ตอนที่ 120 หากไม่เคยทำชั่ว อย่ากลัวผีมาเคาะประตูเรียก
“เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงเถียงลุงใหญ่เช่นนั้น?”
ภายในห้องนอนเล็ก ๆ หยุนเยี่ยนเอ่ยถามหยุนเชวี่ยพลางจัดการปูที่นอนเสียใหม่
“หากข้าทำผิดจริงแล้วเหตุใดท่านลุงจึงไม่ทุบตีสั่งสอนข้าเสีย?” หยุนเชวี่ยไม่ยอมแพ้ “หากไม่ได้ทำความผิด เหตุใดต้องหวาดระแวงว่าผีจะมาเคาะประตูเรียกเล่า? จริงหรือไม่ เสี่ยวอู่?”
เสี่ยวอู่ซึ่งนอนอยู่บนเตียงใหญ่ก่อนแล้วพยักหน้า
“เฮ้อ… ถึงอย่างไรเจ้าก็ควรเห็นแก่หน้าท่านแม่เสียบ้าง ป่านนี้คงถูกตำหนิใหญ่แล้ว” หยุนเยี่ยนส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา
“พี่สาว ข้าจะบอกอะไรบางอย่าง…” หยุนเชวี่ยวางถ้วยน้ำชาลง “ป้าสะใภ้ใหญ่ศีรษะแตก อาสามและอาชิ่วเอ๋อเอาแต่กล่าวโทษกันไปมาไม่มีผู้ใดยอมรับผิดถูกต้องหรือไม่?”
หยุนเยี่ยนนิ่งฟังก่อนพยักหน้า
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นแต่ลุงใหญ่กลับไม่คิดต่อว่าพวกเขาที่เป็นตัวการทำให้เกิดเรื่อง กลับกันเขาได้ตำหนิท่านพ่อของพวกเราไม่หยุดปากว่าเดินทางล่าช้าทำให้หมอมารักษาไม่ทันการณ์ หากป้าสะใภ้เกิดอันตรายแก่ชีวิตจริง ท่านคิดว่าลุงใหญ่จะไม่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของท่านพ่อเชียวรึ?”
หยุนเยี่ยนตกตะลึง “นะ… นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?”
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้? ท่านอย่าลืมสิว่าลุงใหญ่เป็นคนเช่นไร ทั้งยังมีอาสามและอาชิ่วเอ๋อคอยผสมโรง ท่านลืมแล้วหรือว่าครั้งที่มีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลหยูเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง?”
คำกล่าวของหยุนเชวี่ยทำให้หยุนเยี่ยนฉุกคิดตามและปิดปากเงียบไม่กล้าต่อว่าอีก
“แม้ครอบครัวของเราจะยึดคุณธรรมในชีวิตเป็นที่ตั้ง แต่ใช่ว่าเราจะมีเมตตาเสียจนปล่อยให้พวกเขานึกรังแกอย่างไรก็ได้ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยถอดรองเท้าออกก่อนปีนขึ้นเตียงและเอนกายลงนอนเหยียดยาว “ถ้อยคำของข้าไม่ใช่การเถียงคำไม่ตกฟาก ทว่าเป็นการประกาศให้พวกเขารู้ว่าเรารู้ทันทุกการกระทำชั่วช้าของเขา หากนึกใส่ความกันอย่างไร้เหตุผลอีกละก็… ข้าจะโพนทะนาให้กระจ่างว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด!”
“แต่นั่นอาจทำให้เขายิ่งโกรธเคืองเราเข้าไปใหญ่…”
“ข้าต่างหากที่ควรโกรธเพราะเขาเป็นฝ่ายคิดรังแกพวกเราก่อน!”
“ถึงกระนั้นลุงใหญ่ยังถือเป็นความหวังสูงสุดของคนในตระกูล จำไม่ได้หรือ? เขาเคยกล่าวว่าหากสอบรับราชการเป็นขุนนางสำเร็จวันใด ครอบครัวของเราจะพลอยเจริญก้าวหน้าไปด้วย”
“แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร? นับแต่วันนั้นสู่วันนี้ล่วงเลยมาแล้วเป็นสิบยี่สิบกว่าปี หากเป็นเช่นคำอวดอ้างนั้นจริงเขาคงประสบความสำเร็จไปนานแล้ว จะพล่ามวาจาขายฝันให้พ่อแม่พี่น้องไปโดยไร้เป้าหมายด้วยเหตุใด?”
หยุนเยี่ยนดับไฟในตะเกียงกระทั่งทั้งห้องมืดลง “เจ้าคิดว่าครั้งนี้ท่านลุงจะทำได้จริงหรือไม่?”
“พี่สาว ท่านอยากให้ลุงใหญ่รับราชการใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยกระเถิบเข้าไปใกล้
“ใช่”
“ท่านหวังให้เขารับราชการเป็นขุนนาง จากนั้นจึงพาครอบครัวบนบ้านใหญ่ไปอยู่ในจวนเสียทั้งหมดเพื่อที่ครอบครัวของเราจะได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุขเสียทีใช่หรือไม่?”
“เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียจริง…”
“เฮ้! บังเอิญว่าความคิดของเราค่อนข้างคล้ายคลึงกันทีเดียว! สมควรแล้วที่เราสองคนเกิดเป็นลูกสาวของท่านแม่!”
หยุนเยี่ยนเพียงเม้มริมฝีปากและยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าไม่ปากร้ายใจเร็วเท่าเจ้าหรอก”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หยุนเชวี่ยเกือบคล้อยหลับเต็มที แต่แล้วกลับได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไหวจากบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน หยุนลี่เต๋อกลับมาถึงบ้านแล้ว
“เหตุใดจึงใช้เวลานานถึงเพียงนี้เล่า?” แม่นางเหลียนซึ่งค่อยชะเง้อมองหาการกลับมาของหยุนลี่เต๋ออยู่บ่อยครั้งเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ไม่ลำบากนักหรอก เร่งชงชาให้หมอหลี่ก่อนเถิด” หยุนลี่เต๋อดูอิดโรยทว่ายังคงยกยิ้มอย่างมีมารยาท
“อย่าลำบากเลย ข้าไม่มีเวลานั่งลิ้มรสชาของพวกเจ้า” หลี่หลางจงโบกมือพัลวัน “พาข้าเข้าไปหาคนเจ็บเร็วเข้า!”
“เช่นนั้นรีบเข้าไปด้านในห้องเถิดขอรับ”
หยุนเชวี่ยผุดลุกขึ้นจากที่นอนพลางยกมือขึ้นขยี้ตาขับไล่ความง่วงงุน “พี่สาว ท่านพ่อกลับมาแล้ว ข้าจะไปดูเขาเสียหน่อย”
“อย่าเข้าไปสร้างปัญหาเพิ่มเติมเลย”
“อย่ากังวลไป ครั้งนี้ข้าไม่ทำให้ท่านพ่อต้องอับอายเป็นแน่”
ห้องปีกตะวันออก
แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันไหววูบสาดส่องไปทั่วบริเวณห้อง
“แม่นางท่านนี้เกิดอุบัติเหตุถูกถ้วยชากระแทกและแตกบาดเข้าศีรษะ ครู่นี้ข้าหาสมุนไพรมาห้ามเลือดแล้ว ทว่านางกลับยังไม่ฟื้นคืนสติเสียที ท่านหมอได้โปรดหาทางรักษานางด้วย” แม่นางเหลียนอธิบาย
หลี่หลางจงเหลือบตามองบาดแผลของแม่นางจ้าวซึ่งนอนสลบไสลอยู่บนเตียงไม่ไหวติง จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อและเตรียมยื่นมือออกไปเพื่อกดจุดนวดเส้นบริเวณข้อมือ “ค่าวินิจฉัยอาการเล่า?”
การลื่นตกลงไปในคูน้ำครั้งเดียวย่อมเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนฉลาดขึ้น คราวที่แล้วหลี่หลางจงถูกฉ้อโกงค่ารักษาอย่างไร้ยางอาย ฉะนั้นหลี่หลางจงไม่มีทางถูกโกงอีกเป็นครั้งที่สอง
“พี่ใหญ่?” หยุนลี่เต๋อหันไปมองหยุนลี่จง
“เจ้ายังไม่ทันตรวจดูอาการของภรรยาข้าด้วยซ้ำแต่กลับถามหาค่ารักษา เจ้าเป็นหมอหรือมิจฉาชีพกันแน่?!” ใบหน้าของหยุนลี่จงคล้ำเข้มเป็นสีแดงก่ำด้วยความไม่พึงใจยิ่ง
“จะให้โดยดีหรือไม่? หากบ่ายเบี่ยงมากความข้าจะไม่ทำการรักษาต่อ จากนั้นเจ้าจงไปหาหมอรายอื่นมารักษาแทนข้าเสีย!” หลี่หลางจงกล่าวความประสงค์ของตนอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ซ้ำร้ายยังตั้งท่าจะวางมือจากการกดจุดจับเส้นและพร้อมเก็บกล่องยาเดินจากไปได้ทุกเมื่อ
“หลี่หลางจง โปรดอย่าด่วนร้อนใจเรื่องนี้” หยุนลี่เต๋อรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบทันที
แม่นางเหลียนเร่งยกถ้วยน้ำชายื่นจ่อตรงหน้าของแขกผู้มาเยือนยามวิกาล “ท่านหมอโปรดหยุดพักเสียหน่อย ดื่มชาร้อนรสชาติดีสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”
“เป็นเพราะน้องชายคนรองของเจ้าที่ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดีข้าจึงยินยอมดั้นด้นตามมาถึงที่นี่ หากไม่ใช่เขาแล้วละก็ข้าไม่มีวันเดินทางข้ามธรณีประตูของบ้านตระกูลหยุนนี้เป็นแน่!” หลี่หลางจงขึ้นเสียงอย่างไร้ซึ่งความปรานี ทว่ากลับรับน้ำชาจากมือแม่นางเหลียนและยกขึ้นจิบเพื่อดับกระหาย
“นั่นถือเป็นน้ำใจโอบอ้อมอารีจากท่านที่อุตส่าห์เมตตาผู้ยากอย่างเรา ไม่ว่าผู้ใดป่วยไข้เจ็บหนักย่อมตั้งตารอคอยการมาของท่านทั้งสิ้น ต่อให้บ้านอยู่ห่างไกลถึงสิบไมล์ก็ตาม”
“ฟังดูสมเหตุสมผล เช่นนั้นข้ารักษาและค่าเสียเวลาเดินทางของข้าไม่ควรต่ำกว่าสามสิบเหรียญ! ลดน้อยกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“พี่ใหญ่!” หยุนลี่เต๋อหันไปขยิบตาให้กับหยุนลี่จง
“ท่านพ่อ… ให้เงินเขาเพื่อจะได้ทำการรักษาอาหารท่านแม่เร็วเถิด!” หยุนเยว่ร้องบอกอีกเสียงโดยที่น้ำตาแห่งความสิ้นหวังไหลรินอาบสองแก้ม
หยุนลี่จงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพ่นลมหายใจแรงก่อนหมุนตัวกลับไปอีกทางเพื่อรวบรวมเงิน
“พี่ใหญ่แห่งตระกูลหยุนผู้เป็นเพียงนักปราชญ์ชั้นสามัญ ทว่าอุปนิสัยกลับหยิ่งจองหองเสียยิ่งกว่าเจ้าเมืองเสียอีก” หมอหลี่แค่นเสียงเย้ยหยัน
“ข้าต้องรบกวนท่านหมออีกครั้งแล้ว…” หยุนลี่เต๋อตระหนักว่าตนไม่ควรนิ่งเงียบจึงเอื้อนเอ่ยบางประโยคเป็นการขออภัยแทนหยุนลี่จงที่เสียมารยาท
ไม่นานนักหยุนลี่จงจึงเดินออกมาจากห้องชั้นบนก่อนเหวี่ยงแขนออกไปด้านหน้ากระทั่งถุงผ้าซึ่งบรรจุเงินสามสิบเหรียญอยู่ภายในร่วงหล่นลงกองบนโต๊ะ
“สตรีกินล้างกินผลาญ! เหตุใดเจ้าไม่ตายตกไปเสียให้สิ้นเรื่อง! หญิงชราเช่นข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับยังไม่เคยเจียดเงินสักแดงเพื่อรักษา ลูกชายตระกูลหยุนแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่รังแต่จะสูบเลือดเนื้อเสียทุกคน น่าสมเพชสิ้นดี!” เสียงสาปแช่งรุนแรงของแม่เฒ่าจูดังตามออกมาจากประตูอีกบานที่อยู่ใกล้เคียง
แม่นางเหลียนรีบเก็บรวบรวมเหรียญทองแดงซึ่งร่วงกระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะขึ้นนับอย่างรวดเร็ว “ท่านหมอต้องการนับก่อนหรือไม่?”
“ไม่ต้องเสียเวลาหรอก” หลี่หลางจงโคลงศีรษะ
ทันทีที่เก็บเงินเข้าที่เรียบร้อยแล้วหลี่หลางจงจึงทรุดกายลงนั่งในท่าเดิมเพื่อวินิจฉัยอาการผิดประหลาดของแม่นางจ้าวอีกครั้ง
“จับชีพจรแล้วยังเต้นสม่ำเสมอไร้อันตรายเกินเยียวยา เบื้องต้นเลือดหยุดไหลแล้ว อีกไม่นานนางคงฟื้นคืนสติ” หลี่หลางจงลูบเคราของตนพลางครุ่นคิด “เช่นนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาสองสามอย่างเพื่อช่วยบำรุงจิตใจให้สงบและผ่อนคลายยิ่งขึ้น”
ครั้นกล่าวจบหลี่หลางจงจึงนำกระดาษแผ่นบางออกจากกล่องยา จากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้นจุ่มหมึกและจรดปลายลงขีดเขียน
“ไร้อันตรายเกินเยียวยา? ในเมื่อนางปลอดภัยแล้วเหตุใดจึงเรียกเอาเงินจากข้าถึงสามสิบเหรียญ?! นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ?” หยุนลี่จงไม่วายตำหนิอีกฝ่าย
“มากเกินไปแล้วอย่างไร? ตระกูลของเจ้ารู้จักหมอยาดีผู้อื่นนอกจากข้าด้วยอย่างนั้นรึ?!” หมอหลี่ตอกกลับอย่างไม่คิดรักษามารยาทอีกต่อไป
“จะ… เจ้า! เจ้าเป็นถึงหมอรักษาแต่กลับปลิ้นปล้อนกลับกลอกถึงเพียงนี้เชียวรึ?!”
“ช่างน่าแปลกนัก… ครอบครัวอื่นมีแต่จะรู้สึกยินดีที่ญาติมิตรห่างไกลจากความตาย เหตุใดดูเจ้าไม่ยิ้มแย้มแม้สักครั้ง?”
“หยุดพล่ามวาจาไร้สาระได้แล้ว!” หยุนลี่จงขึ้นเสียงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด “เจ้ารอง! ขับไล่ไอ้หมอจอมต้มตุ๋นผู้นี้ออกไปจากบ้านของข้าเสีย!”
“ไม่จำเป็นต้องรบกวนผู้ใดทั้งสิ้น ข้าจะกลับออกไปเอง!” หลี่หลางจงเก็บอุปกรณ์ลงกล่องยาเสียงดังปึงปังด้วยความไม่สบอารมณ์เช่นกัน
หยุนลี่เต๋อรับอาสาส่งหมอหลี่ออกไปจากบ้านด้วยความสุภาพ
“ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ข้ารักษาคนมานักต่อนักแล้ว ไม่เคยมีเจ้าบ้านคนใดไร้มารยาทและสามหาวเช่นเขามาก่อน ถุย!” หมอหลี่ถ่มน้ำลายลงพื้นพลางกล่าวสาปแช่ง
เพราะหลี่หลางจงเป็นคนใจอ่อนขี้สงสารผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่เป็นนิจ ทว่าความเมตตาของตนกลับนำพามาซึ่งปัญหาใหญ่โตซึ่งทำเอาท้องไส้ปั่นป่วน
“ครอบครัวของข้าเสียมารยาทกับท่านไม่น้อย” หยุนลี่เต๋อเดินตามหลังหลี่หลางจงไปพลางพยายามเอ่ยขออภัย
“อย่ามัวแต่ขอโทษแทนพี่ชายหน้าโง่ของเจ้าเลย ครั้งนี้ข้าไม่ขอสาปแช่งให้แม่นางผู้นั้นตายตกไปเสีย ทว่าครั้งหน้าไม่ว่ามีเหตุใด ข้าจะไม่ขอกลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นหนที่สาม!”
“หนทางด้านหน้ามืดมิดนัก ท่านหมอโปรดเดินระวังด้วย…”
“ไม่ต้องส่งข้า กลับเข้าไปเสีย!”
หลี่หลางจงยังคงมีอารมณ์คุกรุ่นไม่คลาย เขาเป่าเคราพลางส่งเสียงฮึดฮัดและสาวเท้าเดินออกไปให้พ้นเขตรั้วบ้านหลังนี้โดยเร็ว
ด้านหลังของหลี่หลางจงที่หายลับไปยังคงมีเสียงก่นด่าของหยุนลี่จงดังตามมาอย่างต่อเนื่อง “เจ้ารอง! บังคับให้มันคืนเงินมาเสีย! ภรรยาข้ายังไม่ฟื้นคืนสติจะเรียกว่ารักษาได้อย่างไร?! ไอ้โจรหลอกลวง!”
หลี่หลางจงทำหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงนั้นก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
หยุนลี่เต๋อชะงักฝีเท้าพร้อมส่ายศีรษะและถอนหายใจ
เมื่อรับรู้ว่าแม่นางจ้าวอยู่ในขั้นปลอดภัยทว่ายังไม่ฟื้นขึ้น บรรยากาศในห้องจึงยังไม่คลายความตึงเครียด
“เงินสามสิบเหรียญอยู่ที่ไหน? ได้คืนมาหรือไม่?” หยุนลี่จงรีบถามหยุนลี่เต๋ออย่างร้อนรน สองเท้าเดินวนรอบห้องเพราะอยู่ไม่สุขอีกต่อไป
หยุนลี่เต๋อทำเพียงนิ่งเงียบ
เงินในส่วนนั้นเป็นสิ่งที่หมอหลี่สมควรได้รับเป็นค่าตอบแทนแล้ว หากจะเรียกคืนมานั่นยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งหยุนลี่เต๋อยังอุตส่าห์แบกหน้าไปอ้อนวอนตามคำสั่งของหยุนลี่จงกว่าอีกฝ่ายจะยินยอมตามมา สุดท้ายแล้วกลับถูกหยุนลี่จงตำหนิด้วยทำสิ่งใดก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด เรื่องนี้ทำให้หยุนลี่เต๋อรู้สึกย่ำแย่ไม่น้อย