ตอนที่291 โจมตี
ตามกฎของตระกูล ผู้นำมีสิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ว่าถูกหรือผิด และสมาชิกตระกูลจำต้องสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสมดุลอำนาจของตระกูลให้สืบทอดไปยังรุ่นสู่รุ่นต่อไปได้
ดังนั้นหัวเซินซวนจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยกล่าวขอความคิดเห็นจากคนอื่นอีกแล้ว การเรียกมาประชุมครั้งนี้เพียงเพื่อมาประกาศเท่านั้น
แต่การตัดสินใจในคราวนี้ของหัวเซินซวนข้องเกี่ยวกับอนาคตของสมาชิกทั้งตระกูลโดยตรงว่าจะอยู่หรือตาย แต่ละคนจึงปั้นสีหน้าดูลังเล
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของทุกคนที่แตกแขนงกันออกไป หัวเซินซวนจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง? ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉัน?”
ทุกคนต่างหันมองมาที่เขา แต่ไม่มีใครใดๆ กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ใบหน้าของทุกคนราวกับถูกเขียนไว้อย่างชัดแจ้งว่า ไม่เห็นด้วย
หัวเซินซวนหัวเราะขึ้นคำหนึ่งและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเหตุผลกับความเห็นของพวกคุณทุกคนว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย”
พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างเหลือบไปที่หัวเซินกังจนเป็นตาเดียว เว้นเสียแต่หัวเซินซวน คนที่มีบารมีรองจากเขาก็คือน้องชายคนกลางอย่างหัวเซินกัง เขาจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเอ่ยค้านหัวเซินซวนได้
แต่หัวเซินกังเองก็มีทัศนคติเช่นเดียวกับหัวเซินซวน เพราะการที่ตระกูลหัวตกลงสู่ความวุ่นวาย นี่จะเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้
ทันทีที่หัวเซินกังแสดงความคิดเห็นออกมา ผู้คนที่ใกล้ชิดและญาติฝั่งเดียวกับเขาและหัวเซินซวนเองก็เริ่มคล้อยตามสนับสนุนเช่นกัน แม้จะลังเลไปบ้างทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะสนับสนุน
“ฉันเองก็เห็นด้วยกับวิธีของพี่ใหญ่ เราไม่ยอมโดนกดขี่อยู่ฝ่ายเดียวหรอก!”
“ใช่แล้ว! สกุลหัวของเรามีรากฐานอยู่ในหยานจิ้งมาครึ่งศตวรรษแล้ว กับไอ้แค่ตระกูลเล็กๆ ที่เพิ่งแจ้งเกิด ทำไมเราต้องกลัวด้วย!”
“ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งแค่ไหน ยังคงเราก็ควรแสดงจุดยืนให้พวกมันเห็นว่า เราไม่ง่ายต่อการถูกรังแก!”
“ผมเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน ในเมืองหยานจิ้งแห่งนี้มีตระกูลใหญ่เล็กตั้งมากมาย และตระกูลหัวของเราเองก็ไม่ใช่ชนชั้นกินเจ ถ้าไม่สู้พวกเราจบ แต่ถ้าสู้พวกเรายังมีความหวัง!”
………
หัวเซินซวนพึงพอใจอย่างมากกับคนเหล่านี้ที่สนับสนุนและเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาจึงยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยกันแบบนี้ ดังนั้นฉันขอเลือกที่จะสู้กับสกุลจ้าวให้ตายกันไปข้าง! แต่…มีใครอยากแสดงความเห็นนอกเหนือจากนี้ไหม?”
ทุกคนที่ยังคงลังเลต่างเหลือบมองไปที่หัวเซินกัวราวกับเป็นความหวังสุดท้าย ถึงอย่างไร คนที่มีอำนาจยารมีรองจากหัวเซินซวนและหัวเซินกังแล้ว ก็คือน้องชายคนสุดท้องอย่างหัวเซินกัว
หัวเซินกัวในตอนนี้อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างเหลือล้น ผู้คนโดยส่วนใหญ่ล้วนสนับสนุนความคิดของพี่ใหญ่และพี่รอง ถ้าเขาในฐานะน้องเล็กขัดแย้งในตอนนี้ สถานะของเขาในตระกูลจะถูกลดทอนลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการประกาศสงครามกับพวกสกุลจ้าวจริงๆ ประการแรก การเคลื่อนไหวโดยไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของศัตรูให้ดีก่อน ก็เท่ากับวิ่งลงเหว และประการที่สอง ตอนนี้พวกเราตระกูลหัวก็ยิ่งใหญ่และมั่นคงดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปสู้กับคนอื่นให้อ่อนแอลง?
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างสองอุดมการณ์ดันดุเดือดภายในหัว สุดท้ายเขายังจำต้องค้านไปตามตรงว่า
“ผมจะไม่ได้มีเจตนาขัดแย้งกับทุกคน แต่ผมอยากพูดอะไรสักหน่อยเผื่อว่าทุกคนจะได้เห็นอีกมุมมองที่แตกต่างกันไป มีสองเหตุผลที่ผมว่าไม่ควรปะทะกับสกุลจ้าวคือ หนึ่งตอนนี้เรายังไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของศัตรู การโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าถือว่าเสี่ยงเกินไป และสองตระกูลหัวของเราในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะมีปัญหาคอขาดบาดตาย แล้วทำไมเราถึงต้องหาปัญหาเข้ามาใส่ตัว ถ้าเกิดเราแพ้ขึ้นมา บริษัทท่าเรือกับอสังหาของเราจะเป็นยังไง? มีใครจะออกมารับผิดชอบรึเปล่าถ้าเกิดสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด?”
เมื่อได้ยินหัวเซินกัวกล่าวออกไปแบบนั้น บรรดาผู้สนับสนุนให้เปิดฉากสงครามก็ดูจะสงบปากสงบคำลงเล็กน้อย
อดเปรี้ยวไว้กินหวานเป็นวลีที่ทุกคนย่อมเข้าใจกันดี และไม่มีใครกินหวานก่อนแล้วค่อยเปรี้ยวแน่นอน ทุกคนในที่นี้ล้วนเคยชินกับการจับจ่ายใช้สอยกว่าหลายพันหยวนต่อวัน ในขณะนี้พนักงานเงินเดือนทั่วไปได้รายรับเพียงสองถึงสามพันหยวนต่อเดือน ถ้าบุกโจมตีตระกูลจ้าวสุ่มสี่สุ่มห้าและล้มเหลวขึ้นมา คุณภาพชีวิตของเหล่าสมาชิกตระกูลหัวเตรียมร่วงสู่การเป็นมนุษย์เงินเดือนได้แล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ใครจะทนได้?
บางคนใช้เงินกินเลี้ยงต่อวันกว่าหลายหมื่นหยวน ซึ่งเงินเดือนพนักงานทั่วไปยังไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ แล้วถ้าต้องให้พวกเขาไปเป็นแบบนั้นสู้ไม่ตายดีกว่าเหรอ?
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไรควรคิดให้ดีก่อนเป็นดีที่สุด
“ผมคิดว่าลุงสามพูดถูก อย่างน้อยก็ควรศึกษาให้ดีก่อนว่าศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าแข็งแกร่งแค่ไหน”
“อันที่จริงเราทุกคนแทบจะคาดเดาความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้แล้วด้วยซ้ำ ขนาดรัฐมนตรีหวังช่วยพวกมัน บางทีการเลือกอยู่กันอย่างสันติคงเป็นวิธีที่ดีกว่าจริงๆ”
“ผมเองก็คิดแบบนั้น แม้แต่ผู้ว่าหลินกับรัฐมนตรีหวังจะเข้าข้างพวกมัน แล้วเราจะไปเอาชนะคนพวกนั้นได้ยังไง?”
…………..
หัวเซินกัวเป็นคนค่อนข้างฉลาดพูดจริงๆ และทุกคำกล่าวของเขาล้วนสมเหตุสมผลทั้งนั้น
เมื่อเห็นฝ่ายฝ่ายค้านกลับชนะในการประชุมครั้งนี้ คนอื่นๆ ก็รีบเปลี่ยนสีหันมาสนับสนุนโดยไว
หัวเซินซวนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวว่า
“ฉันเป็นผู้นำครอบครัวที่ล้มเหลวจริงๆ ช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ยังไม่มีใครอยู่ข้างฉันเลย ฮ่าฮ่า…ก็ดี…ก็ดี…”
ทุกคนต่างตื่นตระหนกอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน และรีบขอโทษพร้อมคำอธิบายในทันที
“เข้าใจผิดแล้วครับ พวกเราไม่ได้ทิ้งไปไหนซะหน่อย แค่อยากให้ลองพิจารณาใหม่อีกครั้งเท่านั้น…”
“ถูกต้อง ถ้าเลือกที่จะสู้ เราก็ควรตรอบสอบอีกฝ่ายให้แน่ใจก่อนดีกว่า ไม่ใช่ว่าเราเลือกที่จะหนี”
“รู้จักศัตรูให้เหมือนรู้จักตัวเอง นี่เป็นความจริงที่ท่านทวดเคยสอนพวกเรา”
…..
หัวเซินซวนอดยิ้มไม่ได้อีกครา โดยปกติแล้วเขามักจะเป็นคนสั่งสอนคนอื่น แต่ตอนนี้คนอื่นๆ กลับสั่งสอนเขาอยู่จริงๆ
แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่คนอื่นกล่าวจะไปไร้เหตุผล อย่างน้อยที่สุดเขาก็ควรทราบก่อนจริงๆ ว่า ตระกูลจ้าวมันแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ก่อนจะเคลื่อนไหวโจมตี
ในเวลานั้นเอง อาหมิง ผู้จัดการท่าเรือหัวก็โทรเข้าหาหัวเซินซวน
หัวเซินหยิบมือถือและเดินหลบไปยังมุมหนึ่ง รับสามเอ่ยถามขึ้นว่า
“อาหมิง มีอะไร?”
อาหมิงรีบกล่าวตอบทันทีด้วยความร้อนใจว่า
“ประธาน แย่แล้ว ลูกเรือโดยส่วนใหญ่ของเราขอลาออก ซึ่งนี่ทำให้เส้นทางการเดินเรือของเราแทบทั้งหมดเป็นอัมพาต!”
หัวเซินซวนอุทานขึ้นทันทีด้วยความตื่นตูมว่า
“ห่ะ?! ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้? แล้วสาเหตุที่คนพวกนั้นขอลาออกล่ะ?”
“พวกเขาให้เหตุผลว่า อย่างแรกคือเรื่องเงินเดือน พวกเรารู้สึกว่าตัวเองทำงานหนัก ออกทะเลบ่อย และแทบไม่มีเวลาได้ดูแลครอบครัว แต่เงินที่ได้กลับแค่หมื่นต้นๆ เท่านั้น ส่วนอีกเหตุผลคือ…”
คล้ายว่าอาหมิงจะไม่กล้าพูดสำหรับเหตุผลที่สองเท่าไหร่ ซึ่งนี่ทำให้หัวเซินซวนหงุดหงิดเป็นอย่าง
ยิ่ง เขาตะคอกสวนขึ้นทันทีว่า
“มีอะไรก็รีบพูดมา ไม่ต้องปิดบังฉัน!”
อาหมิงรีบตอบว่า
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูกเรือชุดที่รองประธานพาเข้ามา พวกเขาเอาแต่พึ่งพาบารมีของรองประธานกินแรงและตั้งตัวเป็นใหญ่ ตอนนี้สังคมลูกเรือถูกแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ลูกเรือคนไหนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับพวกเขาก็จะถูกรังแก จนท้ายที่สุดคนกลุ่มนั้นก็รวมตัวกันประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม ความขัดแย้งระหว่างลูกเรือทั้งสองกลุ่มยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจลาออกยกกลุ่ม”
หัวเซินซวนโกรธจัดแทบลมจับ เขารีบกล่าวตอบไปอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ แกเข้าคุมสถานการณ์เอาไว้ก่อน ห้ามเกิดเรื่องร้ายแรงเด็ดขาด”
อาหมิงกล่าวตอบ
“ได้ครับ!”
หัวเซินซวนเดินมายืนตรงตำแหน่งหัวโต๊ะการประชุม และป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
“เกิดปัญหาขึ้นในท่าเรือ ลูกเรือเกือบทั้งหมดขอลาออก ฉันต้องรีบไปดูสถานการณ์ก่อน!”
ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน
“หื้ม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนถึงลาออก?”
“ร้ายแรงขั้นไหนครับ? ถึงขั้นกระทบการแผนการเดินเรือเลยไหม?”
“ไอ้โง่พวกนั้นจะมาสร้างปัญหาอะไรในวันนี้เนี่ย! บังเอิญเกินไปแล้ว!”
……….
หัวเซินซวนทุบโต๊ะอีกระลอก คำรามลั่น
“หุบปาก!”
ทุกคนต่างสงบปากสงบคำลงทันที
ในเวลานั้นเอง
บนประภาคารสูงระฟ้าของท่าเรือเฉียนตง
จ้าวเฉียนกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบที่ประท้วงลาออกในท่าเรือตระกูลหัว ณ น่านฝั่งทะเลติดกันอยู่อย่างสนุกสนาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาทั้งสิ้น