ตอนที่314 ความหมายเล็กๆ
เมื่อเห็นสมาชิกตระกูลหัวคนหนึ่งล้มลงต่อหน้าต่อตา หัวเซินซวนแทบจะสติแตกผลักฝูงชนไม่สนว่าใครหน้าไหน รีบวิ่งเข้าไปดูทันทีว่าใครกันที่โดนยิง
บางทีนี่อาจจะเป็นความโชคร้ายของตระกูลหัว เพราะเป็นหัวฉีหมิงที่ล้มลง
หัวเซียงชานโดนตัดมือกลายเป็นคนพิการ ส่วนหัวฉีเฉินก็ไร้น้ำยา ดังนั้นหัวเซินซวนจึงตั้งใจจะส่งต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ลูกชายคนเล็กอย่างหัวฉีหมิง โดยหลังจากนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทราบในภายหลัง
แต่ตอนนี้หัวฉีหมิงกลับโดนยิงล้มลงท่ามกลางแอ่งเลือดที่ไหลนอง
หัวเซินซวนรีบวิ่งไปกระชากคอเสื้อจางอู่อวี่โดยไว แต่สุดท้ายกลับโดนสมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลหัวห้ามไว้ทันที ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าตำรวจนายนี้พูดจริงทำจริง และไม่มีใครรู้ว่าถ้าคุณปู่ของพวกเขาเข้าไปมีเรื่องกับอีกฝ่ายจะโดนยิงสวนอีกนัดหรือไม่ ดังนั้นจึงรีบห้ามปรามหัวเซินซวนที่สติหลุดไว้ก่อน
“โทรเรียกรถพยาบาล! โทรเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้!”
หัวเซินซวนแหกปากลั่นทั้งน้ำตา
หัวเซียงโหย่วลูกชายของหัวฉีเฉินรีบหยิบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที
จางอู่อวี่ตอนนี้ถึงกับค้างแข็งไปชั่วขณะ ถ้าหัวฉีหมิงเป็นอะไรไปจริงๆ มีหวังเขาต้องเดือดร้อนแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้หวาดผวาถึงขนาดนั้น เพราะเมื่อครู่เขาเล็งไปที่ต้นขาของหัวฉีหมิง เจตนายิงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเท่านั้นไม่ใช่ฆ่า และนี่ไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
หัวฉีหมิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากที่บริเวณต้นขา ทีแรกพลันคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย จึงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น แต่ผ่านไปสักพักเพิ่งจะมาพบว่าบาดแผลแค่นี้ยังไกลหัวใจ ครานี้จึงกรีดร้องลั่นทันทีว่า
“โอ้ย! ขาฉัน ขาฉัน…”
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นของหัวฉีหมิง สมาชิกทุกคนของตระกูลหัวต่างคลี่ยิ้มกันดูมีความสุขอย่างยิ่ง อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า อีกฝ่ายไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร
จางอู่อวี่รีบสั่งการตำรวจนายอื่นๆ ให้เข้าไปดูแลหัวฉีหมิงทันที ส่วนเขาและที่เหลือจะพาหัวเซินซวนกลับไปสอบปากคำ
นักข่าวเหล่านี้ล้วนถูกส่งมาโดยจ้าวเฉียนทั้งสิ้น พวกเขาเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ ยามนี้รีบกลับไปยังสำนักข่าวและทำต้นฉบับเพื่อเผยแพร่ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ทั้งสำนักข่าวและสื่อหลักทางอืนเตอร์เน็ตก็เริ่มทยอยโพสต์ข่าวนี้กันออกมา
“คนงานของท่าเรือหัวก่อม็อบประท้วง ชนชั้นแรงงานปะทะกับเหล่าผู้บริหาร ทีมตำรวจเข้าแทรกแซงและระงับเหตุได้ทันท่วงที ประธานท่าเรือหัวถูกนำตัวไปสอบสวนและรอผลต่อไป”
“จลาจลครั้งใหญ่! ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์และท่าเรือหัวปะทะกับกลุ่มคนงาน รุนแรงถึงขั้นยิงกัน! ท้ายที่สุดนี้ประธานหัวเรือใหญ่โดนจับไปสอบสวน!”
“เนื่องด้วยความขัดแย้งภายในองค์กร คนงานรวมกลุ่มประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ประธานใหญ่ของท่าเรือหัว หัวเซินซวนไม่พอใจอย่างหนัก สั่งบอดี้การ์ดส่วนตัวเข้าทำร้าย สุดท้ายตำรวจเข้ามาระงับเหตุและเข้าจับกุม ปมมาจากบรรดาลูกจ้างไม่พอใจกับค่าแรงที่ได้รับและไม่สามารถตกลงกันได้ จนเกิดการจลาจลดังภาพที่ปรากฏ”
………….
ทั้งสื่อสำนักข่าวใหญ่หลายแห่งต่างเผยแพร่ข่าวดังกล่าวออกมา ซึ่งนี่จุดชนวนให้เมืองหยานจิ้งระเบิดดราม่าครั้งใหญ่
ตระกูลหัวมีเกียรติและศักดิ์ศรีมาตลอด50ปีที่ผ่านมา หัวเซินซวนที่โดนส่งตัวไปโรงพักถึงกับเป็นลม ทางตำรวจจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งตัวเขาไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ของจ้าวเฉียน นี่ถึงเวลาโทรหาโจวเจียงเฉินเพื่อปิดบัญชีแล้ว
โจวเจียงเฉินได้เห็นข่าวทั้งหมดแล้ว และทราบดีว่าการที่จ้าวเฉียนโทรมาในเวลาแบบนี้มันหมายความว่ายังไง แต่เขายังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และยิ้มเอ่ยถามไปอย่างไร้เดียงสาไปว่า
“ลูกจ้าวว่ายังไง? โทรหาฉันในเวลาแบบนี้คงมีข่าวดีใช่ไหม?”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบไปว่า
“ประธานโจว ตอนนี้ท่าเรือหัวกำลังประสบปัญหาครั้งใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสินค้าของคุณไม่สามารถจัดส่งได้ทันเวลาแล้ว นี่มันก็สองรอบติดกันที่มีปัญหา ข้ออ้างนี้มันมีน้ำหนักพอที่จะฉีกสัญญาความร่วมมือได้โดยไม่ต้องเสียค่าชดเชยใดๆ”
“ฮ่าฮ่า…ลูกจ้าว แผนการของแกแยบยลเกินหยั่งถึงจริงๆ ปั่นประสาทปลาใหญ่อย่างท่าเรือหัวจนเสียสูญได้ขนาดนี้ ฉันขอปรบมือให้ดังๆ เลย หัวเซินซวนเป็นดั่งแม่น้ำสายเก่าแก่ของเมืองหวานจิ้ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีจุดจบแบบนี้ อายุยังน้อยแต่ทำได้ถึงขนาดนี้ฉันล่ะยอมใจเลยจริงๆ สุดยอด สุดยอด…”
“ก็แค่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นครับ”
“ฮ่าฮ่า…นี่ไม่ใช่เล็กๆ น้อยๆ แล้ว ฉลาดเกินอายุโดยแท้ ถ้าฉันเป็นแกคงคิดวิธีจัดการท่าเรือหัวแบบนี้ไม่ได้แน่นอน ในเมื่อลูกจ้าวปูทางไว้ให้แล้ว ฉันก็มีหน้าที่เดินตาม หลังจากนี้ฉันจะส่งคนไปยกเลิกสัญญาความวร่วมมือกับท่าเรือหัวเอง”
“ต้องรบกวนประธานโจวแล้ว หวังว่าพวกเราจะได้เซ็นสัญญาความร่วมมือด้วยกันเร็วๆ นี้”
“ฮ่าฮ่า…แน่นอน ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องทำงานก่อน”
หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนก็โทรไปหาจ้านชุนเล่อต่อทันที เพื่อแจ้งว่าตอนนี้สามารถยกเลิกสัญญากับท่าเรือหัวได้แล้ว
ซึ่งปฏิกิริยาของจ้านชุนเล่อเองก็แทบไม่ต่างอะไรกับโจวเจียงเฉินเลย เขาประหลาดใจอย่างมากกับความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์โจมตีของจ้าวเฉียน
บริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขายิงคำถามใส่ท่าเรือหัวไปตามตรงว่า วันนี้ยังสามารถจัดส่งสินค้าได้ตรงตามเวลาหรือไม่
เหล่าผู้บริหารบอร์ดรีบรวมตัวประชุมกันโดยเร็ว คนงานตอนนี้ย้ายไปอยู่กับท่าเรือเฉียนตงแทบไม่เหลือ แล้วแบบนี้จะสามารถส่งสินค้าตามกำหนดได้ยังไง?
อย่างไรก็ตามแต่ ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่เง่าเกินเยี่ยวยา ถ้าให้คำตอบไปว่าไม่ได้ ทุกคนย่อมทราบถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแน่นอน ทว่าแบบนั้น หัวฉีเฉินในตอนนี้โดนถอดถอนออกจากตำแหน่งรองประธานใหญ่โดยตัวหัวเซินซวนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงธุรกิจทั้งหมดในเครือตระกูลหัว รวมไปถึงท่าเรือหัวแห่งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หัวฉีเฉินเป็นลูกชายคนโตของหัวเซินซวน และเขาต้องออกมารับตำแหน่งประธานแทนไปโดยปริยาย แต่ติดปัญหาที่ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยเด็ดขาด ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไหร่โดยเฉพาะกับในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ ดังนั้นเขาเลยไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง สุดท้ายนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกนอกจากเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับพ่อของเขา
แต่ตอนนี้หัวเซินซวนกำลังอยู่ในอาการโคม่า คุณหมอบอกว่าแกอาจจะนอนไม่ได้สติไปอีกสักพักใหญ่
เมื่อตระกูลหัวไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร คุณแม่ของหัวฉีเฉินอย่างหัวเซียนตงจึงก้าวออกมาข้างหน้าและป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกันทันทีว่า จำเป็นต้องผลักตำแหน่งผู้นำชั่วคราวขึ้นให้ผู้นำรุ่นก่อนอย่างหัวเซียงตงจัดการไปก่อน
อย่างไรก็ตามหัวเซียงตงแก่เกินกว่าจะเข้ามายุ่งกับเรื่องอะไรพวกนี้ไหวแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตายวันตายพรุ่งวันไหน ทว่าภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ก็ทำได้เพียงรับตำแหน่งชั่วคราวไปด้วยความจำใจ
หัวเซียงตงเรียกประชุมครอบครัวเป็นการเร่งด่วน และสิ่งแรกที่ทำคือการคืนตำแหน่งรองประธานท่าเรือหัวให้แก่หัวฉีเฉิน และให้เขาเข้าจัดการดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วนที่สุด
หัวฉีเฉินรู้สึกขอบคุณอย่างมากและรีบสัญญากับคุณปู่ตัวเองว่า
“คุณปู่โปรดเชื่อใจในตัวผมได้เลย หลานชายคึคนนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง!”
หัวเซียงตงแก่ชรามากแล้ว เขาทำได้เพียงค่อยๆ เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“ฉันเชื่อว่าแกทำ ตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือมากแล้ว แกต้องทำยังไงก็ได้เพื่อให้เรือทั้งสองลำแล่นออกจากฝั่งก่อนเที่ยงคืนนี้”
เฉกเช่นเดียวกันตอนที่หัวฉีเฉินกำลังจะเอ่ยตอบ จู่ๆ ก็มีข่าวด่วนมาจากท่าเรือหัว เนื่องจากช่วงกลางวันเกิดการประท้วงขึ้น ทำให้ท่าเรือหัวโดยทางรัฐปิดเส้นทางการเดินเรือชั่วคราว และสั่งห้ามเดินเรือจนกว่าบริษัทจะเจรจากับทางคนงานรู้เรื่อง ทั้งตำรวจและเจ้าหน้ารัฐต่างเจ้าปิดล้อมประตูโกดังสินค้าของท่าเรือหัว สั่งล้อมไม่ให้คนนอกเข้าออกโดยเด็ดขาด
ตระกูลหัวได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งตื่นตระหนกหนักเข้าไปใหญ่ เห็นได้ชัดเลยว่า ไม่ว่าจะทางไหนพวกเขาก็ไม่สามารถขนส่งสินค้าก่อนเที่ยงคืนได้เลย
หัวเซียงตงเริ่มเป็นกังวล แต่เขายังคงกล่าวน้ำเสียงแช่มช้าสั่งการไปว่า
“ฉีเฉินแกรีบไปที่สำนักเขตเดี๋ยวนี้และขอให้ผู้ว่าหลินสั่งถอดถอนกำลังออกจากท่าเรือของเรา ไม่ว่าจะต้องโดนโทษอะไรหลังจากนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องเอาเรือออกให้ได้ก่อนเที่ยงคืน เข้าใจไหม?”
แม้ชายชราคนนี้จะแก่มากแล้ว แต่จิตใจของเขายังคงมีจิตวิญญาณแห่งนักสู้ ตราบใดที่เรือบรรทุกสินค้าออกจากท่าก่อนเที่ยงคืนได้ นั้นก็เท่ากับท่าเรือหัวไม่ได้ละเมิดสัญญาใดๆ และไม่มีเหตุผลที่บริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีจะอ้างฉีกสัญญาได้
ขอเพียงออกจากท่าเรือได้ทันก่อนเวลากำหนด จะถึงที่หมายเร็วหรือช้าพวกเขาก็ยังพอหาข้ออ้างได้ว่าฝนฟ้าไม่เป็นใจหรือเกิดปัญหาขึ้นระหว่างเดินเรือได้ กล่าวคือยังพอสามารถเลี่ยงวลีไม่ให้โดนฉีกสัญญาได้อยู่บ้าง
แต่ในทางกลับกัน หากเรือยังไม่ออกจากท่าก่อนเวลาเที่ยงคืน ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเกินจินตนาการแน่นอน
หัวฉีเฉินรเอ่ยถามทันทีด้วยความสงสัยว่า
“คุณปู่ อย่ากังวลไปเลยครับ แม้จะช้าไปแค่วันเดียว พวกเรายังหาทางแก้ไขได้อยู่”
หัวเซียงตงถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“ทำไมแกถึงไม่คิดล่ะว่า มีใครบางคนจงใจแกล้งพวกเราอยู่เบื้องหลัง? ลองคิดดูสิว่าถ้าพวกเราขนส่งสินค้าล่าช้าฝ่ายใดจะได้ประโยชน์สูงสุด? บางทีใครบางคนที่ว่านั้นอาจนำเราไปก้าวหนึ่งแล้ว คงเตี้ยมกับทางบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีไว้เรียบร้อยว่า ทันทีที่เราขนส่งสินค้าล่าช้าก็จะส่งคนมาฉีกสัญญาโดยตรง ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยตามเงื่อนไขสัญญาที่ระบุไว้ก็เป็นได้ ดังนั้นต่อให้คอขาดบาดตายยังไง เราต้องนำเรือออกก่อนเที่ยงคืน! เข้าใจไหม?”