ตอนที่ 61 ล่อลวงให้ทำชั่ว
อาการบาดเจ็บของสืออีไม่ค่อยดีขึ้นนัก ยาสำหรับรักษาหมดเกลี้ยงแล้ว แม้หยุนเชวี่ยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ในรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
ยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงฝูเทียน* หากยังชักช้าอยู่เช่นนี้ เกรงว่าจะได้ขุดหลุมฝังเขาแล้วจริง ๆ
หลังจากคบหากันได้เพียงสองสามวัน สืออียังกล่าวอีกว่าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้แก่นาง เมื่อคิดดูแล้วรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
หยุนเชวี่ยใจลอยตลอดทั้งเช้า ลืมแม้กระทั่งวางตะเกียบไว้บนโต๊ะอาหาร
หยุนเยี่ยนเรียกสติน้องสาวด้วยการใช้ศอกสะกิดนาง “เชวี่ยเอ๋อ เป็นอะไรไป?”
“ข้าก็มองเจ้าอยู่เหมือน วันนี้เจ้าดูไม่ค่อยดีเลย” แม่นางเหลียนคีบเนื้อไม่ติดมันชิ้นหนึ่งใส่ชามให้ลูกสาว ก่อนจะหันไปมองห้องโถงใหญ่อีกครั้งและกระซิบถามเสียงแผ่วเบา “เรื่องท่านอาชิ่วเอ๋อของเจ้าอีกแล้วหรือ?”
“หือ?” หยุนเชวี่ยได้สติกลับมาและกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ไม่ ข้าไม่ได้ไปหาเรื่องอะไรนาง พวกเรายังนั่งกินข้าวกันตรงนี้เงียบ ๆ ได้หรือไม่?”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหลมบาดแก้วหูของหยุนชิ่วเอ๋อดังขึ้นจากห้องโถงใหญ่ “หากคนตระกูลหยูไปที่สำนักงานบริหาร ข้าจะตายให้พวกท่านดู!”
หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออก
ส่วนแม่นางเหลียนถอนหายใจ
หยุนชิ่วเอ๋อวิ่งคอตั้งออกจากห้องโถงใหญ่ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะใช้เท้าเตะประตูบ้านให้เปิดออกดัง “โครม!”
“ชิ่วเอ๋ออารมณ์รุนแรงเช่นนี้ ออกไปข้างนอกจะทำอย่างไร?”
“ท่านแม่อย่ากังวลใจไปเลย ท่านย่าของข้าบอกว่าหยุนชิ่วเอ๋อกำลังจะได้แต่งกับขุนนาง” หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมาเลียน้ำมันที่เลอะตรงมุมปากของนาง “ข้าได้ยินมาจากเหอยาโถวว่าในครอบครัวขุนนาง จะมีอาจารย์คอยสอนกฎระเบียบต่าง ๆ เมื่อถึงตอนนั้นคงต้องถูกสั่งสอนจนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดถึงจะดีขึ้น”
“เจ้านี่…” แม่นางเหลียนถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ลูกสาวคนรองของนาง เมื่อยามออดอ้อนก็สามารถกล่าววาจาหวานหูแก่ผู้ได้ฟัง แต่บางคราววาจาของนางก็ทำเอาคนกระอักได้เช่นกัน
“กฎระเบียบของตระกูลใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายจะเรียนรู้หรือ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามอย่างโง่เขลา
หยุนเชวี่ยหัวเราะออกมาก่อนกล่าว “ท่านย่ากับหยุนชิ่วเอ๋อคงแทบทนไม่ไหวเชียวล่ะ!”
“เอาเถิด หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว รีบกินข้าว” แม่นางเหลียนมองบุตรสาวพร้อมกับใช้ตะเกียบเคาะข้างชามข้าว
“ท่านแม่” หยุนเชวี่ยเคลื่อนตัวเข้าหานาง
“จะพูดอะไรอีก?”
“ท่านแม่ ในภายหน้าท่านอย่าให้ข้ากับพี่สาวแต่งเข้าตระกูลที่เคร่งคัดกฎระเบียบและไร้เหตุผลเด็ดขาด” นางเอียงศีรษะแล้วกล่าววาจากับผู้เป็นมารดาอย่างจริงจัง
“…” แม่นางเหลียนตกตะลึงกับท่าทางจริงจังของนาง “ถ้าเช่นนั้นบอกมาสิ ว่าเจ้าต้องการครอบครัวแบบใด?”
หยุนเชวี่ยไร้อาการเขินอาย นางเปิดปากกล่าววาจาออกมา “เป็นคนดี อายุน้อย หน้าตาดี มีเหตุผล”
แม่นางเหลียนถึงกับเงียบงัน…
ส่วนหยุนเยี่ยนก้มศีรษะลง ใบหน้าของนางแดงก่ำ
“พูดจาไม่สมเป็นกุลสตรี…”
แม่นางเหลียนให้หวนคำนึงถึงคราวที่นางยังเป็นสาวแรกรุ่น หากถูกผู้ใดกล่าววาจาหยอกเย้า นางมักจะเขินอายและก้มหน้าก้มตาเย็บผ้า ไม่รู้ว่านางให้กำเนิดลูกสาวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร…
นิสัยเหมือนผู้ใดกัน?
“ไม่ใช่ว่าท่านแม่ถามข้าหรอกหรือ…” หยุนเชวี่ยเกาหูด้วยความงุนงง ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับแตะตัวหยุนเยี่ยน “พี่สาว แล้วท่านล่ะ?”
“…”
“บอกมาเถิดพี่สาว ท่านเกิดก่อนข้า อีกไม่นานจะมีคนมาเยือนหน้าประตูเพื่อเจรจาสู่ขอ ในใจท่านชอบคนอย่างไร?”
หยุนเยี่ยนยิ่งทำหน้าแดงไปใหญ่ “ข้า… ไม่รู้…”
แม่นางเหลียนจึงยกนิ้วจิ้มหน้าผากของนาง “หยุดสร้างปัญหาเสียที หากอยู่ข้างนอกเจ้าจะพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ”
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะและขยิบตาให้หยุนเยี่ยน “พี่สาว ข้ารู้ว่าท่านเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ ไว้เราค่อยแอบคุยกันตอนเย็น”
หยุนเยี่ยน…
แม่นางเหลียน…
เสี่ยวอู่…
หยุนลี่เต๋อกระตุกยิ้มอย่างโง่งมออกมาถึงสองครั้ง
ชายผู้ซื่อสัตย์ตระหนักว่าลูกสาวของตนนั้นโตแล้ว ในฐานะพ่อ เขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเป็นสินเจ้าสาว!
หลังจากจากจบมื้ออาหารและล้างจานชามเรียบร้อย ใบหน้าของหยุนเยี่ยนยังแดงเรื่อไม่ยอมคลาย
หยุนเชวี่ยนอนอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ใช้แขนรองศีรษะเอาไว้ สองขาของนางแกว่งไปมา “พี่สาว…”
หยุนเยี่ยนไม่สนใจนาง
“พี่สาว บรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านของเราล้วนชื่นชอบเฟิงซิ่วไฉ ท่านชอบหรือไม่?”
หยุนเยี่ยนหมุนตัวหันหลังให้นาง
“พี่สาว…” หยุนเชวี่ยจักจี้เอวของนางแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ
อีกฟากของผ้าม่าน แม่นางเหลียนดุลูกสาวเบา ๆ “เจ้าเด็กคนนี้ พี่สาวของเจ้าเป็นคนขี้อาย อย่าได้แกล้งนางอีก”
ในที่สุด หยุนเยี่ยนก็ฉวยโอกาสโต้กลับและพูดอย่างเขินอาย “ไม่ใช่ว่าเจ้าชื่นชอบเฟิงซิ่วไฉหรอกหรือ?”
“ไม่จริง” หยุนเชวี่ยหรี่ตาลงด้วยท่าทีนิ่งสงบ “เพียงแค่ริมฝีปากสีแดงสวยและฟันขาว ๆ ของเขามองแล้วดูดีเท่านั้น”
หยุนเยี่ยน…
“พี่สาว ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หยุนเยี่ยนกัดริมฝีปากและหลับตา
“พี่สาว?”
“…”
ในตอนบ่าย
หยุนลี่เต๋อสะพายหน้าไม้ขึ้นหลังเพื่อไปล่าสัตว์บนภูเขาตามปกติ แม่นางเหลียนออกไปซักผ้าที่แม่น้ำ ส่วนหยุนเชวี่ยเท้าคางพิงขอบหน้าต่างบานเล็กด้วยสีหน้างุนงง
เมื่อเห็นชายชราเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาภายใต้ชายคา หลังจากนั้นไม่นานท่านลุงใหญ่หยุนลี่จงกับอาสะใภ้ใหญ่จ้าวก็ออกมาจากห้องฝั่งตะวันออกและร้องเรียก “ท่านพ่อ” จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปที่ห้องชั้นบนและปิดประตูลง
หยุนเชวี่ยกลอกตา “ลุงใหญ่ไปหาท่านปู่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมาล่อลวงอะไรอีก”
ด้วยนิสัยของสองสามีภรรยา มีความเป็นไปได้ถึงเก้าในสิบส่วนว่าพวกเขาจะต้องคิดคำนวณหาผลประโยชน์จากชายชราอย่างแน่นอน
หยุนเยี่ยนนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างหน้าต่าง นางเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับมองออกไป “พวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในนั้นเด็ดขาด”
“อืม ตราบใดที่พวกเขาไม่มายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวเรา”
หยุนเชวี่ยไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากนัก รักษาที่ดินหนึ่งในสามไร่ของพวกเขาเอาไว้ หากผู้อื่นไม่มาทำให้ขุ่นเคือง ก็จะไม่ไประรานผู้ใด
แต่ถ้าหากมีใครมาวุ่นวายล่ะก็…
นางเบะปาก ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาราวแก้วสีนิลหรี่ลงเล็กน้อย
ตอนเย็น
หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนก้าวเท้าเข้ามาในลานบ้าน
“ท่านพ่อ ท่านแม่” หยุนเยี่ยนรีบรินน้ำให้ทั้งสองอย่างเอาใจใส่
“สัตว์ป่าบนภูเขาเริ่มฉลาดมากขึ้น พวกมันรีบวิ่งหนีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำลงบนใบหญ้า” หยุนลี่เต๋อกล่าวพร้อมกับวางไก่ฟ้าสองตัวในมือลง
การเก็บเกี่ยวในวันนี้ไม่มากนัก เขาจึงกลับบ้านเร็วเพราะความรู้สึกที่ไม่กระฉับกระเฉงและเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย
เขาต้องการใช้ประโยชน์จากสองฤดูกาลนี้ล่าเหยื่อให้มากขึ้น เพื่อเป็นการเก็บออมเงิน มิฉะนั้นเมื่อหิมะตกหนักปิดภูเขา ถนนจะถูกตัดขาดทันทีที่ฤดูหนาวมาเยือน
“ข้าพบท่านป้าเจิ้งของเจ้าที่ริมแม่น้ำ เหตุใดนางถึงบอกว่าเจ้าและเหอยาโถวต้องการจ้างช่วยงานกับคนติดตาม?” แม่นางเหลียนกับหยุนเยี่ยนดึงเสื้อนางเพื่อถาม
หยุนเชวี่ยเกาศีรษะ “ท่านป้าเจิ้งนี่ปากไวเสียจริง”
ด้านหนึ่งก็ตำหนิพวกเขาสองคนว่าเป็นเด็ก ‘ปากไม่มีหนวด ทำงานไม่น่าเชื่อถือ*’ ย่อมไม่สามารถจัดการอะไรได้ดี แต่อีกด้านหนึ่งก็เที่ยวป่าวประกาศเสียทั่ว ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกหรือ?
“พวกเจ้าสองคนจะมีเงินจ้างคนงานได้อย่างไร? จะทำอะไรกัน?”
“พวกข้าจะจ้างคนไปช่วยขายบ๊วยดองน้ำตาลในเมือง”
“ไม่ใช่ว่าขายหมดแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว คราวนี้จึงขอให้พี่รองของเหอยาโถวซื้อลูกบ๊วยมาจากทางใต้อีกห้าสิบจิน…”
“ห้าสิบจิน?” แม่นางเหลียนถึงกับตกตะลึง “มันราคาเท่าไหร่กัน? หากอากาศร้อนเช่นวันนี้ อาจจะต้องเททิ้ง”
“อืม” หยุนเชวี่ยพยักหน้าด้วยท่าทีสงบ “นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องจ้างคนงาน หนึ่งคนสามารถขายได้ยี่สิบห่อต่อวัน ดังนั้นพวกเขาจะขายหมดภายในสองสามวัน”
“เจ้าได้เงินมากมายเช่นนี้มาจากที่ใด?” แม่นางเหลียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย
หยุนลี่เต๋อ หยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่ ทั้งสามคนยืนเรียงแถวมองนางด้วยความงงงวย
หยุนเชวี่ยถึงกับใบ้กิน
เหตุใดนางถึงมักจะโดนสงสัยว่าถูกล่อลวงให้ทำเรื่องชั่วร้ายอยู่เสมอ?
* ฝูเทียน ช่วงที่ร้อนที่สุดในสามช่วงฤดูร้อน
* สำนวนที่เอาไว้ตำหนิเด็กหรือวัยรุ่นที่ทำงานด้วยความไม่เชี่ยวชาญหรือทำออกมาใช้ไม่ได้ ถ้าเทียบกับสำนวนไทยก็คล้าย ๆ ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่สำนวนของไทยจะเอาไว้ใช้ต่อว่าคนที่ยังเป็นเหมือนเด็กไม่มีความคิด เป็นการว่ากล่าวตำหนิคนที่ชอบอวดดี คิดว่าตนเองเก่งกว่าผู้อื่นเสียมากกว่า
Related