ตอนที่320 ไม่สู้แล้ว
มีเพียงสองเส้นทางเท่านั้นในตอนนี้สำหรับตระกูลหัว
เส้นทางที่หนึ่งคือ สู้ราคาต่อไปเพื่อรักษาลูกค้ารายใหญ่ทั้งสองเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยต่อลมหายใจให้ท่าเรือหัวได้ไปอีกสักพักและไม่ล้มละลายในพริบตา
แต่ราคาที่พวกเขาต้องสูญเสียหลังจากนี้คือ ภาระขาดทุนกว่า400ล้านหยวนทุกปี แม้ว่าพวกเขาจะกดค่าจ้างและสวัสดิการของคนงานออกไป แต่พวกเขายังต้องจ่ายเงินสุทธิ์กว่า300ล้านหยวนอยู่ดี
เส้นทางที่สองคือ เลือกที่จะยอมแพ้และหาลูกค้ารายอื่น แต่ผลที่จะตามมาคือ ท่าเรือหัวจำเป็นต้องขายเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ออกไปส่วนหนึ่งเพื่อประคองธุรกิจเอาไว้ไม่ให้ล้ม
ทว่าวิธีดังกล่าวมันไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เพราะอุตสาหกรรมท่าเรือในช่วงหลายปีมานี้ค่อนข้างซบเซาอย่างมากสวนทางกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุดนี้ถ้าหาลูกค้ารายใหญ่เข้ามาแทนไม่ได้พวกเขาก็รอวันตายอยู่ดี
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้คือ ไม่ว่าหัวเซียงตงจะเลือกทางไหนก็ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หัวเซียงตงก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องและกล่าวว่า
“ไอ้หนู ถ้ารุกหนักถึงขั้นเอาตายแบบนี้ ฉันเองก็ขอสู้ตายไปข้างเช่นกัน! ขาดทุนขนาดนี้ทุกปีบวกกับค่าจ่ายเดิมของตระกูลกว่าพันล้าน ถ้าตระกูลหัวต้องตายก็ขอลากตระกูลจ้าวตายตามลงไปด้วยเหมือนกัน! ฉันคิดว่าเวลาห้าปีที่แกว่ามันเปล่าประโยชน์สิ้นดี!”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและตอบไปว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้น อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเลย ลองถามคนอื่นๆ ในตระกูลก่อนดีไหมว่าจะกล้าตามด้วยไหม?”
หัวเซียงตขมวดคิ้วหน้ามุ่ย กล่าวตอบสวนกลับไปทันควันว่า
“ไม่จำเป็นต้องถาม! ฉันสู้! ถ้าต้องตายก็ตายด้วยกันไปเลยทั้งตระกูลหัวทั้งตระกูลจ้าว!”
หัวฉีเฉินเป็นกังวลอย่างยิ่งในเวลานี้ เขารีบโพล่งกล่าวขึ้นแทรกทันทีด้วยความร้อนใจว่า
“คุณปู่! คุณปู่อย่าเพิ่งใจร้อนไปสิครับ! พวกเรายังสามารถรักษาความมั่งคั่งของตระกูลไว้ได้ กับอีแค่ท่าเรือเดียวทำไมต้องยอมทุ่มทุนขนาดนั้น แม้จะไม่มีธฌุรกิจท่าเรือแล้ว แต่เรายังสามารถเติบโตได้ในธุรกิจอื่น! เรายังมีโอกาสอยู่ในมือแล้วทำไมคุณปู่ถึงต้องเอามาทิ้งเสียของแบบนี้? คุณปู่อยู่ได้อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว แต่พวกเราสมาชิกตระกูลหัวทุกคนยังต้องกินต้องใช้ไปอีกหลายสิบปี!”
ประโยคท้ายหลังสุดท้ายหัวฉีเฉินไม่ได้ตั้งใจพูดออกมา แต่นั้นก็ทำให้หัวเซียงตงโมโหอย่างยิ่ง
“แก…แก…ไอ้หลานไม่รักดี! นี่แกกล้าพูดแบบนี้กับฉัน… แค่ก…แค่กก!!”
ทันทีทันใดหัวเซียงตงก็เริ่มมีอาการไออย่างรุนแรง ทางด้านหัวฉีเฉินรู้ตัวว่าเพิ่งจะพูดอะไรไม่ดีออกไป จึงรีบเอ่ยขอโทษคุณปู่ทันที
“คุณปู่ ผมขอโทษ แต่ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นเลยนะครับ อย่าเพิ่งโมโห ใจเย็นก่อนนะครับ…”
หัวเซียงตงตะคอกใส่สุดเสียงด้วยความโกรธ
“หุบปาก! เสี่ยวชูเข็นฉันออกไป ไม่ต้องไปสนใจมัน”
ในเวลานี้เอง เสี่ยวชูพยาบาลที่คอยดูแลหัวเซียงตงก็เดินเข้ามาและเข็นหัวเซียงตงออกไปโดยตรง
หัวฉีเฉินยังคงตะโกนไล่หลังเพื่อขอโทษคุณปู่ แต่ท้ายที่สุดนี้หัวเซียงตงกลับเพิกเฉยโดยสมบูรณ์และไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับไปมอง
จ้าวเฉียนยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ตอนนี้ก็เหลือแค่คุณแล้ว ว่ายังไงครับจะสู้หรือจะถอย?”
หัวฉีเฉินกรนด่าสาปแช่งขึ้นมาทันทีว่า
“ไอ้เด็กเวร! ฉันไม่ได้โดนหลอกง่ายเหมือนปู่นะ ใครจะไปโง่ขาดทุนหลายร้อยบ้านต่อไปกัน? เชิญแกโง่ไปคนเดียวเถอะ! ไม่สู้เว้ย! จะทำอะไรก็ตามสบาย!”
ชางหย่าเอ่ยถามขึ้นทันที
“ตอนนี้คุณหัวเป็นตัวแทนของท่าเรือหัวใช่ไหมค่ะ?”
หัวฉีเฉินยิ้มตอบกลับไปว่า
“แน่นอน ฉันเป็นรองประธาน ส่วนพ่อของฉันก็ยังนอนเฝ้าอาการอยู่ในโรงพยาบาลไม่เสติ ดังนั้นคนคุมตระกูลหัวคือฉันเอง!”
จ้านรุยพยักหน้าและส่งหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งให้ทันทีและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณหัวลงนามในสัญญาฉบับนี้ด้วยค่ะ”
หัวฉีเฉินหยิบมันขึ้นมาและเปิดอ่านเนื้อหาโดยละเอียด คล้อยหลังอ่านจบก็ตะคอกขึ้นลั่นด้วยความโกรธว่า
“นี่มันหมายความว่ายังไง! ทำไมเราต้องจ่ายค่าเสียหาย!?”
จ้านรุยหยิบสัญญาอีกฉบับหนึ่งขึ้นมาและตอบไปว่า
“คุณหัวยังจำสัญญาความร่วมมือฉบับก่อนหน้าที่พวกเราเซ็นกันได้ไหมค่ะ? เงื่อนไขในสัญญามันระบุไว้ว่า ถ้าไม่สามารถทำการขนส่งสินค้าได้ภายในเวลาที่กำหนด ทางคุณจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดและถูกปรับค่าเสียหายเป็นจำนวนสามเท่าของค่าขนส่งสินค้าในรอบนั้น000”
เพื่อที่จะกลายมาเป็นพันธมิตรกับบริษัทยักษ์ใหญ่แบบนี้ได้ ท่าเรือหัวจำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมหลายข้อในสัญญา หนึ่งในเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้นก็คือสิ่งที่จ้านรุยเพิ่งกล่าวไป
หากประมาณการณ์คร่าวๆ ท่าเรือหัวจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้บริษัทไชน่าปิโตรเคมีเป็นเงินทั้งหมด150ล้านหยวน แล้วมีหรือที่หัวฉีเฉินจะยอม?
แต่ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น ชางหย่าหยิบสัญญาอีกฉบับหนึ่งมาวางตรงหน้าหัวฉีเฉินพร้อมกล่าวว่า
“สัญญาที่เราเคยลงลงนามกันก่อนหน้าเองก็มีเงื่อนไขแบบเดียวกันระบุไว้อยู่ หากท่าเรือหัวไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ตามข้อกำหนด ทางคุณจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดพร้อมกดับจ่ายสินไหมทดแทนเป็นจำนวนสามเท่าของค่าขนส่ง ทางดิฉันได้คำนวณตัวเลขาเอาไว้เรียบร้อย ทางคุณจะต้องจ่ายค่าชดใช้ให้เรารวมเป็นสองร้อยหกสิบล้านหยวน”
หัวฉีเฉินตื่นตระหนกอย่างหนักเมื่อได้ยินดังนั้น เขาเอ่ยถามเสียงดังลั่นว่า
“ทำไมถึงมากมายขนาดนั้น!?”
ชางหย่าอธิบายต่อว่า
“มูลค่าสุทธิรวมของสินค้าที่ต้องขนส่งรอบนี้คือแปดสิบล้านหยวน ค่าสินไหมชดเชยคือสามเท่าหรือก็คือคิดเป็นเงินสองร้อยสี่สิบล้านหยวน นอกจากนี้ทางคุณยังต้องจ่ายค่าเสียหายที่ทางเราได้รับคิดเป็นร้อยละยี่สิบของมูลค่าความเสียหาย หลังจากคำนวณทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณสองร้อยหกสิบล้านหยวน หลังจากนี้ดิฉันจะส่งสำเนางบประมาณค่าสินค้าให้คุณดูในภายหลัง ว่าเราไม่ได้โกหกหรือโกงใดๆ”
หัวฉีเฉินถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยืนค้างแข็งไปชั่วขณะและเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้น…ได้เอาสำเนามาไหม ผมขอตรวจสอบก่อน”
จางหยางพยักหน้าและหยิบสำเนาดังกล่าวออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเธอทันที และมอบให้กับหัวฉีเฉิน
ตามที่ชางหย่ากล่าวไปไม่มีผิด งบประมาณสินค้ารอบนี้อยู่ที่สิบสองล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสกุลเงินจีนอยู่ที่ประมาณ84ล้านหยวน ค่าสินไหมชดเชยอยู่ในอัตราสามเท่าหรือก็คือสองร้อยสี่สิบล้าน ทั้งหมดถูกต้องตามที่กล่าวไปทุกประการ
หัวฉีเฉินถึงกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดอะไรตายอยาก ราวกับร่างกายของเขากำลังพังทลายลงไป ไม่ว่าจะเลือกต่อสู้หรือถอยหนี ชะตากรรมของตระกูลหัวก็ถูกกำหนดให้ตายแล้วจริงๆ
จ้าวเฉียนเอยหลังพิงเก้าอี้เช่นกันด้วยท่าทีผ่อนคลาย ยิ้มถามหัวฉีเฉินขึ้นว่า
“คุณหัว ตอนนี้คุณรู้รึยังว่าทำไมทั้งคุณพ่อและคุณปู่คุณถึงได้ไม่พอใจในตัวคุณขนาดนี้? เพราะคุณไร้ซึ่งความเป็นผู้นำยังไงล่ะ ควรยอมรับแต่โดยดีนะครับว่า ตระกูลหัวของคุณมาถึงทางตันแล้ว ในไม่ช้าก็เร็วธุรกิจในเครือตระกูลหัวจะต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของตัวคุณเอง เอาล่ะถึงเวลาแสดงความรับผิดชอบกันแล้ว ตระกูลหัวจะสามารถแบกรับภาระขนาดนี้ได้ไหมรึเปล่า?”
หัวฉีเฉินเริ่มเชื่อในคำพูดของจ้าวเฉียนจริงๆ แล้ว แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมแสดงในแง่มุมนั้นออกมาแน่นอน
“แกไม่จำเป็นต้องสอนฉัน! นี่พวกคุณกำลังเอาเปรียบผมชัดๆ! สัญญาที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ผมไม่ยอมจ่ายเงินให้พวกคุณฟรีๆ แน่นอน!”
และนี่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่หัวฉีเฉินเลือกเดินทางผิด เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอ่ยตอบหรือแสดงทัศนคติออกมาทันที ในทางตรงข้ามการผัดวันประกันพรุ่งยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเวลาคิดแผนรับมือได้ดีกว่า แต่ตอนนี้หัวฉีเฉินไม่ต่างอะไรกับนักมวยที่เมาหมัดคู่ต่อสู้อย่างจ้าวเฉียน ดังนั้นพอเขาคิดอะไรได้ก็พูดออกมาโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองใดๆ เลย
พอได้ยินหัวฉีเฉินพูดออกมาแบบนี้ก็เข้าทางบริษัทเมล็ดพืชการาจและไชน่าปิโตรเคมีเข้าไปใหญ่
ชางหย่าหัวเราะคิกคักเอ่ยตอบไปว่า
“ถ้าคุณหัวพูดแบบนี้ ดิฉันคิดว่าพวกเราคงไม่มีอะไรต้องเจรจาด้วยกันอีกต่อไป ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายแล้วกันค่ะ”
จ้านรุยเองก๋แสดงทัศนคติของตัวเธอเองออกไปเช่นกันว่า ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องเจรจาหารือใดๆ กันอีกต่อไป และทางไชน่าปิโตรเคมีจะส่งต่อเรื่องนี้ไปยังชั้นศาลต่อทันที
หัวฉีเฉินที่รู้ดีว่าตอนนี้มันสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกบริษัททั้งสองอีกต่อไป เขาชี้หน้าพวกเธอทั้งสองและกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว! ทางผมจะส่งเรื่องนี้ฟ้องศาลถึงความไม่ธรรมที่ได้รับ! ทั้งหมดรอให้เป็นหน้าที่ของศาลจะตัดสิน!”
ชางหย่าลุกขึ้นเพื่อจัดเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าของเธอทันทีและพูดว่า
“ตามนั้นเลยค่ะ ในเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องสื่อสารใดๆ กับคุณแล้ว ดิฉันคิดว่าพวกเราที่เหลือไปประชุมต่อเกี่ยวกับความร่วมมือกันที่อื่นดีกว่าค่ะ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า
“ไม่มีปัญหาครับ คุณจ้านล่ะครับเห็นว่ายังไง?”
จ้านรุยพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันและกล่าวว่า
“ฉันเองก็เห็นด้วยกับพวกคุณทั้งสองค่ะ ในเมื่อท่าเรือหัวไม่มีความจริงใจต่อพวกเราเลย ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนที่คุยกันเถอะค่ะ”
จ้าวเฉียนยิ้มตอบพวกเธอทั้งสอง ก่อนลุกขึ้นหันไปบอกลากับหัวฉีเฉิน
“คุณหัว พวกเราขอตัวนะครับ”
“จะไปไหนก็ไป!”
หัวฉีเฉินสวนตอบทันทีไร้ซึ่งหางเสียงใดๆ
“ฮ่าฮ่า…”
จ้าวเฉียนหัวเราะและหันหลังเดินจากไป
หวางอวี่จุนยิ้มทักทามให้ชางหย่าและจ้านรุยเดินติดตามกันออกไปเช่นกัน