ตอนที่210 นักฆ่ากำลังคืบคลาน
เหลียวปี้เอ๋อร์ที่ยอมกลับไปนั่งที่เดิมได้แบบนั้น แสดงว่าเธอเองต้องการรับความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังหมายความได้อีกว่า การเจรจาหลังจากนี้เธอคงยอมอ่อนข้อลงเช่นกัน
ทัศนคติของฟู่ไห่ค่อนข้างหนักแน่น และยังคงยืนยันคำเดิมที่จะอัดฉีดทุน100ล้านแลกกับหุ้น51% และถ้าเหลียวปี้เอ๋อร์ยังกล้าปฏิเสธในครั้งนี้ คงไม่มีโอกาสต่อไปแล้วเช่นกัน และทางฟู่ไห่เองก็จะไม่สนใจบริษัทของเธออีก
เหลียวปี้เอ๋อร์ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องสละสิทธิ์ในการควบคุมบริษัทไป แต่เธอต้องการเงินชดเชยในส่วนนี้
“ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ฉันจะยอมสละสิทธิ์ดการควบคุมให้กับทางฟู่ไห่ แต่ต้องแลกกับค่าชดเชยจำนวน200ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้นทางฉันขอเรียกสิทธิ์การควบคุมคืนมา”
เอาเข้าจริง สำหรับจ้าวเฉียนไม่ว่าจะกี่ร้อยล้านก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย ตราบใดที่เขามั่นใจแล้วว่าบริษัทนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ เขาก็ไม่สนใจเรื่องค่าชดเชยอยู่แล้ว
จ้าวเฉียนขยิบตาให้หวู่เสี่ยวหัว เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าคุณชายจ้าวอนุญาตแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวไปว่า
“เงินค่าชดเชยพวกเราอนุมัติค่ะ ตราบเท่าที่พวกเราได้หุ้นส่วนมากพอที่จะควบคุมบริษัทได้”
เหลียวปี้เอ๋อร์พยักหน้าตอบว่า
“แน่นอน เงินชดเชยจำนวน200ล้านแลกกับหุ้น51%ในมือฉัน อย่างไรก็ตาม ขอเพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข เงินทุนที่อัดฉีดเข้ามาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกคุณไม่ได้ซื้อต่อบริษัทของฉันแล้วไปขายให้กับคนอื่น”
จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปทันทีว่า
“นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยครับ ตราบใดที่พวกเราได้สิทธิ์การควบคุมมา ทางเราไม่ยอมขายให้คนอื่นแน่นอน”
ฟังโดยผิวเผิน เหมือนว่าจ้าวเฉียนพูดกับเหลียวปี้เอ๋อร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังบอกให้ทุกคนของฟู่ไห่รู้ว่า ห้ามนำบริษัทนี้ไปเก็งกำไรเพื่อขายต่อโดยเด็ดขาด
หลังจากพูดจบ จ้าวเฉียนก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ผู้จัดการหวู่คุยเรื่องสัญญากับคุณเหลียวต่อได้เลยครับ”
เหลียวปี้เอ๋อร์พลางคิดไปว่า เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมฟังบทสนทนาต่อจากนี้อีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้หยุดเขาแต่อย่างใด
พอเขาออกไปด้านนอก ก็โทรหาเหลียวเซียวหยุนทันที
“เรียบร้อยแล้ว ป้าเธอขอค่าชดเชย200ล้านเพื่อแลกกับหุ้น51%ในมือเธอ”
เหลียวเซียวหยุนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับอุทานลั่น
“200ล้าน! บริษัทของนายรวยโคตร! ต่อให้ฉันเป็นหลานยังพูดได้เต็มปากว่า ป้าเอาเปรียบมาก!”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะดังและกล่าวว่า
“ถ้าไม่ใช่ราคานี้มีเหรอที่ป้าเธอจะยอม? อีกอย่าง อย่าดูถูกความสามารถของฟู่ไห่ ภายในสามถึงห้าปี มูลค่าแท้จริงขอบบริษัทป้าเธอจะต้องพุ่งทะลุห้าพันล้านเป็นอย่างน้อย!”
เหลียวเซียวหยุนอุทานขึ้นอีกระลอก
“ห้าพันล้าน!? บ้าน่า! จะพัฒนาได้ขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆได้ยังไง!?”
จ้าวเฉียนตอบกลับไปว่า
“ก็เลยบอกไงว่าอย่าดูถูกความสามารถของฟู่ไห่ ที่นี่เขาบริหารบริษัทเป็นร้อยแห่ง ปริมาณเงินทุนมหาศาลกว่าที่เธอจะจินตนาการไว้มาก หากบริษัทป้าเธอได้ความช่วยเหลือในจุดนี้ มั่นใจได้เลยว่าอนาคตของบริษัทนี้จะต้องพัฒนาได้อีกไกล”
เหลียวเซียวหยุนถึงกับร้องโอ้โหออกมา เธอเข้าใจทันทีว่าจ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไร บริษัทฟู่ไห่ มีความสามารถมากเกินพอที่จะผลักดันบริษัทใดบริษัทหนึ่งในพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ป้าของเธอก็ได้เงินสดเข้ากระเป๋าแน่ๆแล้ว200ล้าน ซึ่งนี่นับได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
“อิอิ…ถ้างั้นคืนนี้นายว่างไหม? ฉันจะให้รางวัลสำหรับที่ช่วยคุณป้าในครั้งนี้”
เหลียวเซียวหยุนกำลังช่วงจ้าวเฉียนไปทำอะไรบางอย่างแน่นอน และจ้าวเฉียนเองก็ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงในคำชวนนี้ของเธอ
“ได้เลย วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศกันไหม? ไปที่โรงแรมโฟร์ซีซันกัน เดี๋ยวฉันจะจองห้องไว้รอ”
“อะไร? นี่นายคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย? ฉันแค่อยากชวนนายไปอินเนอร์เฉยๆเองนะ! นายนี่มันทะลึ่งจริงๆ!”
“อ้าว ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเปิดห้องไปทำเรื่องอย่างว่าสักหน่อยครับ แค่จะเปิดห้องไปดินเนอร์กับคุณแบบส่วนตัวเท่านั้นเอง หื้มมม…คิดไปไกลกว่าฉันอีกนะ?”
“ไอ้บ้า! นายนี่มัน! หึ!”
เหลียวเซียวหยุนกดวางสายใส่ทันที แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยิ้มไม่หุบ
แต่ทันใดนั้นเอง จางหยางก็โทรมาหาจ้าวเฉียน
“ฮาโหล จ้าวเฉียน นายรีบเข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้ พวกเรากำลังจะประชุมกันแล้ว”
“ประชุมผู้ถือหุ้นอีกแล้วเหรอครับ? มีอะไรอีกเหรอ?”
“เดี๋ยวมาก็รู้เอง ฉันมีหน้าที่แค่แจ้งให้ทราบ ไม่มาถือว่าพวกเรามีสิทธิ์ตัดสินใจได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากนายนะ”
จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงทำได้คารีบเดินทางไปที่บริษัทฟางนี่โดยตรง พอไปถึงที่ห้องประชุมก็พบว่า นอกจากผู้ถือหุ้นสองสามรายแล้ว ก็ยังมีหวังเฉียงกับเจียงเสี่ยวปิงนั่งอยู่ด้วย
หวังเฉียงและเจียงเสี่ยวปิงไม่ใช่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งสเนอหน้าอยู่ที่นี่ได้ แต่การที่พวกเขาสามารถนั่งเก้าอี้ร่วมประชุมได้ นั้นแสดงว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสอง
จางหยางยิ้มกล่าวทันที
“ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่แล้ว งั้นมาเริ่มกันเลย วันนี้ที่ทางผมเรียกประชุมหารือเพราะว่า ผมตัดสินใจเพิ่มหุ้นส่วนให้กับหวังเฉียงเป็นจำนวน30.1% ส่วนนับแต่นี้เป็นต้นไปเจียงเสี่ยวปิงจะเป็นตัวแทนของบริษัทเหล่ยอู่”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย เหลือบมองเจียงเสี่ยวปิงพลางกล่าวแสดงว่ายินดีว่า
“ยินดีด้วยนะครับคุณเสี่ยวปิง ในที่สุดก็หาคนใหญ่คนโตเกาะได้สักที”
เจียงเสี่ยวปิงเหลือบมองด้วยสายตาหยิ่งผยอง กล่าวตอนอย่างหยามเหยียดกลับไปว่า
“ถ้าฉันต้องการขึ้นเหนือนายจริงๆ ใช้เวลาแค่แปปเดียวก็ทำได้แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่มีความสามารถ!”
จ้าวเฉียนขยิบตาพร้อมยกนิ้วให้เธอ และไม่ได้พูดอะไรตอบอีก
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเสี่ยวปิงกับหวังเฉียงจะค่อนข้างยิ่งเหยิ่ง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็มีศัตรูร่วมกันเพียงคนเดียวนั้นคือจ้าวเฉียน
เจียงเสี่ยวปิงกล่าวขึ้นว่า
“ดิฉันสนับสนุนข้อเสนอของผู้จัดการจาง”
จางหยางยิ้มเยาะพยักหน้าตอบ และหันไปถามอีกสองคนที่เหลือว่า
“ตอนนี้ก็สองเสียงแล้ว ฮันซูกับจ้าวเฉียน พวกคุณว่าไง?”
หวานฮันซูในตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก สภาพในปัจจุบันของเขาไม่ต่างอะไรจากหุ่นเชิด ทำได้เพียงยกมืออย่างจำใจและกล่าวตอบแค่ว่า
“สนับสนุนข้อเสนอของผู้จัดการจางครับ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบเช่นกัน
“คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์แล้ว ผมไม่ต้องพูดอะไรแล้วแหละครับ”
จางหยางระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสุขอกสุขใจยิ่ง
“แน่นอน นายไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว ฉันก็แค่ถามเป็นพิธี เอาเป็นว่าตามนั้นเลยก็แล้วกัน จบการประชุม!”
จ้าวเฉียนยิ้มและลุกขึ้นเตรียมจะจากไปทันที
ระหว่างทาง หวังเฉียงตะโกนไล่หลังเรียกจ้าวเฉียนขึ้นว่า
“จ้าวเฉียน ไปห้องทำงานกับฉันหน่อย”
หวังเฉียนตอนนี้มีศักดิ์เป็นลูกชายนอกกฎหมายของหวังเจียงหลิน และในอนาคตจะได้รับสิบทอดบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังในอีกไม่ช้า ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับจ้าวเฉียนอย่างหลบๆซ่อนๆอีกต่อไปแล้ว
“โอเคครับ”
หวังเฉียงพาจ้าวเฉียนเข้าไปในห้องและล็อคประตูทันที
“ไอ้โง่! ตอนนี้แกเริ่มกลัวแล้วใช่ไหม? รู้สึกเสียใจไหมล่ะ? ที่เคยทำอะไรแย่ๆกับฉัน!”
หวังเฉียงเอ่ยถามพร้อมท่าทางแสนเย่อหยิ่งนสวกับผู้มีชัย
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะลั่นราวกับกลั้นขำไม่หยุด และเอ่ยถามสวนกลับไปว่า
“โอ๊ยย ผมกลัวจังเลยครับ กลัวแล้ว! กลัวแล้ว! ฮ่าฮ่า…อยากให้ผมตอบแบบนี้รึเปล่า? ขอถามกลับนะครับ ทำไมผมต้องกลัวด้วย? ทำไมผมต้องเสียใจงั้นเหรอ?”
“เลิกแสร้งทำเป็นไม่กลัวได้แล้ว! เจ้าโง่! กูเป็นถึงทายาทมหาเศรษฐีตระกูลหวัง กูมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์หวังคอยรับช่วงต่อ กูสามารถฆ่ามึงได้เพียงแค่ดีดนิ้ว! รอกูรับช่วงต่อบริษัทจากตระกูลมาก่อน แล้ววันนี้จะเป็นฝันร้ายของมึง!”
จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“อืมๆ สุดยอดไปเลยครับ แล้ว? พูดจบรึยัง?”
หวังเฉียงยิ้มพลางส่ายหัวตอบ
“กูยังพูดไม่จบ แล้วกูจะดูว่ามึงจะมีปัญญาตอบโต้กูหรือเปล่าหลังจากนี้!”
จ้าวเฉียนขยิบตาให้หวังเฉียงเล็กน้อย พร้อมตอบว่า
“จะไม่ทำให้รองผู้จัดการหวัง…โอ๊ะ! ไม่สิ!…คุณทายาทมหาเศรษฐีผิดหวังแน่นอนครับ ผมขอตัวก่อน โชคดีนะครับ”
หวันเฉียงขมวดคิ้วแน่น สองมือกำหมัดจนสั่นเทาด้วยความโกรธจัด ทำไมปฏิกิริยาของจ้าวเฉียนมันไม่เป็นอย่างที่จินตนาการไว้เลยล่ะ? คิดได้เช่นนั้นเขาจึงตะโกนไล่หลังกลับไปทันที
“เออ! มึงแกล้งทำเป็นปกติสุขต่อไปเถอะ! กูจะคอยดูว่ามึงจะตายยังไง!”
จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อคำขู่เหล่านี้โดยสิ้นเชิง และเดินทางออกจากบริษัทฟางนี่โดยตรง กลับบ้านไปพักผ่อนที่บ้านสักครู่ค่อยออกไปเดทต่อกับเหลียวเซียวหยุนในตอนกลางดึก
หวังเฉียงกลับมานั่งในห้องประชุมเพื่อดำเนินการเรื่องหุ้นต่อ หลังจากนั้นเจียงเสี่ยวปิงกับเขาก็กลับเข้ามาในห้องทำงาน
เจียงเสี่ยวปิงตรงไปหาหวังเฉียงพร้อมดึงเนคไทของเขาออกมา กระซิบเสียงหวานข้างหูของเขาว่า
“ฉันนึกไม่ถึงเลยนะว่านายจะเป็นทายาทเศรษฐีแบบนี้ อย่างกับนิยายเลย หุหุ…ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ที่ทุกอย่างมันเป็นไปได้ด้วยดีขนาดนี้ อย่างกะบลาภก้อนโตหล่นทับเลย”
หวังเฉียงแสยะยิ้มอย่างมีชัยและกล่าวตอบไปว่า
“ฉันเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า ตัวเองจะเป็นถึงทายามอสังหาตระกูลหวัง สวรรค์คงเล่นตลกแล้ว แต่เธอเองก็ไม่เลวเหมือนกัน สามารถขึ้นมานั่งประชุมได้ในนามของคุณฟู่”
เจียงเสี่ยวปิงหัวเราะคิกคักอย่างสุขใจ และกระซิบต่อว่า
“ฉันจะบอกอย่างหนึ่งให้นะ ตอนนี้คุณฟู่กำลังสั่งให้นักฆ่าไปลงมือจัดการจ้าวเฉียนแล้ว อีกไม่นาน พวกเราเตรียมไปงานศพมันได้เลย”
หวังเฉียงระเบิดหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยิน รับเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า
“จริงเหรอ? นี่ข่าวที่เธอได้ยินมามันถูกต้องจริงๆใช่ไหม?”
เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าตอบ
“แน่นอนสิ คุณฟู่บอกกับฉันบนเตียงเมื่อคืน แล้วจะฟังพลาดได้ไง?”