ตอนที่202 คงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ไม่ได้
ฟู่เทียนกรนด่าสาปส่งเสียงใหญ่ รีบตรงไปหาจ้าวเฉียนพร้อมกระชับกำปั้นโจมตีสุดกำลัง แต่จ้าวเฉียนหาได้เกรงกลัวใดๆ ยกบาทาขึ้นเตะสวนอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่นับหลินหยิงที่เป็นถึงปรมาจารย์คาราเต้สายดำ คนธรรมดาทั่วไปจะสู้จ้าวเฉียนได้ยังไง? มิฉะนั้นแล้วความยากลำบากตลอดภาคฤดูร้อนในวัยเด็กของเขาที่ฝึกฝนในวัดเส้าหลิน คงจำต้องไร้ประโยชน์เสียแล้ว?
มีนักศึกษามากมายคอยเฝ้าจับจ้องจำนวนมาก ฟู่เอ๋อที่โดนบาทากระทุ้งเข้าลิ้นปี่อย่างจังถึงกับทรุด แต่ก็พยายามปั้นสีหน้าคล้ายดั่งว่าไม่เจ็บ ทว่าใบหน้ากลับซีดเซียวเกินหักห้ามไหว
“ไอ้เวร! เดี๋ยวก่อนเถอะ! แล้วจะได้เห็นดีกัน รออีกไม่นาน แกไม่ตายดีแน่!”
จ้าวเฉียนได้ฟังดังนั้นพลันขมวดคิ้วขึ้นทันที ตีความจากคำกล่าวของฟู่เอ๋อนี่หมายความได้ว่า น่าจะมีใครบางคนกำลังคิดวางแผนจัดการกับเขาอยู่
“นายน้อยฟู่ คิดจริงๆเหรอครับว่า แค่เห่าหอนสองสามทีแล้วผมจะกลัว?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะจงใจยั่วอีกฝ่าย
ฟู่เอ๋อเย้ยหยันตอบกลับไปทันที
“ไม่กลัวใช่ไหม? เดี๋ยวอีกไม่กี่วันได้รู้แน่!”
เหตุผลที่เขากล้าพูดแบบนี้เพราะว่า นักฆ่ามืออาชีพจากเมืองอื่นที่เขาจ้างมากำลังเดินทางมาถึงแล้ว พวกเขารับเงินเต็มจำนวน กำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อย จ้าวเฉียนใกล้ชะตาขาดเต็มทนแล้ว
สีหน้าของจ้าวเฉียนดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงจริงจังเอ่ยถามไปว่า
“เท่าที่ฟังมา คุณคงหมายถึงกำลังมีคนมาเก็บผมงั้นเหรอ?”
ฟู่เอ๋อระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวว่า
“เออแล้วเป็นยังไง! เริ่มกลัว?”
จ้าวเฉียนเค้นเสียงเย็นคำหนึ่ง กล่าวตอบไปอย่างไม่แยแสว่า
“ผมไม่กลัว แค่อยากจะบอกอะไรคุณสักหน่อยว่ามันเปล่าประโยชน์ ถ้ากล้าเล่นไม้นี้กับผม ผมเองก็ไม่สุภาพแล้วเหมือนกัน สุนัขอย่างคุณคงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
“ฮ่าฮ่าๆๆ….กลัวชิบหายเลยวะ! กูตรวจสอบมาหมดแล้ว หยางหู่ช่วยแกเพราะเห็นแก่เงินทั้งนั้น แกยัดเงินให้มัน! แต่ถ้าคราวนี้พบเจอศัตรูมีฝีมือของจริง กูมั่นใจเลยว่า ต่อให้เป็นมันก็ไม่กล้าเข้ามาช่วย! เตรียมตัวตายซะไอ้ขยะ!”
ฟู่เอ๋อถ่มน้ำลายลงพื้น เอ่ยกล่าวด้วยความสะใจยิ่ง
จะเห็นได้เลยว่าฟู่เอ๋อแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นจ้าวเฉียนกลายเป็นศพ ดังนั้นเขาจึงกล้าบอกทุกอย่างออกไปแบบนี้
คนที่เขาจ้างวานมาเป็นถึงนักฆ่ามืออาชีพ แม้ว่าเจ้าตัวจะโดนจับ แต่รับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันทรยศต่อนายจ้าง
เหลียวเซียวหยุนที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดยิ่งทวีความโกรธจัดด ฟู่เอ๋อกับจ้าวเฉียนบาดหมางกันขนาดนี้เป็นเพราะเธอ และตอนนี้ฟู่เอ๋อเองก็บ้าจนเสียสติไปแล้ว ถึงขั้นไปจ้างนักฆ่ามาลอบสังหารจ้าวเฉียน และเธอต้องออกมารับผิดชอบกับเรื่องนี้
“ฟู่เอ๋อ แกมันบ้าไปแล้ว! ถ้าจะสู้ก็สู้กันอย่างขาวสะอาด ไม่ใช่ไร้ศักดิ์ศรีจนถึงขั้นทำเรื่องผิดกฎหมาย! แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า!!”
ฟู่เอแสยะยิ้มอย่างขมขื่นไม่น้อย เขาเอ่ยตอบไปว่า
“นี่ตำหนิฉันไม่ได้เสี่ยวหยุน! ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ! ถ้าเธอยอมคบกับฉันก่อนหน้านี้ เรื่องราวในปัจจุบันทั้งหมดจะเกิดขึ้นเหรอ? ถ้าไม่มีมันเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วฉันจะสั่งฆ่ามันทำไม? อย่าโทษฉันที่ทำแบบนี้ โทษตัวเองซะเถอะที่ไม่ยอมทำดีกับฉัน!”
เหลียวเซียวหยุนยังคงพยายามมจะโต้เถียงกับฟู่เอ๋อ แต่ก็พลันถูกจ้าวเฉียนลากออกไป เธอรีบจับมือจ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นทันที
“นี่นายจะลากฉันออกมาทำไม ยังด่าไอ้เวรนั่นไม่เสร็จเลย! มันบอกเองนะว่าจ้างคนมาฆ่านาย นายตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”
ทว่าจ้าวเฉียนกลับยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ช่างมันเถอะ ผมจัดการได้ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
เหลียวเซียวหยุนกระตุกแขนจ้าวเฉียนอีกครั้ง เธอย้ำถามน้ำเสียงจริงจังว่า
“นี่นายรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ไหวจริงๆใช่ไหม? แต่นายไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเลย นายไม่ควรทำแบบนี้!”
จ้าวเฉียนเชยคางเหลียวเซียวหยุนเคลื่อนหน้าเข้าชิดใกล้ในทันใด พลางยิ้มหวานเอ่ยถามไปว่า
“ท่าทีดูร้อนรนแบบนี้หมายความว่าไง? เป็นห่วงผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ? คงไม่ใช่ว่า…ตกหลุมรักผมจริงๆเข้าแล้ว?”
เหลียวเซียวหยุนผลักจ้าวเฉียนออกไปทันที รีบอธิบายโดยไวว่า
“เจ้าบ้า! ฉันแค่คิดว่า เรื่องความขัดแย้งทั้งหมดระหว่างนายกับมันเกิดขึ้นเพราะฉัน ดังนั้นฉันเองไม่ใช่เหรอที่ควรออกมารับผิดชอบ? แล้วอย่างนาย…ไม่…ไม่ใช่สเป็กฉันซะหน่อย…”
จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า
“ก็ดี ถ้าคุณเผลอตกหลุมรักผมขึ้นมา ผมคงต้องหาวิธีปฏิเสธเช่นกัน ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างผม คู่ควรกับหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น”
เหลียวเซียวหยุนแทนจะอ้วกใส่หน้า เบะปากกล่าวพร้อมท่าทางขยะแขยง
“นี่นายตาบอดหรือหลงตัวเองขนาดไหนกันห่ะ? ถึงขั้นที่ต้องหาวิธีปฎิเสธฉันเลย? ดูคิดหนักดีเนอะ! อยากได้ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ งั้นนายเชิญขึ้นคานยันแก่เถอะ!”
พอพูดจบเธอก็สะบั้นมือจ้าวเฉียนออกไปทันที และเดินไปที่รถของจ้าวเฉียนด้วยท่าทีฉุนเฉียว
จ้าวเฉียนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนรีบวิ่งไปเปิดประตูรถให้เธอขึ้นไป จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ขับรถมาที่โรงแรมตงไห่ เพื่อมาหาอะไรทานกัน
เมื่อทั้งคู่กินจนอิ่มท้อง เหลียวเซียวหยุนพลันวางตะเกียบลง จู่ๆเธอก็พูดขึ้นว่า
“มาเข้าเรื่องเถอะ มีอะไรที่อยากคุยกับฉัน?”
จ้าวเฉียนยิ้มพลางวางตะเกียบลงเช่นกัน หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก ตอบไปว่า
“อะไรกันครับ? ผมแค่อยากพาคุณมาเดทเฉยๆไม่ได้เหรอ?”
เหลียวเซียวหยุนนั่งกอดอกเลิกคิ้วเล็กน้อยคล้ายท่าทีว่าไม่เชื่อ เธอกล่าวว่า
“สุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างนาย ไม่มีทางโทรหาฉันโดยไม่มีเหตุผล หากให้เดาไม่ผิดคงเป็น…เรื่องโปรเจคความร่วมมือใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้น ถือโอกาสปั้นหน้าล้อเล่นเธอตอบทันที
“โอ้…ขอปรบมือให้กับความเฉลียวฉลาดของคุณหนูเหลียวเลยครับ ถ้าคุณเกิดก่อนสตีฟจอบส์ มีหวังคงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแล้ว! คุณทั้งสวยทั้งฉลาด เริ่มจะมีคุณสมบัติเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับผมบ้างแล้วนะ”
เหลียวเซียวหยุนพลางป้องปากหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้ จ้าวเฉียนเห็นแบบนั้นจึงยิ้มถามทันทีว่า
“หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไง? คงคิดว่าสมเหตสมผลดีใช่ไหม?”
“หยุดหลงตัวเองได้แล้ว นายนี่มันจริงๆเลย! ไม่มีใครเขาหลงเสน่ห์นายหรอก! เหอะ!”
เหลียวเซียวหยุนปั้นหน้าบึ้งใส่ ทันทีที่พูดจบก็จงใจสะบัดหน้าหนีแสร้งทำเป็นโกรธ แต่รอยยิ้มสวยเกินจะปกปิดบนใบหน้ากลับทรยศต่อสิ่งที่พยายามกระทำออกมาอย่างชัดเจน
จ้าวเฉียนเห็นดังนั้นก็เริ่มพูดเข้าเรื่องทันที
“อันที่จริง คราวนี้ผมมาหาคุณก็เรื่องโปรเจคความร่วมมือนั้นแหละ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรา คงตกลงใช่ไหม?”
เหลียวเซียวหยินหยิบผ้าเช็ดปากโยนใส่จ้าวเฉียนทันที บ่นขึ้นว่า
“นายหยุดพล่ามได้แล้ว! ความสัมพันธ์ลึกซงลึกซึ้งอะไร! แม้แต่เพื่อนกันยังไม่นับ! นายก็แค่คนแปลกหน้าที่พอคุ้นเคยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ!”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น…คุณคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยครับ ตกลงเซ็นสัญญาความร่วมมือกันไหมครับ?”
เหลัยวเซียวหยุนเริ่มปั้นสีหน้าจริงจังและเอ่ยถามขึ้นแทนว่า
“นี่ฉันไม่เข้าใจนายจริงๆนะ บริษัทที่ใกล้เจ๋งนั้นมันมีดีอะไร? พวกเขาพยายามขับไล่ไสส่งนายออกตลอด แล้วทำไมยังต้องยอมเหนื่อยเพื่อ? หรือแอบหลงรักเจ้านาย? ฉันนึกคำอธิบายที่สมเหตุสมผลไม่ออกจริงๆ”
จ้าวเฉียนกลอกตาเล็กน้อยตอบไปว่า
“ผมมีหุ้นส่วนในบริษัท เดิมทีก็จะปล่อยมันไปนั้นแหละ แต่ตอนนี้พวกหุ้นส่วนคนอื่นๆดันร่วมมือกับและต้องการทำให้ผมขายหน้า แถมยังบังคับให้ไปเอาความร่วมมือกับหัวโหย้วกลับมา ถ้าทำไม่ได้ พวกมันจะต้องทำให้ผมอับอายแน่นอน ดังนั้นทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
เหลียวเซียวหยุนระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุขขึ้นทันที เอ่ยตอบกลับไปว่า
“เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะให้ง่ายๆ มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะทำให้ฉันมีความสุขได้แค่ไหน?”
จ้าวเฉียนรีบยกมือปิดหน้าอก แสร้งทำเป็นตื่นตระหนกตกใจ รีบถามขึ้นทันทีว่า
“นี่คุณหมายความว่ายังไง? จะขืนใจผมเหรอ? ผมยังบริสุทธ์นะ! ผมจะไม่ยอมให้คุณขมขื่นเด็ดขาด!”
เหลียวเซียวหยุนเดือดจัด คว้ากระเป๋าสะพายข้างตัวลุกออกไปตีใส่แขนจ้าวเฉียนหลายทีคล้ายระเบิดลง
“ทำไมนายนี่มันไร้ยางอายได้ขนาดนี้! ฉันต้องกลัวนายมากกว่าไม่ใช่เหรอไง! คิดให้ดีๆสิ! วันศุกร์นี้เป็นวันเกิดฉันแล้วนะ!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบทันที เขากล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว! ไม่ต้องกังวลเลย ฉันจะมอบของขวัญที่ไม่มีใครสามารถให้เธอได้อีกแล้ว!”
เหลียวเซียวหยุนเอ่ยถามกลับไปทันทีว่า
“ถ้าอย่างนั้นบอกฉันหน่อยว่านายจะให้อะไร?”
“ในเมื่อเป็นของขวัญ ผมบอกไม่ได้แน่นอน แต่รอเซอร์ไพรส์ได้เลย! ถ้าบอกไปก่อนก็คงไม่สนุกจริงไหม?”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบ
เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าท่าทีดูพึงพอใจ และหยิบมือถือโทรหาฟางนี่โดยตรง
“ฮาโหล สัญญาความร่วมมือของเรายังคงมีผลอยู่ จัดเตรียมมาให้เซ็นใหม่ได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่บริษัทเอง แล้วจำเอาไว้ด้วยนะว่า จ้าวเฉียนต้องอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางเซ็นแน่!”
ฟางนี่ดีใจอย่างมากเมื่อได้ยิน รีบตอบกลับไปโดยไว
“เข้าใจแล้วค่ะ! ไม่ต้องกังวลนะคะคุณเหลียว จ้าวเฉียนจะต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน ได้โปรดเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทเรานะคะ แล้วคุณจะไม่มีทางผิดหวัง”
เหลียวเซียวหยุนฮัมเพลงเสียงหวาน พลางกดวางสายไป เธอหันมาพูดกับจ้าวเฉียนต่อว่า
“ทีนี้นายพอใจรึยัง?”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบว่า
“พอใจแล้วครับ เพื่อแสดงความขอบคุณ งั้นไปเดินห้างกัน อยากได้อะไรเดี๋ยวผมจ่ายให้!”
“หุหุ…น่าสนใจดีหนิ! งั้นไปกันเถอะ!”
เหลียวเซียวหยุนตบแขนจ้าวเฉียนเบาๆ และรีบคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไป
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางและพาเธอไปห้างทันที
ตั้งแต่ที่ชางเจียกงเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารที่นี่ จ้าวเฉียนเองก็ไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลย คราวนี้เขาอยากลองมาดูเหมือนกันว่า อีกฝ่ายจะทำได้ดีแค่ไหน