ตอนที่152 ไม่พอใจกับความหยิ่งผยองของนาย
“คิดหนีเหรอ? ตอนนี้เริ่มสำนึกแล้วใช่ไหมว่าเล่นด้วยผิดคนแล้ว? แต่จะบอกอะไรให้นะ…มันสายเกินไปแล้ว!”
ฟู่เอ๋อร์ตะโกนขู่เข็ญเสียงดังลั่น
บรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเหลียวเซียวหยุนที่เพิ่งเดินพ้นผ่านออกจากประตูมหาลัยไป เพื่อเดินทางไปซื้อชุดเสื้อผ้า ก็ดันเห็นข้พอดีและเร่งรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว
“มันจบแล้ว! ฟู่เอ๋อร์หัวเสียจริงๆ ถึงขั้นเรียกพวกมารุมงี้เลย!”
“ไม่นะ…พวกเราจะทำยังไงดี? ถ้าเขาถูกกระทืบจนส่งโรงพยาบาล พวกเรายังจะไปฝึกงานที่สองบริษัทนั้นได้อยู่ไหมเนี่ย?”
“แต่เราจะทำอะไรเ? อีกฝ่ายคือฟู่เอ๋อร์เชียวนะ! ใครจะกล้าเข้าไปหยุด?”
พวกเขาเหล่านักศึกษาต่างเศร้าสลดใจอย่างยิ่งยวด เพราะต่างคิดกันไปว่าจ้าวเฉียนไม่รอดแน่นอน ดันมาซวยที่ทำให้ฟู่เอ๋อร์หงุดหงิดแท้ๆ
ถึงจะมีคนที่รวยและดีกว่าฟู่เอ๋อร์ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีใครเกเรเท่าเขาอีกแล้ว
กล่าวได้ว่า จ้าวเฉียนชะตาขาดแล้วก็ว่าไก้
จ้าวเฉียนชักมือกลับและเหลือบสายตาหันมาพูดกับฟู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มว่า
“ผมเองก็ไม่ได้อยากหนีไปไหน แต่เหลียวเซียวหยุนเห็นขี้หน้าคุณไง ดังนั้นเธอเลยอยากหนีไปให้ไกลๆ จากคุณ เห้ออ…คุณนี่มันไม่มีใครอยากคบหาด้วยจริงๆ นะว่าไหม?”
เหลียวเซียวหยุนกลอกตามองบนในทันใด ก่อนจะต่อยแขนจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งและกล่าวว่า
“ยังจะมาพูดไร้สาระอยู่อีก รีบวิ่ง…”
ทันใดนั้นเหลียวเซียวหยุนพลันรู้สึกผิดขึ้นมาทันควัน ตลอดทั้งวันนี้เธอหลอกให้จ้าวเฉียนมาใช้ประโยชน์ อีกฝ่ายเองก็หัวเสียไม่น้อยเช่นกัน แต่ถ้าจะให้มาโดนทำร้ายเพราะเธอแบบนี้ มันก็….
จ้าวเฉียนตบไหล่เหลียวเซียวหยุนแสนทะนุถนอม หันมากล่าวกับฟู่เอ๋อร์ว่า
“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ เธอลงทุนถึงขนาดเอาผมมากันคุณไว้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เธอรังเกียจคุณขนาดไหน แต่คุณก็ยังหน้าด้านตามตื้อไม่หยุด คำว่า ‘ยางอาย’ มีบ้างรึเปล่าครับ?”
“มึง…”
ฟู่เอ๋อร์โกรธจัดจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง ถึงขั้นสำลักน้ำลายไอออกมาอย่างรุนแรง
บรรดาผู้คนโดยรอบที่เห็นภาพฉากแบบนั้น ต่างพากันหัวเราะ
“โอ้ โอ้…คุณชายฟู่ไม่สบายรึเปล่าครับ? ถ้าเป็นแบบนี้ผมยิ่งปล่อยเสี่ยวหยุนไว้กับคุณไม่ได้เลย เดี๋ยวแพร่เชื้อให้เธอขึ้นมา เชื้อ ‘สันดานหมา’ อาจส่งต่อไปถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”
ประโยคอันสุดแสนจะยั่วยุนี้ของจ้าวเฉียนยิ่งทำให้ความโกรธของฟู่เอ๋อร์ทวีเป็นหลายเท่าตัว
“มึงพล่ามอะไรของมึง! ถ้ายังไม่หุบปากกูจะกระทืบมึงให้พิการไปเลย!”
จ้าวเฉียนยิ้มแย้มเชิงต้อนรับด้วยความยิ่งดีปรีใจ นอกจากนี้ยังกวักมือยั่วยุให้เข้ามา
ฟู่เอ๋อร์โกรธจัด คำรามเสียงดังสนั่น
“มึงอยากตายจริงๆ ใช่ไหม!? ได้! มึงเตรียมตัวตาย! พวกนายไปล็อกตัวมันมา! ฉันจะสั่งสอนมันเอง!”
ฟู่เอ๋อร์ออกคำสั่งในทันใด บรรดาพี่น้องเหล่านี้รับเงินจากเขามาในจำนวนไม่น้อย ย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง
“ฉันบอกให้ออกไป! ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย?!”
เหลียวเซียวหยุนเอ่ยอุทานพึมพำกับตัวเองด้วยความกังวล
“นายมันบ้าไปแล้วรึไง! ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน คิดว่าตัวเองเป็นเฉินหลงเหรอ?”
เธอหันมาบ่นกับจ้าวเฉียน
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเลิกคลาส นอกจากกลุ่มนักศึกษาที่ทยอยออกมา ยังมีคณะอาจารย์ที่กำลังเดินทางกลับด้วยเช่นกัน
และบังเอิญว่า อาจารย์คณะบริหารที่เหลียวเซียวหยุนอยู่ก็ออกมาเห็นพอดีเช่นกัน พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกับเหลียวเซียวหยุนกำลังถูกดักล้อม อาจารย์คนนั้นจึงรีบวิ่งไปถามทันทีว่า
“เกิดอะไรขึ้นกัน?!”
ฟู่เอ๋อร์และบรรดาพี่น้องของเขาที่ล้อมจ้าวเฉียนถึงกับผงะในทันใด พวกเขากำลังเหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนี
“ไอ้เด็กพวกนี้! นี่มันหน้ามหาลัยนะ! ไม่ใช่ข้างถนนที่พวกคุณจะทะเลาะตบตีกัน! จะรีบไสหัวออกไปหรือต้องให้โทรแจ้งตำรวจ!”
อย่างไรก็ดี อาจารย์ที่เป็นคณบดีที่อยู่ในคลาสเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ของเหลียวเซียวหยุนก็ตามออกมาสมทบ เขาค่อนข้างมีสถานะศักดิ์สูงมากในมหาลัยแห่งนี้ และเป็นที่เคารพของทุกคน ฟู่เอ๋อร์ที่เห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยให้จ้าวเฉียนรอดออกไปเช่นกัน
“มึง! ถ้ามึงยังเหลือความเป็นผู้ชายอยู่บ้าง ออกไปที่ภูเขาทางเหนือกับกูแล้วตัดสินกันที่นั่น! ถ้าปอดแหกก็ไสหัวไปซะ มึงไม่มีคุณสมบัติมายุ่งกับเสี่ยวหยุนของกู! แต่จำเอาไว้เลย ครั้งหน้าที่เจอ กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่!”
เหลียวเซียวหยุนตะคอกสวนกลับไปว่า
“ฟู่เอ๋อร์พอได้แล้ว! เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉันเอง เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย! ถ้าจะมาหาเรื่องก็มาหาเรื่องฉัน!”
ฟู่เอ๋อร์หัวเราะเย้ยเยาะ เอ่ยตอบกลับไปว่า
“นี่มันการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชาย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! ถ้ามึงแน่จริงก็ตามกูมา!”
จ้าวเฉียนส่ายหัวเล็กน้อย ฟู่เอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะทันที
“มึงเริ่มกลัวแล้วใช่ไหม? งั้นคุกเข่าขอโทษกูก่อน และสัญญาต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่มายุ่งกับเสี่ยวหยุนของกูอีกต่อไป! แล้วกูจะปล่อยมึงไป!”
ฟู่เอ๋อร์เหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัย
ทว่าจ้าวเฉียนกลับระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยตอบไปอย่างเฉยเมยว่า
“ผมเกรงว่าทั้งพี่น้องของคุณรวมไปถึงตัวคุณคงต้องนอนติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน ผมเตือนแล้วนะ ไสหัวไปซะ”
ทันทีที่คำกล่าวของจ้าวเฉียนเปล่งดังออกมา ฝูงชนบริเสณจุดเกิดเหตุพลันระเบิดความโกลาหลออกมาในทันใด โดยส่วนใหญ่คนพวกนี้ไม่รู้จักจ้าวเฉียน
“พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมถึงหยิ่งผยองได้ขนาดนี้? อย่าว่าแต่ฟู่เอ๋อร์เลย แค่โดนพวกพี่น้องที่อีกฝ่ายจ้างมาก็ปางตายแล้ว เขาไม่กลัวเลยรึไง?”
“บางทีเขาอาจแสร้งทำเป็นเก่งต่อหน้าแฟนนั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้นต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ เป็นฉันก็ลงจากหลังเสือไม่ได้หรอก”
“แต่ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาแย่แน่!”
“เห้ออ…ฉันหวังว่าฟู่เอ๋อร์จะเว้นไว้สักคนนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริง มีหวังอดฝึกงานแน่นอน!”
“จะเป็นไปได้ยังไง? พูดยังกับไม่รู้จักฟู่เอ๋อร์ หมอนี่ส่งคนนอนโรงพยาบาลไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ซวยจริงๆ …”
ฟู่เอ๋อร์ไม่คิดจะมอบโอกาสจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อรนหาที่ตายเองแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ เขาตะโกนลั่นขึ้นว่า
“มึงรนหาที่ตายเองนะ ก็อย่าโทษกูล่ะกันว่าไม่ให้โอกาสมึงกลับใจ พวกเรา! กระทืบมัน!”
“ฮ่าฮ่าๆๆ …ผมกลัวจังเลยครับ”
สองมือล้วงกระเป๋า จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเย้ยหยันเป็นคำตอบ
“ได้! งั้นมึงอยู่เฉยๆ นะอย่าขยับ! พี่เป่ย น้องซาน จัดการ!”
ฟู่เอ๋อร์คำรามลั่นสั่งการทันที
“เห้ยพวกมึงอ่ะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”
แต่ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงแสนเกรี้ยวกราดของอันตพานก็ดังขึ้นสนั่นทั่วบริเวณ ทุกคนต่างชะงักหยุดโดยพลัน สถานการณ์ทั้งหมดเงียบสงัดไปชั่วขณะ เจ้าของเสียงตะโกนโหลั่นนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก โจวเฉิง เจ้าถิ่นในเขตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาได้ชื่อว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของหนึ่งในสองขั้วอำนาจแห่งโลกมืดในเมืองตงไห่,หยางหู่ จะเห็นได้ว่าเขาผู้นี้มีอิทธิพลขนาดไหน
แต่ไม่ว่าโจวเฉิงจะแข็งแกร่งหรือมีอำนาจเพียงใด แต่เขาก็ซื่อสัตย์ต่อพี่ใหญ่หยางหู่เป็นอย่างยิ่ง
บรรดาพี่น้องนับหลายสิบคนที่หู่เอ๋อร์เรียกมาถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หยาดเหงื่อรินไหลทั่วทั้งหน้าผากด้วยความยำเกรง หนึ่งในผู้นำกลุ่มพี่น้องเหล่านั้นมีชื่อว่า หม่าซือ ซึ่งเขาคนนี้ก็เป็นลูกน้องของโจวเฉิงอีกที
“ลูกพี่เฉิง!”
“ลูกพี่เฉิง…”
เมื่อเห็น ‘ลูกพี่ใหญ่’ ทุกคนถึงกับยืนตรงและโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง
ฟู่เอ๋อร์เองรีบยืนตรงพร้อมโค้งหัวทำความเคารพทันที
“พี่เฉิง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”
โจวเฉิงเหลือบมองฟู่เอ๋อร์อย่างเย็นชา และตอบกลับไปว่า
“ฉันได้ยินมาว่า มีเรื่องกันแถวนี้ ก็เลยต้องรีบออกมาดู”
“ฮ่าฮ่า…ต้องเกรงใจพี่เฉิงแล้ว! ผมแค่กำลังจะสั่งสอนบทเรียนให้ไอ้หมอนี่ มันไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูงกล้ายุ่งกับคนของผม พี่เฉิงมาที่นี่อย่าได้เสียเที่ยวเปล่า หลังจากที่ผมสั่งสอนมันเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมขออาสาเลี้ยงอาหารพี่เฉิงสักมื้อนะครับ”
ฟู่เอ๋อร์กล่าวขึ้นพร้อมทีท่าอวดเบ่งราวกับผู้มีชัย
ในเวลานั้นเองหยางหู่ก็ส่งข้อความผ่านWechatถึงจ้าวเฉียน
“คุณชายจ้าว ผมส่งโจวเฉิงไปแล้ว คุณชายกลับได้ตามสะดวกเลยครับ ที่เหลือเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง”
จ้าวเฉียนเก็บโทรศัพท์มือถือไปและกล่าวกับโจวเฉิงขึ้นว่า
“พี่เฉิง งั้นผมฝากจัดการที่เหลือต่อด้วยนะครับ เจ้าหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองเกินไป ฝากดัดสันดานให้ทีนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ! ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง!”
โจวเฉิงหันมาโค้งศีรษะให้จ้าวเฉียนด้วยความเคารพ
ทุกคนที่เห็นต่างตะลึงเป็นอย่างยิ่ง! นี่มันเรื่องอะไรกัน?
โดยเฉพาะกับฟู่เอ๋อร์ที่ตื่นตระหนักสุดขีด เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“พี่เฉิง นี่…นี่หมายความว่ายังไงครับ?”
“แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? คุณชายผู้นี้บอกว่าแกหยิ่งผยองเกินไป ฉันต้องดัดนิสัยแกสักหน่อยแล้ว ไอ้เป่ย ไอ้ซาน! จับตัวมันไว้!”
โจวเฉินออกคำสั่งเบ็ดเสร็จ ฟู่เอ๋อร์ไม่มีแม้แต่โอกาสพูดอธิบายใดๆ เสี้ยวอึดใจต่อมาเขาก็ถูกเหล่าพี่น้องที่จ้างมาล็อกตัวทันที
“ไม่! ไม่…ไม่พี่เฉิง พี่จะทำแบบนี้กับผมไม่ได้!”
ฝูงชนโดยรอบถึงกับอ้าปากค้าง ขากรรไกรแทบร่วง
“นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? พี่เฉิงมาช่วยเขาแทนงั้นเหรอ?”
“เขาเป็นใครกันแน่? ขนาดพี่เฉิงยังต้องสุภาพกับเขาขนาดนั้น! กลับเป็นฟู่เอ๋อร์แทนที่เล่นผิดคนแล้ว!”
“สมแล้วที่เป็นดาวมหาลัย! เธอสายตาเฉียบคมเกินหยั่งถึง! ภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้เป็นยังไงกันแน่? ขนาดลูกพี่ใหญ่อย่างพี่เฉิงยังต้องให้ความเคารพ!”
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ …”