ตอนที่220 ลงนามสัญญาความร่วมมือ
จ้าวเฉียนกับหวานเจียงรับศึกหนักในโรงแรมตลอดจนเที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ ทั้งคู่จึงผล็อยหลับไป เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเกือบเที่ยงวัน ก็พบว่าหวานเจียงได้จากไปแล้ว
จ้าวเฉียนคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรไปหาหวานเจียงทันที
“นี่ ออกไปตั้งแต่เมื่อไร่ ทำไมไม่ปลุกฉันก่อน?”
หวานเจียงถอนหายใจเสียงดังตอบกลับไปว่า
“นายมันขี้เกียจสันหลังยาว แล้วทำไมฉันต้องขี้เซาอย่างกับหมูแบบนายด้วย? อีกอย่างฉันต้องรีบไปซื้อยาคุม ตอนบ่ายยังมีนัดเซ็นสัญญากับบริษัทนายอีก ไปบอกลูกน้องด้วยว่า เตรียมสัญญามาให้พร้อม”
จ้าวเฉียนกล่าวตอบเจือน้ำเสียงรู้สึกผิดเล็กน้อย
“โทษที เมื่อคืนฉันเหนื่อยจนเพลียหลับไปเลย แล้วอันที่จริงไม่ต้องกังวลหรอก ยาคุมฉุกเฉินให้กินภายใน24ชม.อยู่แล้ว คราวหน้าเดี๋ยวฉันซื้อเตรียมมาให้เธอก็แล้วกัน”
หวานเจียงสบถด่าสวนทันที
“นายนี่มันเลวเกินไปแล้ว! ยังคิดว่าจะมีครั้งหน้าอีกรึไง? ฝันไปเถอะ!”
จ้าวเฉียนหัเราะคิกคักพลางตอบไปว่า
“ฮ่าฮ่า…ไม่เป็นไร ไม่ต้องเขินหรอกน่า แล้วมีนัดเซ็นสัญญากี่โมง?”
” บ่ายสาม! ฉันยังมีธุระต้องทำ แค่นี้แหละ!”
หวานเจียงวางสายทันทีหลังพูดจบ
จ้าวเฉียนรีบลุดขึ้นจากเตียงโดยไว อาบน้ำแต่งตัว ออกไปรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางไปที่บริษัท เฉียนเก๋อโดยทันที
หยวนมี่รีบพาเขาเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเธอทันทีและเอ่ยถามด้วยความเคารพว่า
“ทำไมวันนี้คุณจ้าวว่างได้ค่ะเนี่ย? ถ้ามีอะไรจริงๆ โทรสั่งดิฉันได้ตลอดนะคะ ไม่เห็นต้องเสียเวลามาเองเลย”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบไปว่า
“ฉันจะมาคุยกับฮวาหยินกรุ๊ปเป็นการส่วนตัวน่ะ รู้สึกว่าผู้จัดการของทางนั้นจะมาที่นี่ตอนบ่ายสาม วันนี้ฉันเองก็ว่าง เลยมาคุมเองเลยดีกว่า แถมฉันจะมาเพิ่มเงื่อนไขให้อู่ซินรับบทนางรองด้วยน่ะ หากเธอสามารถทำผลงานเรื่องนี้ออกมาได้ดี รับรองว่ากลายมาเป็นดาราดาวรุ่งแห่งปีแน่นอน
หยวนมี่กล่าวถามทันทีด้วยความสงสัย
“คุณจ้าว ดิฉันขอถามได้ไหมค่ะว่า ใครเป็นผู้กำกับ? แล้วตัวพระเอกกับนางเอกใครเป็นคนรับบท?”
“ผู้กำกับคือเฟิงเต๋อ ผู้กำกับหนุ่มดาวรุ่งในตอนนี้ ส่วนเรื่องบทละครยังไม่ได้รับการตัดสินใจ แต่ที่แน่ๆ คือนางรองต้องเป็นอู่ซิน”
จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปถามความจริง
หยวนมี่ยิ่งมึนงงหนักกว่าเดิม ในเมื่อบริษัทเฉียนเก๋อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนใหญ่ แล้วทำไมคุณจ้าวถึงไม่สู้เพื่อเอาบทนางเอกมาให้อู่ซิน แต่กลับเลือกให้เป็นแค่นางรองเท่านั้น?
จ้าวเฉียนทราบดีถึงข้อกังขาใจนี้ของเธอ จึงกล่าวอธิบายไปว่า
“ทักษะการแสดงของอู่ซินยังไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเธอรับบทนางเอกในหนังที่ผู้คนคาดหวังขนาดนี้ จะส่งผลเสียหลายๆ อย่างตามมา อย่างแรกคือแรงกดดันที่มหาศาลเกินกว่าตัวอู่ซินจะรับไหว และสองอาจจะทำให้หนังขาดทุนได้ และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ มันจะทำให้เส้นทางนักแสดงของเธอในอนาคตแคบลงทันที”
หยวนมี่พยักหน้าและเรียกผู้กำกับพร้อมมือเขียนบทในบริษัทมาประชุมทันทีโดยเร็ว เนื่องจากอู่ซินจะต้องรับบทเป็นนางรอง ดังนั้นเรื่องบทหนังในส่วนนี้ พวกหยวนมี่จะต้องปรับแต่งบทยังไงก็ได้ออกมาโดดเด่นไม่แพ้นางเอก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูหยิงและผู้กำกับเฉินเจียก็เดินเข้ามาพบกับทั้งคู่ พวกเขาถือเป็นนักเขียนบทและผู้กำกับระดับปรมาจารย์
ทั้งสองรีบโค้งทักทายจ้าวเฉียนอย่างรวดเร็ว
“คุณชายจ้าวไม่ได้พบกันตั้งนาน สบายดีไหมค่ะ?”
ซูหยิงเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้ม
เฉินเจียเองก็รีบทักทายเช่นกัน
“สวัสดีครับคุณชายจ้าว”
จ้าวเฉียนยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“สบยาดี แล้วพวกคุณล่ะ?”
ทั้งสองส่ายหัวตอบกลับไปว่าสบายดีเช่นกัน จากนั้นจ้าวเฉียนก็ผายมือเชิญทั้งสองนั่งลง
หยวนมี่ที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังขึ้นว่า
“คุณจ้าวค่ะ ทำไมพวกเขาถึงเรียกคุณว่า คุณชายจ้าว?”
จ้าวเฉียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ทุกคนในห้องนี้มีเพียงหยวนมี่คนเดียวที่ยังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา จึงยิ้มตอบไปว่า
“เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองในอนาคต เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
จ้าวเฉียนอธิบายเนื้อความของโปรเจคหนังเรื่องนี้พอสังเขปให้แก่ทั้งสองฟัง จากนั้นก็วานพวกเขาช่วยเขียนบทของอู่ซินให้ออกมาดูดีที่สุดในขอบเขตของบทนางรอง
ซูหยิงและเฉินเจียรีบระดมสมองหารือเพื่อสร้างบทละครของอู่ซินออกมาให้ดีที่สุด หลังจากนั้นไม่นานหวานเจียงก็มาถึงบริษัทเป็นลำดับต่อมาพร้อมกับคนของฮวาหยินกรุ๊ป
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงในห้องประชุมใหญ่และหารือเกี่ยวกับรายละเอียดสัญญาอย่างเป็นทางการ
หวานเจียงเอ่ยถามจ้าวเฉียนว่า
“คุณจ้าว คุณมีข้อกำหนดอะไรอีกไหมที่ต้องการแจ้ง ไม่อย่างนั้นเราจะเริ่มเซ็นสัญญากันทันที”
จ้าวเฉียนเหลือบมองไปที่ซูหยิงและเฉินเจีย ทั้งสองพยักหน้าให้ราวกับเข้าใจสิ่งที่พยายามสื่อในทันที ก่อนจะยกมือขึ้นเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับบทนางรองของอู่ซิน ว่าควรปรับแต่งตรงไหนบ้างพร้อมอธิบายให้ทุกคนฟัง
ท้ายที่สุดนี้ จ้าวเฉียนอัดฉีดเงินลงทุนไปถึง150ล้าน และขอกักแค่บทละครนางรองเท่านั้น หากจะมีข้อเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีกนิดๆ หน่อยๆ ทางฮวาหยินกรุ๊ปย่อมไม่คัดค้านเป็นธรรมดา
พอทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันจึงเริ่มกระบวนการเซ็นสัญญาทันที หลังจากจ้าวเฉียนลงนามเสร็จ ทางหวานเจียงก็ลงนามต่อทันที ทั้งสองบริษัทต่างถือหนังสือสัญญาฉบับสำเนาไว้คนละเล่ม ถือมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายแล้ว
หวานเจียงยิ้มกล่าวว่า
“เพื่อความยุติธรรม คุณจ้าวสามารถส่งผู้กำกับเฉินและมือเขียนบทซูไปร่วมในกองถ่ายได้ตลอดนะคะ ถ้าได้ความช่วยเหลือจากสองคนนี้ ดิฉันคิดว่าโปรเจคหนังเรื่องนี้จะยิ่งสมบูรณ์แน่นอน”
จ้าวเฉียนหันไปถามความเห็นจากทั้งสองว่า
“พวกคุณสองคนว่ายังไง?”
เฉินเจียรีบกล่าวตอบทันทีด้วยความเคารพ
“คุณชายจ้าว ผมอยากจะลองลงสนามกับผู้กำกับเฟิงดูสักครั้ง บางทีคนแก่อย่างผมก็ต้องรู้เรียนอะไรใหม่ๆ จากพวกผู้กำกับหนุ่มสาว”
ซูหยิงพยักหน้าตอบเช่นกัน
“คุณชายจ้าว ดิฉันเองก็อยากจะลองไปดูเช่นกัน คราวนี้ถือเป็นโปรเจคใหญ่ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับดิฉันเช่นกัน”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า
“งั้นตกลง! ถ้าอย่างนั้นพวกคุณทั้งสองก็เดินทางไปคุมกองถ่ายได้ตามสะดวกเลยนะ คุณหวานยังมีอะไรจะเสนอในห้องประชุมนี้อีกไหมครับ?”
หวานเจียงส่ายหัวเป็นคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยกันเรื่องส่วนตัวต่อดีกว่า”
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มมุมปากตอบกลับทันใด
สีหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เหลือบมองผู้คนจากฮวาหยินกรุ๊ปที่มาด้วย เธอพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นทันควัน เอ่ยถามใบหน้าเคร่งขรึมว่า
“คุยเรื่องอะไรเป็นการส่วนตัว? วันนี้พวกเราฮวาหยินกรุ๊ปมาเจรจาเรื่องธุรกิจเท่านั้น!”
แต่คนอื่นๆ ในห้องประชุมเองต่างหัวไวทราบจุดยืนของตัวเองในทันใด ไม่เว้นแม้แต่คนของฮวาหยินกรุ๊ป พวกเขารีบเก็บเอกสารบนโต๊ะและเดินจากห้องประชุมออกไปโดยไวพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ ตอนนี้เหลือเพียงจ้าวเฉียนและหวานเจียงเท่านั้นในห้องประชุม
หวานเจียงโกรธอย่างมากเมื่อเห็นแบบนั้น เธอตะวาดลั่นว่า
“นี่นายบ้าไปแล้วรึไง! ต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าอยากคุยเรื่องส่วนตัวนี่นะ? แล้วถ้าพวกเขาเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไง?!”
“ทำไมถึงดูประหม่าขนาดนั้นล่ะ? เข้าใจผิดแล้วมันยังไง? กลัวคนอื่นคิดว่า พวกเราเป็นมากกว่าคนร่วมธุรกิจกันรึไง?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ดังนั้นเลิกพูดจากอะไรที่มันส่อไปทางแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้แล้ว! เข้าใจที่ฉันพูดไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของหวานเจียงที่ดูโกรธจัด จ้าวเฉียนก็พลันสงสัยเช่นกัน ถ้าคนอื่นทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแล้วยังไงล่ะ? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึไง?
“นี่เธอยังโกรธฉันอยู่เหรอ?”
จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
หวานเจียงเค้นเสียงเย็นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่! ทำไมฉันต้องโกรธนายด้วย! หลงตัวเองเกินไปแล้ว!”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางตอบไปว่า
“ก็เห็นอยู่ว่ากำลังโกรธ ฉันพอจะไถ่โทษอะไรได้บ้างไหม?”
หวานเจียงหัวเราะเล็กน้อย กล่าวเย้ยขึ้นว่า
“อย่างนายเหรออยากจะไถ่โทษ?”
รอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าของจ้าวเฉียนหายวับไป กลับแทนที่มาด้วยสีหน้าแสนจริงจัง
“ฉันว่าตัวเองล้ำเส้นเธอเยอะเกินไปหน่อยน่ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะไถ่โทษหรือช่วยอะไรได้ก็บอกมาเถอะ”
หวานเจียงคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีอกดีใจ
“เรากำลังมีแผนสร้างทีวีซีรีย์เร็วๆ นี้ แต่เรายังขาดผู้ร่วมทุนอยู่ นายสนใจเข้ามาช่วยฉันไหมล่ะ?”
จ้าวเฉียนกลอดตาใส่เล็กน้อย กล่าวตอบไปตรงไม่มีเกรงใจว่า
“ตราบใดที่เป็นโปรเจคที่สามารถทำกำไรได้ ฉันไม่มีปฏิเสธิอยู่แล้ว แต่ดูท่า…มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดใช่ไหม?”
หวานเจียงยิ้มและตอบกลับไปว่า
“โปรเจคนี้ค่อนข้างพิเศษน่ะ ฉันกลัวว่านายจะไม่เต็มใจช่วยน่ะสิ”
จ้าวเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวไปว่า
“นี่น่ะเหรอราชินีน้ำแข็งแห่งวงการธุรกิจ บางครั้งเธอก็ดูไร้เดียงสาเกินไปหน่อยนะ เกริ่นมาแบบนี้ผมก็พอเดาได้แล้วว่า มันหมายความว่ายังไง สู้บอกฉันมาตรงเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม ส่วนจะเอายังไงต่อก็ต้องดูอีกทีหนึ่ง”
หวานเจียงที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าและอธิบายเกี่ยวกับโปรเจคทีวีซีรีย์ดังกล่าวทันที แต่พอจ้าวเฉียนได้ยิน สีหน้าของเขาพลันมืดทมิฬลงทันควัน ปรากฏว่าโปรเจคที่ทางฮวาหยินกรุ๊ปกำลังจะสร้างขึ้นมาคือ ซีรีย์กำลังภายในโบราณที่ดัดแปลงมาจากนิยายสุดฮิตอย่าง《เทพอสูรบรรพกาล》แต่งโดยสองเทพแพตตินั่ม
ซึ่งสองเทพแพตตินั่มคือคนที่เคยมีปัญหากับหรูเมิ่งในตอนแรกสุด และคนที่สนับสนุนสองนักเขียนคู่นี้ก็คือหยางหมิง นั้นหมายความว่า การที่ทางฮวาหยินกรุ๊ปจะนำเรื่อง《เทพอสูรบรรพกาล》มาถ่ายทำได้เท่ากับว่าต้องได้รับอนุญาตจากหยางหมิงก่อนแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดหวานเจียงถึงยอมร่วมมือกับหยางหมิงล่ะ?
สีหน้าของจ้าวเฉียนผิดจากตอนก่อนหน้าลิบลับ เอ่ยปากถามอย่างเย็นชาว่า
“นี่หมายความว่ายังไง? เธอร่วมมือกับหยางหมิงงั้นเหรอ?”