ตอนที่ 262 ฉันนี่แหละทายาทมหาเศรษฐี
ท่าทีของหวานเจียงในขณะนี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว และครอบครัวของจ้าวเฉียนดูเหมือนจะเข้ากับเธอได้จริงๆ
ในเวลานั้นเอง จ้าวฝู่ก็เข็นชายชราคนหนึ่งออกมา
จ้าวเฉียนหันไปพูดกับหวานเจียงโดยไวว่า
“นี่คุณปู่ฉันเอง แล้วคนที่เข็นอยู่คือพ่อฉัน”
หวานเจียงเริ่มเก็บอาการสำรวมขึ้นทันที จากนั้นก็โค้งศีรษะทักทายให้แก่จ้าวฝู่และชายชราคนนั้นด้วยความสุภาพเรียบร้อยยิ่ง
“สวัสดีค่ะคุณปู่ หนูชื่อหวานเจียง เป็นเพื่อนของจ้าวเฉียนค่ะ”
ชายชราคลี่ยิ้มหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบน้ำเสียงเชื่อยแช่มไปว่า
“อืม อืม…เธอคงเป็นแฟนสาวของหลานชายฉันใช่ไหม?”
ทุกคนหัวเราะครืนขึ้นที
ใบหน้าของหวานเจียงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นทันควัน รีบเอ่ยตอบกลับไปว่า
“คุณปู่เข้าใจผิดแล้วนะคะ หนูไม่ใช่แฟนเขา แฟนกันที่ไหนทิ้งให้หนูนั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวจริงไหมค่ะ?”
จ้าวเฉียนได้แต่ยิ้มแห้งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หน้าเปลี่ยนสีมืดขรึมอยู่แบบนั้น
ชายชราโบกมือให้จ้าวเฉียนเข้ามา
จ้าวเฉียนทำได้เพียงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างเชื่องช้ากล่าวขึ้นว่า
“คุณปู่ ผมว่าเธอตีสนิทผมเพราะจะหลอกเอาเงินแน่เลย”
ชายชรายกไม้เท้าฟาดใส่จ้าวเฉียนไปทีสองทีพลางบ่นขึ้นว่า
“ไอ้หลานคนนี้ แกนี่เหมือนพ่อแกไม่มีผิดเลยนะ ตอนนั้นมันก็คิดว่าแม่แกจะหลอกคบเอาเงิน จนสุดท้ายทะเลาะกันบ้านแทบแตก ยังดีที่ย่าปลอบแม่แกทัน ไม่อย่างนั้นแกไม่มีทางยืนอยู่ตรงนี้แน่นอน”
“ฮ่าฮ่า…”
จ้าวฝู่กับอวีกุ้ยเฟิงสบตากันแวบหนึ่งพลางร่วนหัวเราะด้วยความเก้อเขิน
จ้าวเฉียนที่สังเกตเห็นดังนั้นจึงพูดติดตลกขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้น คงเรียกได้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ถึงไม่ต้องมองหน้าว่าคล้ายกันแค่ไหน แต่ดูจากนิสัยใครๆก็รู้จักทีว่าพ่อลูกกัน”
ทุกคนระเบิดหัวเราะคิดคักหนักเข้าไปใหญ่
จ้าวฝู่ยกเท้าแตะก้นจ้าวเฉียนไปที และหันมากล่าวกับหวานเจียงว่า
“หนูชื่อหวานเจียงใช่ไหม? ไปคุยกันข้างในบ้านก่อนดีกว่า”
พอจ้าวฝู่เอ่ยปากพูดเมื่อไหร่ ทุกคน ณ ที่แห่งนี้ต้องเชื่อฟัง พวกเขาเร่งพาจ้าวเฉียนกับหวานเจียงเข้าไปในบ้านทันที
อวีกุ้ยเฟิงเข้าไปในห้องครัวและนำอาหารที่ทำขึ้นมาสุดฝีมือออกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว และชวนให้หวานเจียงลองทานดูว่าอร่อยไหม
ระหว่างทางจวบจนตอนนี้เสียงชมยังดังไม่ขาดปาก ทำเอาหวานเจียงประหม่าเกินกว่าจะกินได้ แต่จ้าวเฉียนก็สะกิดย้ำเธอไปว่า แม่ของเขาอุตส่าห์ทำให้คนพิเศษอย่างเธอเท่านั้น หวานเจียงควรจะกินบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นเธอจึงหยิบช้อนส้อมตักเข้าปากทันทีอยู่หลายคำ หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากบอกกับทุกคนว่าเธออิ่มแล้ว
น้าสาวของจ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“กำลังรักษาหุ่นเหรอ? ถึงกินไม่ค่อยเยอะเลย? อดอาหารแบบนี้มันไม่ดีต่อร่างกายนะ”
จ้าวเฉียนที่ได้ยินดังนั้นก็รีบแนะนำตัวให้หวานเจียงฟัง
“นี่คุณน้าสาวของฉันเอง อันที่จริงเธอมีศักดิ์เป็นป้านั่นแหละ แค่เธอไม่ชอบให้เรียก”
น้าสาวได้ยินดังนั้นพลันแยกเขี้ยวขู่จ้าวเฉียนเล็กน้อย บอกไปว่าห้ามเรียกเธอป้าอีก
หวานเจียงยกมือป้องปากหัวเราะเล็กน้อย และยิ้มตอบกลับไปว่า
“คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ พอดีหนูทานมาตั้งแต่บนเครื่องแล้วค่ะ แต่หนูเห็นว่าคุณแม่จ้าวเฉียนอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้ หนูเลยอยากกินแค่สองสามคำว่าอร่อยแค่ไหน กลัวจะทำให้คุณแม่จ้าวเฉียนผิดหวัง”
“ฮ่าฮ่า….”
ทุกคนพอใจอย่างยิ่งกับกลวิธีการพูดของหวานเจียง เธอสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้เร็วมาก
จ้าวเฉียนนั่งมองอยู่เคยงข้าง ปล่อยให้หวังเจียงพูดแสดงออกไปคนเดียว เขายังคงทราบดีภายในใจ การจะมาเป็นภรรยาของเขาในอนาคต ต่อจากนี้เป็นต้นไปมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคน แต่ยังต้องคำนึงถึงทุกคนในครอบครัวอีกด้วย IQการทำงานต้องไม่ต่ำ EQการเข้าหาสังคมต้องผ่านเกณฑ์
สำหรับเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา อู่ซินกับเหลียวเซียวหยุนค่อยข้างใกล้เคียงกับหวานเจียง แต่ในแง่ของความสามารถและการปรับตัว รวมไปถึงประสบการณ์การเข้าสังคม หวานเจียงชนะขาดลอย
ด้วยภูมิหลังของครอบครัวจ้าวเฉียน งานสังคมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นผู้หญิงที่มีทั้งความสามารถในการปรับตัวและรูปลักษณ์หน้าตาอย่างหวานเจียง คือคนที่เหมาะสมกับจ้าวเฉียนที่สุดแล้ว
ทีแรกหวานเจียงยังดูมีท่าทีประหม่าอยู่บ้าง แต่พอเธอได้มีโอกาสพูดคุยและโต้ตอบกับคนอื่นๆ เธอก็ดูเป็นธรรมชาติขึ้นอย่างเห็นชัด
ทุกคนในที่นี้ล้วนทราบถึงภูมิหลังและสถานะของหวานเจียงมาบ้างแล้ว พอได้พูดคุยกับเธอจริงๆก็ยิ่งรู้สึกพอใจเข้าไปใหญ่
ถึงแม้ว่าสภาพครอบครัวของหวานเจียงจะด้อยกว่า แต่คุณสมบัติโดยส่วนตัวของหวานเจียงถือว่าสูงผิดคาด ซึ่งนี่สามารถนำมาทดแทนช่องว่างนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในเวลานั้นเอง หวานเจียงก็เอ่ยปากถามจ้าวฝู่กลับไปเช่นกันว่า
“คุณพ่อจ้าวเฉียนค่ะ หนูขอถามหน่อยได้ไหมค่ะว่า ทางบ้านทำธุรกิจอะไร คือหนู…ไม่รู้เรื่องของทางนี้เลยค่ะ”
จ้าวฝู่ยิ้มตอบไปว่า
“จ้าวเฉียนเคยเล่าเกี่ยวกับสถานะของครอบครัวเราให้หนูฟังบ้างไหม?”
หวานเจียงส่ายหัวอย่างว่างเปล่า
“ไม่เลยค่ะ เขาไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้หนูฟังเลยสักครั้ง แต่หลังจากที่เธอเจอคุณแม่จ้าวเฉียนครั้งล่าสุด หนูก็พอจะเดาได้ว่าครอบครัวของคุณน่าจะร่ำรวยในระดับนึง ตอนแรกหนูคิดแค่นั้นจริงๆค่ะ แต่พอมาวันนี้ได้เห็นป้ายทะเบียนรถของคุณ หนูกลับไม่นึกเลยว่าจะเป็นระดับมหาเศรษฐีขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นคฤหาสน์กลางภูเขาส่วนตัว หนูยิ่งมั่นใจเลยค่ะว่าพวกคุณต้องไม่ใช่มหาเศรษฐีทั่วไปแน่นอน หนูเลยสงสัย…”
แต่เริ่มเดิมทีทุกคนคิดว่า เหตุผลที่หวานเจียงเลือกที่จะคบกับจ้าวเฉียน โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะความร่ำรวยของตระกูลจ้าว
แต่ตอนนี้ พอหวานเจียงบอกว่า จ้าวเฉียนไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเลย นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า ที่หวานเจียงชอบจ้าวเฉียน เป็นเพราะเธอชอบเขาจากใจจริง
สำหรับพวกไฮโซทั้งหลาย ข้อห้ามสำคัญระหว่างจีบใครสักคนคือ การเปิดเผยสถานะตัวเองตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งการที่หวานเจียงตกหลุมรักจ้าวเฉียนโดยไม่มีเรื่องสถานะเข้ามาเกี่ยวข้องจนถึงบัดนี้ นี่ยิ่งได้ใจทุกคนในที่นี่ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวฝู่ยิ้มตอบอย่างมีความสุขว่า
“ฉันคงบอกแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้แหะ เพราะธุรกิจที่ครอบครัวเราดูแลมันมีค่อนข้างเยอะมาก คราวๆที่พอมีชื่อเสียงก็อย่างเช่น ฟู่ไห่ อินเวสเม้นท์, ธุรกิจโรงแรมอย่างเช่นโรงแรมตงไห่ที่หนูน่าจะรู้จัก และอีกหลายสาขาทั่วประเทศ, บริษัทขุดเจาะน้ำมัน, บริษัทขนส่งทางทะเล, อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจภาพยนตร์ก็มีนะ ทั้งหมดอยู่ในเครือของบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ป”
จ้าวฝู่นึกชื่อบริษัทไหนในเครือได้พูดออกมาอย่างลวกๆ ซึ่งหากให้นับกันจริงๆมันมีบริษัทมากกว่าร้อยแห่งเห็นจะได้ และแต่ละบริษัทย่อยในเครือล้วนมีมูลค่าทรัพย์สินเท่ากับฮวาหยินกรุ๊ปนับสิบหรือร้อยแห่งรวมกันเสียอีก!
หวานเจียงตื่นตกใจอย่างยิ่งจนอ้าปากค้างเติ่งเป็นก้อนหินแบบนนั้น ปรากฏว่าชายตรงหน้าของเธอก็คือ จ้าวฝู่ ประธานหัวเรือใหญ่แห่งบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์กรุ๊ป!
ฟังว่าแค่มูลค่าทรัพท์สินส่วนตังของชายคนนี้เพียงลำพังก็มีมากกว่าแสนล้านหยวนแล้ว นี่ยังไม่รู้ทรัพท์สมบัติของทั้งตระกูล จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรายชื่อของเขาถึงขึ้นติดหนึ่งในสามมหาเศรษฐีระดับประเทศ! แต่ทุกคนล้วนทราบดี ถ้าจ้าวฝู่คิดจะลงดาบปราบปรามธุรกิจคู่แข่งอย่างจริงจัง เขาสามารถขึ้นกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของประเทศจีนได้ไม่ยาก!
อาณาจักรธุรกิจของตระกูลจ้าวแทรกซึมไปเกือบทั่วทุกอุตสาหกรรมในประเทศจีน จำนวนบริษัทย่อยในเครือนับร้อยแห่ง แค่สุ่มหยิบบริษัทย่อยๆเหล่านี้มีสักที่ มันก็มีค่ามากกว่าฮวาหยินกรุ๊ปไม่รู้กี่สิบเท่าแล้ว
และจ้าวเฉียนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของจ้าวฝู่ กล่าวได้ว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจ้าวทั้งหมด ในอนาคตเขาจะขึ้นเป็นผู้ถือครองมรดกนับล้านล้านต่อจากพ่อของเขาคนต่อไป?
หวานเจียงค่อยๆหันหน้าเบนศีรษะมองไปที่จ้าวเฉียนราวกับเห็นผี เธอไม่อยากเชื่อเลยว่า ไอ้หื่นกามคนนี้จะเป็นทายาทมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของประเทศ!
จ้าวเฉียนยิ้มพลางเอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำไม? ไหงมองฉันแบบนั้น? เห็นฉันหล่อขึ้นมาทันตาเลยใช่ไหมล่ะ?”
สุ้มเสียงของเขาเปล่งดังออกมา ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะคิกคักกันใหญ่
แต่ภาพฉากต่อมาของหวานเจียงกลับต้องทำให้ทุกคนตกตะลึง จู่ๆเธอก็ลุกขึ้นพรวดเดินเข้าไปแตะจ้าวเฉียนไปปาบหนึ่ง
“ไอ้บ้า! แล้วนายจะปิดบังไปเพื่อ! เห็นฉันเป็นของเล่นรึไง! ฉันก็มีความรู้สึกนะ!”
หวานเจียงกรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน
จ้าวเฉียนดูตกตะลึงไม่ต่าง เอ่ยถามขึ้นว่า
“ห่ะ? ก็แบบในหนังไง พระเอกปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ แล้วค่อยเฉลยให้นางเอกฟังตอนจบ ฝ่ายนางเอกก็ควรมีความสุขไม่ใช่รึไง? แล้วไหงเธอมาดุฉันเฉยเลย?”
หวานเจียงกล่วาตอบทันทีว่า
“มีความสุขบ้านนายสิ! ถ้านายเปิดเผยความจริงตั้งแต่ทีแรก ฉันคงตัดใจเรื่องนายได้ไปนานแล้ว ไม่ต้องปล่อยให้มันเลยเถิดแบบนี้! แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไง? คิดเหรอว่าครอบครัวนายจะยอมรับผู้หญิงจนๆอย่างฉันได้? สถานะระหว่างเรามันแตกต่างกันเกินไป ฉันรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวหรอกนะ คุณป้าคุณน้า…หนูต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่มายุ่งกับลูกชายพวกคุณ หนูไม่รู้จริงๆนะคะ หนูขอโทษ…”
ปรากฏว่าเธอโกรธจ้าวเฉียนเพราะเหตุนี้ ทำเอาทุกคนระเบิดหัวเราะลั่นอีกครั้งชนิดกลั้นขำไม่อยู่ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่รู้ความจริงเข้า คงพุ่งใส่ประจบสอพอไม่หยุดหย่อน แต่หวานเจียงกลับทำตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นยังรีบขอโทษที่ไม่ควรเข้ามายุ่งแต่แรก นี่ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่า เธอเป็นหญิงสาวที่นิสัยน่ารักมาก