ามาทักทายหวานเจียงว่า
“ผู้บริหารหวาน ไม่ได้พบกันตั้งนาง ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หวานเจียงยิ้มทักทายทันที คลี่ยิ้มหวานตอบไปว่า
“มาคุยกับมุมนั้นเถอะ ทั้งคุณเฉินและคุณหนูเหลียงนับว่ายิ่งดูอ่อนวัยลงเรื่อยๆ มีเคล็ดลับอะไรแบ่งน้องสาวคนนี้ด้วยสิ!”
“ฮ่าฮ่า…”
ทั้งคู่ต่างรู้สึกขมขันอย่างมากกับคำกล่าวของหวานเจียง ก่อนจะชวนไปคุยกัน ณมุมหนึ่งของสถานที่จัดงาน
สาวสวยคนนั้นเหลือบไปเห็นจ้าวเฉียน เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“หนุ่มหล่อคนนี้กำลังคบหาดูใจอยู่กับผู้บริหารหวานรึเปล่า? แหมมม…มีแฟนแล้วเหรอไม่ยักจะรู้?”
หวานเจียงส่ายหัว เอ่ยตอบไปว่า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น เจ้าหมอนี่บ้างานจะตายแทบไม่มีเวลาหยุดพัก เลยลากมางานสังคมซะบ้าง”
ชายหนุ่มสกุลเฉินรีบยื่นมือเข้าทักทายจ้าวเฉียนทันทีอย่างยิ้มแย้มว่า
“สวัสดีครับ ผมชื่อ เฉินกวงหัว เป็นประธานบริษัท ตงไห่ เรเวนนาเวิล ถึงผมจะไม่ทราบว่าน้องชายเป็นคนจากที่ไหน เลยไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย แต่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้บริหารหวานได้ แสดงว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน”
เมื่อจ้าวเฉียนได้ยินคำแนะนำตัวของเฉินกวนหัว เขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ประธานเฉิน รู้จักคนที่ชื่อเฉินกวงอวี่หรือเปล่าครับ?”
“แน่นอน! เขาเป็นพี่ชายฉันเอง”
เฉินกวงหัวเอ่ยตอบไปตามความเป็นจนิง
“มีอะไรหรือเปล่า แล้วน้องชายรู้จักพี่ผมด้วยเหรอ?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน
“ผมรู้จักดีเลยครับ เพิ่งจะสั่งปิดร้านของเขาบนเกาะซ่งต้าวไปเอง”
ทันทีที่กล่าวขึ้นมาแบบนี้ บรรยายกาศโดยรอบก็เริ่มหมองหม่นในทันใด
จากสีหน้ายิ้มแย้มของเฉินกวงหัว กลับกลายมาเป็นเคร่งขรึมทันตา น้ำเสียงแปรเปลี่ยนฟังดูเย็นยะเยือกขึ้นหลายส่วน เปล่งขึ้นว่า
“ที่แท้ก็เป็นไอ้เลวที่ทำลายธุรกิจร้านเครื่องประดับของพี่อวี่นี่เอง แถมยังเป็นเพื่อนกับผู้บริหารหวานอีก บังเอิญจริงๆนะครับ ผมอยากรู้เหมือนกัน พี่ผมไปทำอะไรให้คุณถึงได้ลงมือลงไม้แรงขนาดนี้?”
“คุณเฉินก็พูดเกินไป ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ ก็พี่ชายของคุณดันโง่เกินเยียวยา ไม่เข้าใจถึงความหมายของโครงการกวาดล้างบนเกาะซ่งต้าว ก็เลยโดนไปตามระเบียบ ผมแนะนำให้พี่ชายคุณกินโสมบำรุงสมองเยอะๆหน่อยนะครัย เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”
คำกล่าวเหล่านี้มันอัปยศเกินกว่าที่ใครจะทนฟังได้ แถมในงานสังคมแบบนี้อย่างกับว่าจ้าวเฉียนลากพี่ชายของเขามาตบหน้าให้ทุกคนหัวเราะเยาะ แล้วตัวเฉินกวงหัวยังจะหลงเหลือหน้าไปสู้คนอื่นได้ยังไง?
หวานเจียงยิ้มแห้ง แอบยกศอกสะกิดหลังจ้าวเฉียนเชิงว่าให้หุบปากได้แล้ว
แต่จ้าวเฉียนกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนำตัวเฉินกวงอวี่ไปสอบสวนที่โรงพัก ไม่นานเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา สักวันมันจะต้องหวนกลับมาแก้แค้นจ้าวเฉียนแน่นอน และแทนที่เขา‘จะนั่งรอ’อยู่เฉยๆ สู้ลุกขึ้นชิงตอบโต้ก่อนเลยไม่ดีกว่าเหรอ?
ดังนั้นแล้วจ้าวเฉียนไม่สนใจทั้งสิ้นว่าหวานเจียงจะให้เขาหยุดพูดหรือไม่ เขากล่าวขึ้นต่อว่า
“อย่าโกรธกันเลยนะครับคุณเฉิน หลังจากเหตุการณ์นี้พี่ชายของคุณคงจะเติบโตขึ้นไม่น้อย ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเลย”
น้องชายในวัยยี่สิบปีเศษต้องแบกรับความอัปยศอดสูของพี่ชาย ในขณะที่ตัวพี่ชายในวัยสามสิบปีเศษต้องรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นหนึ่งในความอัปยศติดตัวน้องชาย
“น้องชาย ไม่ทราบว่าแม่ของน้องชายเคยสอนเรื่องมายาททางสังคมบ้างไหม? ในงานแบบนี้ก็ยังทำตัวสถุลอีกงั้นเหรอ?”
เฉินกวงหัวสบถด่าจ้าวเฉียนด้วยถ้อยคำแสนเรียบง่าย สมแล้วที่เป็นน้องชายของเฉินกวงอวี่ บุคลิกท่าทีแสนเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองเหนือกว่าทุกสิ่ง ไม่ว่าพี่หรือน้องสันดานกลับคล้าบคลึงกันจริงๆ
หวานเจียงไม่กล้าปล่อยให้จ้าวเฉียนกับเฉินกวงหัวคุยกันต่อแล้ว เธอจึงรีบกล้าแทรกขึ้นทันทีว่า
“คุณเฉิน คุณหนูเหลียง ฉันขอไปทักทายคุณพ่อก่อนนะ แหะๆ…”
ตอนนี้หวานเจียงจำต้องแยกมวยคู่นี้ออกไปโดยเร็วที่สุด
“แหะ แหะ…โอเคเลย”
สาวสวยอีกคนเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีและรีบแยกย้ายโดยเร็ว
“ตามสบาย!”
เฉินกวงหัวเค้นน้ำเสียงสุดเย็นชาเป็นคำตอบ
จากนั้นหวานเจียงก็ลากจ้าวเฉียนไปหาพ่อของเธอทันที
“พ่อ ฉันมีเพื่อนจะมาแนะนำให้รู้จัก นี่จ้าวเฉียนเพื่อนสนิทหนูเอง จ้าวเฉียน เขาคนนี้คือพ่อฉันเอง”
หวานหลินกวาดสายตามองจ้าวเฉียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะคลี่ยิ้มบางยื่นมือออกไปจับ
“จ้าวเฉียนใช่ไหม? ประธานบริษัท เฉียนเต๋อ?”
จ้าวเฉียนยื่นมือออกไปจับและกล่าวตอบว่า
“คุณหวานเข้าใจถูกแล้วครับ พวกเราเป็นแค่หุ้นส่วนกันเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า…หุ้นส่วนแต่เข้มงวดมากเลยนะ ครั้งหน้าผมไม่ปล่อยไปแน่ แต่ครั้งนี้ให้คุณชนะไปก่อน”
มีนัยยะเร้นแฝงในคำกล่าวของหวานหลิน เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของเขามองจ้าวเฉียนเป็นคู่แข่งทางธุรกิจคนหนึ่ง