ตอนที่190 ฉันจะทำลายชีวิตนาย
เมื่อเห็นอู่เลอดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เฟิงเต๋อก็ระเบิดหัวเราะขึ้นทันทีอย่างมึความสุข
“อิทธิพลอำนาจแม้แต่ผียังต้องถอย ไม่มีใครในโลกทนที่จะถูกล่อลวงด้วยเงินได้ ฮ่าฮ่า..”
เฟิงเต๋อครุ่นคิดอยู่ภายในใจ กล่าวได้ว่าแทบจะสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลยทีเดียว
สีหน้าของหวานเจียงดูน่าเกลียดยิ่ง เธอตระหนักได้ทันที การที่เฟิงเต๋อทำแบบนี้นี่มันจงใจยั่วยุจ้าวเฉียนชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ? จากที่เธอรู้จักจ้าวเฉียนดี เฟิงเต๋อกำลังประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว
หากไม่จวนตัวจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามห้ามยั่วยุจ้าวเฉียนเป็นอันขาด นี่คือคติของหวานเจียงที่มีต่อเขา
จ้าวเฉียนไม่ใช่พวกคนใจร้อนอันใด เขายิ้มและกล่าวกับเฟิงเต๋อว่า
“ผู้กำกับเฟิงหมายความว่ายังไงครับ? คิดจะฉกคนของผมไป?”
เฟิงเต๋อหัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยตอบกลับไปว่า
“มันเป็นสัจธรรมที่นายควรยอมรับนะ ใครจ่ายได้มากกว่าก็ได้รางวัลไป หรือนายยังไม่เข้าใจความจริงข้อนี้อีกงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยเยาะเป็นคำตอบ กล่าวถามขึ้นแทนว่า
“แล้วคุณมีเท่าไหร่?”
“ทำไมนายถึงดูไม่ค่อยมั่นใจเลยย่ะ? ฉันไม่เพียงแค่มีเงินมากพอที่จะซื้อเขาได้เท่านั้น แต่ฉันยังมีอนาคตที่สดใสเป็นสิ่งประกันให้กับเขาอีกด้วย ถ้าพวกเขาติดตามคุณ คงต้องนั่งแข่งรถไปจนตาย ชีวิตหลังเกษียณได้แต่เพิ่งบุญเก่า นั่งซ่อมรถ ถ่ายภาพคู่กับน้ำมันเครื่อง พร้อมค่าตัวไม่กี่หยวน ฮ่าฮ่า…แต่ถ้าอยู่กับผม เป็นได้ทั้งดาราไปจนแก่ มีลิขสิทธิ์ค่าตัวจ่ายให้ไม่ขาดมือ พอได้ยินแบบนี้แล้ว คุณควรละอายใจแล้วปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีกว่านี้เถอะนะ”
เฟิงเต๋อหัวเราะเยาะตอบ
จ้าวเฉียนเหลือบมองเฟิงเต๋ออแววตานิ่งสงบ สักครู่หนึ่งจึงเอ่ยขู่ขึ้นว่า
“คุณรู้ไหมครับว่า การจะทำลายอนาคตของคนๆ หนึ่งที่จริงแล้วมันง่ายขนาดไหน?”
เฟิงเต๋อคลี่ยิ้มเยาะ กล่าวสบประมาทตอบไปว่า
“จะทำลายอนาคตผมรึไง? นายมีความสามารถขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? ก็ลองดูสิ! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่านายจะมีปัญญาทำลายอนาคตฉันได้ยังไง!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าคลี่ยิ้มตอบ แต่ขณะที่เขากำลังปริปากกล่าว หวานเจียงก็ตรงเข้ามาขัดจังหวะทันที
“ผู้กำกับเฟิงใจเย็นก่อนนะคะ นายก็ด้วยจ้าวเฉียน”
จ้าวเฉียนยังพอเห็นแก่หน้าหวานเจียง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบและไม่กล่าวอะไรอีกเลย
แต่ไม่สำหรับเฟิงเต๋อ เขาไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปง่ายๆ ไม่ว่ายังไงเขาต้องได้ตัวอู่เลอมาถ่ายหนังให้ได้ และอันที่จริงเขาหวังจะหลอกล่อพวกอู่เลอโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท แค่มาบอกข้อมูลจำเพาะและศัพท์เกี่ยวกับรถแข่งเท่านั้น พอเสร็จสิ้นค่อยเตะทิ้งก็ยังไม่สาย
อีกประการหนึ่งคือ เฟิงเต๋อรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังท้าทายตำแหน่งหน้าที่การงานของตนอยู่ เขาเป็นถึงผู้กำกับดาวรุ่งแห่งยุค ในขณะที่จ้าวเฉียนเป็นแค่ผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ แต่ดันกล้าพูดจาเถียงแบบนี้ เขาในฐานพี่ใหญ่ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ
นอกจากนี้เอง เฟิงเต๋อยังอยากทำให้หวานเจียงมาสนใจอีกด้วย ยังไงซะ เธอเป็นถึงลูกสาวคนโตของประธานฮวาหยินกรุ๊ป ถ้าได้เธอมาครอบครองก็ไม่ต่างอะไรจากได้ฮวาหยินกรุ๊ปมาเช่นกัน แล้วแบบนี้ใครจะอดใจไหว?
แล้วไอ้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างจ้าวเฉียน บังอาจกล้าเข้ามายุ่งกับเธอ พฤติกรรมต่ำทรามแบบนี้ยิ่งจำเป็นต้องสั่งสอน
อย่างไรก็ตาม จ้าวเฉียนไม่ได้คิดสิ่งอื่นใดเลยในตอนนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคือ เขาต้องการทำลายอนาคตของเฟิงเต๋อซะ
จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวกับเฟิงเต๋อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ถ้าอย่างนั้น เรามาลองดูกันไหม ภายในสิบวัน ผมจะทำลายชีวิตของคุณไม่ให้เหลือชิ้นดีเลย”
“ให้ตายสิ! ผมกลัวจัง! กลัวจะตายอยู่แล้ว! อยากรอดูเลยครับว่าจะทำอะไรผมได้! ฮ่าฮ่าๆๆ … ให้ตายสิ! ขำจะหายใจไม่ทันแล้ว!!”
เฟิงเต๋อระเบิดหัวเราะเจือปนน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป และหันไปหาหวานเจียงพร้อมกล่าวว่า
“อย่าไปร่วมมือกับเขาอีก อีกไม่นานเขาก็เป็นได้แค่ผู้กำกับตกกระป๋องแล้ว”
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็พาอู่เลอและคนอื่นๆ จากไป
จ้าวเฉียนยังคงมีสิทธิ์ควบคุมทีมนี้และเฟิงเต๋อไม่สามารถเข้าแทรกแซงใดๆ ได้
อู่เลอกล่าวปลอบโยนจ้าวเฉียนทันทีว่า
“บอส ไม่ต้องไปเสียเวลาโมโหคนแบบนี้เลย”
“ใช่ครับ! พี่เลอพูดถูกแล้ว อย่าไปหัวเสียกับคนนิสัยแบบนี้เลย มันคงคิดว่าตัวเองดีเด่มากจากไหนวะ?”
“ผู้กำกับดาวรุ่งบ้าบออะไร? ไม่เห็นเคยดูหนังของมันสักเรื่อง”
เพิ่งได้แชมป์ขสนามนี้มา นี่ควรจะเป็นเวลาแห่งความสุข จ้าวเฉียนจึงไม่อยากไปทำลายอารมณ์ของทุกคน เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจไปว่า
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจคนแบบนี้อยู่แล้ว จะว่าไปนี่ก็ใกล้เวลาขึ้นรับรางวัลแล้วไม่ใช่เหรอ? แชมป์ของเรายังไม่เตรียมตัวไปอีกเหรอ?”
อู่เลอสะดุ้งเฮือกราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ และรีบวิ่งไปทื่แท่นรับรางวัลทันที
หลังพิธีมอบรางวัลเสร็จสิ้น อู่เลอก็รีบวิ่งกลับมาอย่างตื่นอกตื่นเต้นพร้อมกับถ้วยรางวัลในมือและเช็คจำนวน1ล้านหยวน
ทุกคนต่างเข้าไปแสดงความยินดีอีกครั้ง แย่งทั้งถ้วยรางวัลทั้งเช็คออกไปเชยชมกันเล่น
จ้าวเฉียนเองก็ปฏิบัติตามสัญญา และกล่าวกับอู่เลอว่า
“ฉันเพิ่งบอกพวกเขาไปก่อนหน้าว่า ตราบใดที่นายสามารถคว้าแชมป์ได้ เงินจำนวน1ล้านหยวนที่เป็นรางวัลฉันจะไม่แตะต้องเด็ดขาด และให้พวกนายกลับไปแบ่งสรรเอาเองเลย คิดซะว่าเป็นโบนัสแล้วกัน”
อู่เลอคลี่ยิ้มกว้าง เขามีความสุขอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น และรีบกล่าวขอบคุณทันที
“บอสครับ ผมขอบคุณมากจริงๆ!”
คนอื่นๆ เองก็แหกันมาขอบคุณจ้าวเฉียนตามลำดับเช่นกัน สำหรับความใจกว้างในครั้งนี้
จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบไปว่า
“ไม่ต้องขอบคุณเลย นี่เป็นสิ่งที่พวกนายควรจะได้แล้ว เอาล่ะ รีบไปฉลองกันดีกว่า!”
มีจ้าวเฉียนเป็นแกนนำ พาทุกคนเข้าโรงแรมตงไห่ทันที
พอเข้าไปถึงตัวโรงแรมก็พบกับอู่ซินที่ถืออาวุธครบมือ ทั้งสเปย์พริกไทยและ ออดฉุกเฉิน ทั้งยังสวมหมวกใส่ผ้าปิดปาก รวมไปถึงแว่นตากันแดดสีดำนั้นอีก เรียกได้ว่ามิดชิดเสียยิ่งกว่ามิดชิด
อู่ซินที่เห็นจ้าวเฉียนพันผ้าก๊อชบนหัวอยู่แบบนั้น เธอก็รีบวิ่งเข้ามาถามสีหน้าวิตกทันทีว่า
“พวกนั้นตีหัวนายด้วยเหรอ? ไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรไง? ทำไมต้องโกหกฉัน!”
จ้าวเฉียนยิ้มอ่อน เร่งสร้างเรื่องอธิบายทันที
“เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว! ฉันลื่นล้มระหว่างอาบน้ำ แล้วหัวดันไปฟาดกับของอ้าง หมอบอกไม่เป็นอะไรมาก ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“โถ่…ฉันก็กลัวแทบตาย คิดว่าพวกนั้นลงมือกับนาย แล้วอาบนิ้อีท่าไหนถึงเผลอล้มได้เนี่ย?”
อู่ซินเลิกคิ้วเอ่ยถาม
จ้าวเฉียนยักไหล่ราวกับจะสื่อก็ ‘ก็นะ’ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เอาน่า ฉันสบายดี ไม่ตายง่ายๆ หรอก พี่ชายเธอคว้าถ้วยมาได้ ระหว่างเห็นว่ากอดไม่ปล่อยเลย ฮ่าฮ่าๆ”
อู่ซินอดขำไม่ได้และวิ่งไปกอดพี่ชายพร้อมอวยพรให้
“ยินดีด้วยนะคะ ในที่สุดพี่ชายก็ทำได้แล้ว! หนูรู้อยู่แล้วว่า พี่หนูเก่งที่สุด!”
อู่เลอยิ้มตอบอย่างมีความสุขว่า
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอกับบอสจ้าวนั่นแหละ ถ้าไม่มีพวกเธอทั้งคู่ ฉันคงไม่มีทางก้าวมาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน!”
จากนั้นทุกคนก็รับประทานอาหาร เลี้ยงฉลองกันอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน
การที่อู่เลอคว้าแชมป์ได้อย่างกะทันหันแบบนี้ กล่าวได้ว่าเป็นม้ามืดประจำฤดูกาลอย่างแท้จริง หลังจากติดต่อสอบถามคนมี่พอรู้เรื่องก็ได้ความมาว่า แท้ที่จริงแล้ว ทีมของอู่เลอเป็นทีมที่เคยโดนยุบมาก่อนเนื่องจากขาดแคลนเม็ดเงินสนับสนุน พอทราบแบบนี้หลากหลายทีมใหญ่จึงติดต่อมาหาอู่เลอ หวังแทรกแซงและดึงตัวออกจากมือจ้าวเฉียน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็เดินออกไปสูดอาการหน้าโรงแรมตงไห่ แต่กระนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขายังคงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน และด้วยนิสัยส่วนตัวของอู่เลอ ถ้าเป็นเบอร์แปลกหน้า เขามักจะไม่ค่อยอยากรับสาย ยิ่งรู้ถึงจุดประสงค์ของคู่สายแล้ว เขายิ่งไม่อยากรับเข้าไปใหญ่
โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นของอู่เลอยังคงดังไม่ขาดสาย และเขาคิดว่า สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนให้พ้นจากสายตาของจ้าวเฉียนได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เขาจึงมอบมันให้แก่จ้าวเฉียนโดยตรง
“บอสครับ เชิญเอาไปตรวจสอบได้ตามสะดวกเลยครับ”
จ้าวเฉียนเพียงยิ้มบางเป็นคำตอบ และไม่แม้แต่เหลือบมองมือถือเครื่องนั้นแม้สักนิด เขาผลักมันกลับคืนไปให้อู่เลอทันที
“ฉันเชื่อใจในตัวนาย และหากไม่เชื่อใจนายขนาดนี้ ฉันคงไม่กล้าลงทุนกับนายตั้งแต่แรกหรอกนะ”
อู่เลอรู้สึกซึ้งใจอย่างมากจนทำให้เขารู้สึกเคารพจ้าวเฉียนมากขึ้นไปอีก
“บอสสบายใจเลยครับ ผมไม่ใช่พวกลืมบุณคุณใคร หลังจากนี้ผมจะพยายามฝึกซ้อมให้หนักขึ้น เพื่อไม่ให้บอสจ้าวผิดหวังครับ!”
จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อยพลางกอดคออู่เลออย่างสนิทชิดเชื้อ
“เข้าใจแล้วน่า กลับกันเถอะ บอกให้เจ้าพวกนั้นแยกย้ายได้เลยนะ ฉันจ่ายเงินค่ากินดื่มหมดแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน โชคดี!”
จ้าวเฉียนโบกมือลาอู่เลอและขับรถจากไปโดยตรง
แล่นผ่านถนนมาครึ่งสาย จ้าวเฉียนจอดรถเทียบฟุตบาทและโทรเรียกหยางหู่โดยไว
“ครับคุณชายจ้าว มีอะไรให้รับใช้ครับ?”
“รู้จักผู้กำกับที่ชื่อเฟิงเต๋อไหม?”
“รู้จักครับ ผู้กำกับดาวรุ่งในขณะนี้ใช่ไหมครับ? มันทำอะไรให้คุณชายขุ่นเคืองเหรอครับ?”
“มันบังอาจล้ำเส้นฉัน และฉันจะทำลายชีวิตมัน”
“เข้าใจแล้วครับ”
จ้าวเฉียนวางสายลงทันทีเป็นอันเข้าใจ
งานของหยางหู่ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดีเสมอและไม่เคยพลาด ในความเห็นของจ้าวเฉียน อนาคตของเฟิงเต๋อจบสิ้นแล้ว
จ้าวเฉียนเดินทางกลับไปนอนแอดมิดที่โรงพยาบาล ทันทีที่มาถึงห้อง เขาก็ถูกพยาบาลสาวสวยสวดยับในบัดดล
“โอ้เอ้นะครับ คุณพยาบาลคนสวย โกรธแล้วแก่เร็วน๊า”
พยาบาลสาวคนนั้นหุบยิ้มแทบไม่ทันด้วยความเขินอาย ก่อนจะปั้นหน้าดุกล่าวซ้ำไปว่า
“อย่ามาพูดแบบนี้กับดิฉันนะคะ! คุณรู้ไหมว่าผู้อำนวยการลี่โกรธมากที่ปล่อยคุณออกไปจากโรงพยาบาล ฉันโดนเขาเรียกไปดุจนชาเลย!”
“แหม ก็ผมแทบจะหายดีเป็นปกติแล้ว ได้คุณพยาบาลคนสวยดูแลผมดีขนาดนี้ ถึงจะโดนคุณดุ ผมก็ยอมนะ”
ใบหน้าสวยของพยาบาลคนนั้นแดงก่ำโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะยกแฟ้มในมือทุบจ้าวเฉียนไปทีหนึ่ง แต่เธอยังคงแอบยิ้มตอบไปว่า
“ทำไมคุณทะลึ่งแบบนี้นะ! เข้านอนได้แล้วค่ะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะตามผู้อำนวยการลี่มาดุด้วยตัวเอง! หึ!”
พยาบาลคนสวยหมุนตัวควับและเดินจากไปทันที ส่วนจ้าวเฉียนก็ยืนมองเธออยู่นานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเอนตัวนอนลงอย่างสบายใจ
ไม่นานหลังจากนั้น อู่ซินก็โทรสายเข้ามาหาจ้าวเฉียน เธอเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า
“จ้าวเฉียน แผลบนหัวนายโอเคไหม? เดี๋ยวฉันไปเยี่ยมดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว ไม่ต้องลำบากมาหรอก”
“อืม ถ้าเป็นอะไรให้รับโทรบอกฉันเลยนะ แค่นี้แหละ”
จ้าวเฉียนกดวางสายบไป และไม่กี่เสี้ยวอึดใจต่อมา หวานเจียงก็โทรมาหาเขาต่อเนื่องกันทันที
“ฮาโหล นายอยู่ไหน? ไม่ได้อยู่ที่โรงแรมตงไห่แล้วเหรอ?”
หวานเจียงกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด
“อยู่โรงพยาบาล!”
จ้าวเฉียนตอบไปตามตรง
“ห่ะ? โรงพยาบาล? ไปทำอะไรที่นั่น? ม่อพยาบาลเล่นรึไง?”
หวานเจียงเอ่ยถามเชิงกวนประสาท
“ตอนที่อยู่ในสนามแข่งไม่สังเกตเห็นเลยรึไง? หน้าผากผมเป็นแผล ตอนที่ออกไปสนาม ผมถึงกับต้องหนีพยาบาลออกมาเลยนะ พอกลับมาก็โดนดุอีก!”
“เออ! สมควรแล้ว! แล้วนายอยู่โรงพยาบาลไหน?”
“โรงพยาบาลเขต1”
“โอเค เดี๋ยวไปเยี่ยม”
หวางเจียงกดวางสายทิ้งทันทีหลังพูดจบ และขับรถไปที่โรงพยาบาลเขต1เพื่อไปหาจ้าวเฉียน