ตอนที่ 112 กตัญญูต่อบ้านเกิดที่จากมา
“โอ้! หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวกลับมาโน่นแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปค้าขายในเมืองหลวงได้เงินมามากมายเชียวรึ?”
“ข้าเห็นเด็กเหล่านั้นแบ่งเงินกันหลายสิบเหรียญในช่วงกลางวันที่ผ่านมาล่ะ!”
“เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินแบ่งเงินกันตกคนละหลายเหรียญ นั่นหมายความว่าพวกเจ้าหาเงินได้อย่างน้อยหลายร้อยเหรียญใช่หรือไม่?”
“ช่างเป็นเด็กที่ประเสริฐนัก!”
“จำนวนเงินนั้นต้องมากกว่าสองร้อยเป็นแน่ ไม่แน่อาจมากถึงสามหรือสี่ร้อยเชียว!”
“เชวี่ยเอ๋อ บอกให้ป้าฟังทีเถิดว่าในเมืองสามารถหาช่องทางค้าขายทำกำไรได้ง่ายดายถึงเพียงนี้จริงหรือ?”
ตลอดทางกลับบ้าน หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวต่างถูกซักถามถึงรายละเอียดมากมาย แม้เดินมาไกลถึงริมฝั่งแม่น้ำแล้วก็ยังถูกขวางไว้
“ข้าได้เงินจากการค้าขายครั้งนี้ไม่มากนัก” หยุนเชวี่ยส่ายหน้าพลางโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ
สามหรือสี่ร้อยเหรียญงั้นหรือ? พวกเขาคิดว่าเงินแต่ละเหรียญเนรมิตขึ้นมาได้โดยง่ายหรืออย่างไรกัน? ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า หรือกระแสลมหอบพัดมาดีล่ะ?
สตรีวัยกลางคนรายเดิมไม่เชื่อถือคำพูดของหยุนเชวี่ยจึงลองเค้นถามอีกครั้ง “สาวน้อย… อย่าปิดบังคนในหมู่บ้านเดียวกันไปเลย รายได้รวมของเจ้าอยู่ที่กี่เหรียญกัน?”
“โอ้ ข้าพูดความจริงทั้งสิ้น จำนวนเงินไม่ได้มากมายก่ายกองถึงเพียงนั้น…” หยุนเชวี่ยแลบลิ้นเลียริมฝีปากและอดไม่ได้ที่จะโอ้อวดบ้าง “ประมาณ… สองถึงสามร้อยเหรียญ”
สิ้นคำกล่าวเสียงฮือฮาในกลุ่มฝูงชนก็แตกฮืออื้ออึงทันที
“หลายร้อยเหรียญภายในวันเดียวอย่างนั้นหรือ?!”
“ไม่มากอะไรกัน?! นั่นเป็นเงินไม่ใช่น้อย ๆ เชียวนะ!”
“เจ้าสามารถหาเงินได้เพราะขายบ๊วยดองเช่นนั้นรึ? หากข้านำธัญพืชไปขายบ้างเล่า จะได้เงินมากเพียงใด?”
ผู้คนในหมู่บ้านต่างประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเน้นการทำไร่ทำนาเป็นรายได้หลัก พวกเขาต้องลงแรงกายทำงานอย่างหนักเป็นเวลากว่าครึ่งปีนับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิและทำการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งยังต้องแบ่งสันปันส่วนผลผลิตไว้สำหรับบริโภคในครัวเรือน จากนั้นส่วนที่เหลือจึงส่งต่อให้แก่ร้านที่รับซื้อ ซึ่งพ่อค้าคนกลางจะเป็นผู้เดินทางมารับพืชผลและซื้อในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไปถึงสามหรือสี่ในสิบส่วน ทว่าพวกเขาจำต้องยอมรับสภาพด้วยไม่มีทางเลือกอื่น
ในครอบครัวหนึ่งจะมีที่ดินกว้างขวางประมาณสิบไร่ไว้สำหรับทำการเพาะปลูกตลอดทั้งปี เมื่อพ้นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวไปแล้วแต่ละบ้านก็ไม่มีรายได้อื่นอีก
ทันทีที่ได้ยินว่าหยุนเชวี่ยค้าขายบ๊วยดองและบ๊วยเคลือบน้ำตาลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่ออาหารที่เป็นของกินเล่นไม่พอยาไส้เหล่านี้กลับทำเงินได้มากกว่าการเก็บเกี่ยวธัญพืชทั้งปีและนำไปขายเสียอีก!
“เชวี่ยเอ๋อยังเยาว์วัยแต่กลับมีหัวการค้าปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ในอนาคตพ่อแม่ของเจ้าจะต้องสุขสบายเป็นแน่” หลายคนรู้สึกชื่นชมและนึกอิจฉาครอบครัวของหยุนเชวี่ย
“นี่ หากการทำการค้าในตัวเมืองสามารถทำเงินได้มากมายเช่นนี้ แล้วเหตุใดพวกคนในเมืองนั่นจึงรังแต่จะเอารัดเอาเปรียบพวกเราอยู่เรื่อย” ใครคนหนึ่งอดทำหน้าบูดบึ้งไม่ได้
เกิดเป็นมนุษย์ยิ่งมั่งมียิ่งต้องรู้จักเอื้ออารีต่อญาติมิตรและพวกพ้อง แม้พวกเขาจะไม่มีความคิดในการหาสินค้าไปขายและสร้างรายได้มหาศาลเทียบเท่าหยุนเชวี่ย แต่การทำงานรับจ้างเช่นเดียวกับเผยเสี่ยวส้วยและเหลียวชีจินและได้รับเงินยี่สิบถึงสามสิบเหรียญทุกวันก็ถือว่าไม่เลวนัก
“สาวน้อย… ก่อนหน้านี้เจ้าเคยประกาศว่าต้องการจ้างคนเพื่อช่วยขายของมิใช่หรือ? ครอบครัวของข้ายังมีเป่าเอ๋อที่ขยันขันแข็งและใช้งานได้!”
“ชุ่นสือของข้านั่นปะไร! เขาเฉลียวฉลาด ทั้งยังยินดีทำทุกอย่างตราบใดที่พวกเจ้าสามารถสั่งสอน”
“ชุ่นสือยังเล็กนัก เกรงว่าเขาจะคำนวณเงินไม่เป็นด้วยซ้ำ จ้างเด็ก ๆ ในครอบครัวของข้าดีกว่าแยะ!”
“เจ้าจะพาเป๋าเอ๋อมาลำบากหรืออย่างไร เด็กคนนั้นโตแล้วจะหัวอ่อนยอมฟังผู้อื่นโดยดีได้อย่างไรกัน?”
หยุนเชวี่ยถูกผู้คนรายล้อมไว้ตรงกลาง ยังไม่ทันกล่าวคำใดสองครอบครัวก็ปะทะคารมเพื่อแย่งชิงตำแหน่งงานกันเสียแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้หยุนเชวี่ยรูู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยจนต้องเหลือบมองเหอยาโถวเพื่อขอความช่วยเหลือ
‘ช่วยแผดเสียงแปดหลอดของเจ้าช่วยข้าทีได้หรือไม่?’
“น้าจาง น้าหวาง น้าซู น้าหลี่… พวกท่านหยุดต่อล้อต่อเถียงกันสักครู่เถิดแล้วฟังข้าก่อน!”
ทันทีที่เหอยาโถวตะโกน เสียงอื้ออึงจึงเงียบสงบลง
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าลองไตร่ตรองดูสักหน่อยเถิด”
“หากเสี่ยวส้วยเอ๋อทำได้ แล้วเหตุใดชุ่นสือของข้าจะทำไม่ได้?”
“หากกิจการบ๊วยดองเป็นไปด้วยดี เช่นนั้นยิ่งต้องมีลูกจ้างเพิ่ม…”
“ถูกแล้ว ต้อง…”
สตรีวัยกลางคนสองสามคนพยายามแย่งกันเสนอตัวลูกหลานให้ได้ทำงานกับหยุนเชวี่ย ทว่าหยุนเชวี่ยกลับฟังอะไรไม่ถนัดและรู้สึกราวตนกำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝูงเป็ดที่เอาแต่ตะเบ็งเสียงแข่งกัน
“ท่านน้าทั้งหลาย!” เหอยาโถวตะโกนขึ้นกลางวงล้อมอีกครั้ง “พวกท่านหยุดทะเลาะกันก่อนได้หรือไม่?!”
ฉับพลันเสียงโหวกเหวกจึงเงียบลงอีกครั้ง
“ความจริงมีพวกเราอยู่เพียงสี่คนก็เพียงพอแล้ว ช่วงเริ่มแรกเรายังไม่ต้องการลูกจ้างมากมายถึงเพียงนั้น!”
“ไอหยา! ใจกลางมณฑลออกจะกว้างขวาง จะมีคนขายเพียงสี่คนได้อย่างไร? ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งหาเงินได้มากขึ้นไม่ใช่รึ?”
“ถูกต้อง ทุกคนล้วนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันสร้างรายได้!”
“ใช่แล้ว! พวกเราล้วนมีน้ำใจสัตย์ซื่อ ไม่มีทางทำลายธุรกิจของพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”
หยุนเชวี่ย…
เหอยาโถว…
ครั้งแรกที่หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวริเริ่มเปิดกิจการและประกาศจ้างผู้คนมาช่วยขาย แต่ละบ้านล้วนไม่แยแสพวกเขาและมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ ตอนนี้เมื่อรู้ว่าทั้งสองหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำกลับแสดงความโลภในตัวเงินและเสียใจที่กล่าวปฏิเสธในตอนแรก
การรับจ้างไปค้าขายในเมืองสามารถทำเงินได้มากถึงหลายสิบเหรียญในวันเดียว หากขยันหาเงินหลายวันติดต่อกัน ไม่แน่ว่าจำนวนเงินอาจเพิ่มพูนกระทั่งสามารถซื้อวัวได้หนึ่งตัว!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสามารถหอบสินค้าเขาไปขายในเมืองตั้งแต่ก่อนเที่ยง ครั้นได้เงินเป็นที่น่าพอใจจึงกลับมายังหมู่บ้านเพื่อทำนาต่อในช่วงบ่าย ถือเป็นการสร้างรายได้ทั้งสองทางเลยมิใช่หรือ?
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าพูดอะไรสักหน่อยเถอะ เราทุกคนล้วนมาจากหมู่บ้านเดียวกันทั้งสิ้น หากเรือล่มในหนองแล้วเงินทองจะลอยไปที่ใดได้?” ป้าหวางพยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรงเพราะอยากให้ลูกชายของตนได้มีเงินไว้ซื้อขนมหวานกินบ้าง
หยุนเชวี่ยอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไรดี
แม้ตัวเมืองอันผิงจะกว้างใหญ่แต่ไม่ได้หมายความว่าในบรรดาผู้คนซึ่งสัญจรพลุกพล่านจะหยุดซื้อบ๊วยดองของหยุนเชวี่ยทุกราย ดังนั้นเวลานี้หยุนเชวี่ยยังไม่ต้องการจ้างคนมากมายถึงเพียงนั้น
“เด็กสองคนนี้ก็เอ่ยชัดเจนแล้วว่าขณะนี้ยังไม่ต้องการจ้างคน เหตุใดพวกเจ้าจึงยังเซ้าซี้ไม่เลิก?” หยางเจี๋ยเฉวียนผู้เป็นแม่ของเฟิงสือยวินโพล่งขึ้น
ตระกูลเฟิงมีภูมิหลังครอบครัวที่ดีพร้อม อีกทั้งบรรดาลูกชายของหยางเจี๋ยเฉวียนล้วนเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้สูง ด้วยคำพูดของนางเพียงไม่กี่ประโยคจึงมีอิทธิพลให้คนอื่น ๆ ยอมสงบลงแต่โดยดี
“นี่เป็นเรื่องที่ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกันมิใช่หรือ? ถิ่นฐานเราล้วนอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน หากมีช่วงเวลาดีงามย่อมต้องแบ่งปันหรือไม่ถูก?” ป้าหวางกล่าวพลางลดระดับเสียงลง
สิ่งที่ป้าหวางกล่าวเป็นความจริง ทั้งยังเป็นค่านิยมที่ยึดถือกันจวบจนยุคปัจจุบันว่าเรื่องของคนในหมู่บ้านหากสืบทราบต้องพยายามเข้ามามีส่วนร่วม
ตัวอย่างเช่นคนในหมู่บ้านที่ออกไปแสวงโชคด้านนอกและหวนกลับมาพร้อมชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งสิ่งที่เขาต้องนำติดมือกลับมาคือของฝากอย่างดีและทำการพัฒนาหมู่บ้านที่ตนจากมาให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งหยุนเชวี่ยไม่เข้าใจเลยว่าคนเหล่านั้นมีบุญคุณอย่างไร? เหตุใดจึงต้องหลั่งน้ำตาให้กับถิ่นฐานบ้านเกิด?
“พวกเจ้าเพิ่งจะเริ่มทำการค้าได้ไม่นานนี้เองมิใช่หรือ? ข้าเชื่อว่าวันข้างหน้าหากเจ้าทำมาค้าขึ้นแล้วจะต้องไม่ลืมพวกเราอย่างแน่นอน” แม่นางหยางหันไปขยิบตาให้หยุนเชวี่ยพร้อมเผยรอยยิ้ม
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวรีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ! นี่ก็เย็นย่ำเต็มทีแล้ว แยกย้ายกลับไปปรุงอาหารมื้อเย็นที่บ้านกันเถิด…”
พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลับลงสู่ปลายขอบฟ้า คงเหลือไว้เพียงแสงสุดท้ายของวันซึ่งสว่างกระจายไปทั่วบริเวณฉาบทาบ้านเรือนให้กลายเป็นสีส้มแดง
ลักษณะเช่นนี้บ่งบอกว่ายามเที่ยงของวันถัดไปต้องมีแดดจัดเป็นแน่
เหอยาโถวพูดพลางเตะก้อนกรวดบนพื้นถนน “อันที่จริงน้าหวางกับน้าหลี่ก็เป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย”
“ใช่” หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
ผู้ใดบ้างไม่เบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวเงินวางกองอยู่ตรงหน้า ผู้ใดบ้างจะไม่แยแสกับธุรกิจที่สามารถทำให้ตนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง
“รอก่อนเถิด ในอนาคตเราจะต้องขยายกิจการให้ใหญ่โตเทียบเคียงกิจการของพี่เขยรองของข้า ทุกคนในหมู่บ้านจะได้มีอาชีพและร่ำรวยขึ้น!” เหอยาโถวยึดอกพร้อมให้คำมั่นอย่างหนักแน่น
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน”
หยุนเชวี่ยกวาดสายตามองทัศนียภาพโดยรอบของหมู่บ้านขนาดเล็กในชนบทอันสงบเงียบแห่งนี้ ฉากหลังเป็นภูเขาอันอุดมสมบูรณ์เขียวขจี มีลำธารใสไหลเย็นตัดผ่าน สายลมโชยพัดพาเอาความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์มาเป็นระยะ ชาวบ้านทุกคนล้วนอัธยาศัยดีและดำรงชีพอย่างเรียบง่าย หยุนเชวี่ยค้นพบว่าตนเริ่มหลงรักบรรยากาศทั้งมวลของสถานที่แห่งนี้เข้าเสียแล้ว
“จริงหรือ? นั่นเยี่ยมยอดไปเลย! เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยซีว่าในอนาคตเจ้าต้องการทำสิ่งใดบ้าง ข้ายินดีรับฟังเจ้า…”
“ข้ายังไม่ได้คิดไกลถึงเพียงนั้น มันยังเร็วเกินไป…”
“อะไรรึที่เร็วเกินไป?”
“ให้ข้าคิดทบทวนดี ๆ ก่อนเถอะน่า”
ในเขตบ้านตระกูลหยุนปรากฏควันจากการก่อไฟทำอาหารม้วนตัวลอยคลุ้งขึ้นสู่ด้านบน
หยุนเยี่ยนนั่งอยู่ไม่ห่างจากแม่นางเหลียนและคอยหยิบจับช่วยเหลือเป็นลูกมือที่ดี ส่วนเสี่ยวอู่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างแปลงผักและวาดเขียนภาพลงบนดินด้วยกิ่งไม้ในมือ
“เชวี่ยเอ๋อกลับมาแล้ว! ไปล้างหน้าล้างตาเตรียมกินข้าวเถิด” แม่นางเหลียนมองไปที่รอยยิ้มสดใสของหยุนเชวี่ยและพลอยมีความสุขกระทั่งดวงตาหรี่เล็กลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
ช่วงเช้าที่ผ่านมาแม่นางเหลียนเดินไปยังแปลงผักที่เพิ่งขุดขึ้นสำหรับทำการเพาะปลูกเมื่อไม่นานมานี้ ครั้นพบเจอผู้คน พวกเขาต่างเข้ามารุมล้อมชื่นชมตนว่าเชวี่ยเอ๋อมีความสามารถเพียงใด