ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主] – ตอนที่ 179 ความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นพรอันประเสริฐ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

ตอนที่ 179 ความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นพรอันประเสริฐ

ผู้เฒ่าหยุนนึกอยู่แล้วว่าเรื่องจะต้องดำเนินมาถึงวันนี้ หลังจากที่ครอบครัวรองแยกตัวออกไปแล้วก็ควรอยู่อย่างอิสระ ทว่ายังถูกบ้านใหญ่เรียกใช้อยู่บ่อยครั้งเช่นนี้พวกเขาย่อมอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ

หลายวันก่อนผู้เฒ่าหยุนได้ยินชาวบ้านจับกลุ่มพูดกันกันอย่างออกรสว่าหยุนลี่เต๋อนั้นหัวอ่อนและโง่เขลาไม่ทันคน ส่วนหยุนลี่จงและหยุนลี่เซียวไม่ยอมหยิบจับงานการใด ๆ ทั้งสิ้น ทว่าผู้นำตระกูลและหญิงชราผู้เป็นภรรยากลับมองข้ามนิสัยเหล่านั้นของลูกชายสองคนเสีย นอกจากจะไม่แยกครอบครัวใหญ่และครอบครัวสามออกไปยังเก็บไว้กับตัว ทว่ากลับไล่ครอบครัวรองที่รับผิดชอบงานบ้านทุกสิ่งออกไปสร้างครอบครัวอยู่เองอย่างไร้เหตุผล

เห็นได้ชัดว่าหยุนลี่เต๋อนั้นเบาปัญญาเกินกว่าจะปฏิเสธ ทว่าอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากความลำเอียงของผู้เฒ่าหยุนทั้งสิ้น

ผู้เฒ่าหยุนมีนิสัยปกป้องเกียรติยศตนยิ่งชีพและไม่ยอมเสียหน้า ครั้นได้ยินคำกล่าวเหล่านั้นแว่วเข้าหูจึงเกิดความอับอายไม่น้อย ทว่าเขาก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขใด ๆ ได้อีกแล้ว

หยุนลี่จงศึกษาตำราวิชาการเป็นระยะเวลายี่สิบกว่าปีย่างเข้าสามสิบ นอกจากทักษะด้านการคิดเขียนอ่านเฉกเช่นบัณฑิตผู้มีความรู้สูงแล้ว เขาไม่อาจแยกแยะได้แม้แต่ชนิดของเมล็ดพืชด้วยซ้ำ ส่วนหยุนลี่เซียวนั้นเกียจคร้านและหาข้ออ้างเพื่อที่ตนจะไม่ต้องทำงานใดอยู่เป็นนิจ เช่นนั้นลูกชายคนใดกันจึงสามารถพึ่งพาได้?

ผู้เฒ่าหยุนนั่งอยู่ใต้ชายคาเพียงคนเดียว ยิ่งครุ่นคิดความโศกเศร้าก็ยิ่งฉายชัดออกทางสีหน้า เขาได้แต่ทบทวนว่าชีวิตของตนเองนั้นช่างล้มเหลวเสียจริง ตนเองชราภาพลงทุกวัน แทนที่จะมีชีวิตบั้นปลายอย่างผาสุก เหตุใดครอบครัวกลับแตกแยกคนละทิศทางเช่นนี้?

ฝั่งปีกตะวันตก อาหารมื้อเที่ยงถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว แม่นางเหลียนจึงไหว้วานขอให้หยุนเยี่ยนเดินทางไปยังท้องทุ่งเพื่อเรียกให้หยุนลี่เต๋อหยุดพักและกลับมาทานข้าวที่บ้าน

เพียงไม่นานนักหยุนลี่เต๋อจึงกลับมาที่บ้าน เขาวางอุปกรณ์ทำสวนและถังน้ำลงจากบ่า ใบหน้าคล้ำเข้มเพราะถูกแดดเผาทั้งยังแดงก่ำ เขาร้องเรียกผู้เฒ่าหยุนสุดเสียงทันที “ท่านพ่อ!”

ผู้เฒ่าหยุนนิ่งงันไปครู่หนึ่งด้วยความสับสน ครั้นได้สติจึงตอบกลับ “กลับมากินข้าวเสียหน่อยและพักผ่อนให้สบายเถิด…”

“ท่านพ่อ พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกถูกรดน้ำพรวนดินเรียบร้อยแล้วขอรับ ทางฝั่งตะวันตกก็เหลืออีกเพียงไม่กี่ไร่เท่านั้น ช่วงบ่ายข้าจะไปจัดการพื้นที่ที่เหลือให้เสร็จสิ้น…”

“อืม!” ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้ารับ “เจ้ารอง เจ้าเหนื่อยมากแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาเสีย”

หยุนเชวี่ยเตรียมอ่างไม้สำหรับล้างหน้าไว้พร้อมแล้ว นางเดินไปคล้องแขนหยุนลี่เต๋อและส่งยิ้มกว้างอย่างเอาอกเอาใจ “ท่านพ่อ ท่านทำงานหนักเพียงผู้เดียวคงเหนื่อยไม่น้อย เห็นทีต้องกินข้าวสองถึงสามชามจึงจะอยู่ท้อง หากกินจนหมดแล้วข้าและเสี่ยวอู่จะช่วยกันบีบนวดไหล่ให้ท่านเอง”

“เฮ้!” หยุนลี่เต๋อยิ้มอย่างพึงใจ “ลูกสาวของข้าช่างกตัญญูและเข้าใจพ่อเสียจริง!”

ฝ่ายแม่นางเฉินยังคงขลุกตัวอยู่แต่ในครัวท่ามกลางเสียงอึกทึกดุด่าอย่างเผ็ดร้อนของแม่เฒ่าจู ในที่สุดอาหารกลางวันจึงเสร็จสิ้น

หยุนลี่เซียวเดินลงมานั่งประจำตำแหน่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่ เขาพ่นลมหายใจออกทางปากอย่างไม่สบอารมณ์และก้มหน้าก้มตาทานอาหารโดยไม่พูดจา

ระหว่างมื้ออาหารผู้เฒ่าหยุนได้ไหว้วานขอให้แม่นางเฉินนำอาหารขึ้นไปวางไว้ให้หยุนลี่จงถึงหน้าห้องส่วนตัวทางปีกตะวันออก เมื่อแต่ละคนต่างมีงานที่ต้องรับผิดชอบจึงเริ่มหลงลืมเรื่องของแม่นางจ้าวไปเสีย

หลังมื้ออาหาร หยุนลี่เซียวจึงเกิดอาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อน เขาอ้าปากหาวและเดินขึ้นไปบนห้องหมายจะงีบหลับ

“สะใภ้สาม เจ้าออกไปนอกเมืองเพื่อช่วยเหลือสะใภ้ใหญ่ได้แล้ว!” ผู้เฒ่าหยุนไม่ลืมกำชับอีกครั้ง

“ท่านพ่อ ข้ายังต้องล้างถ้วยชามทั้งหมดและซักเสื้อผ้าอีกเป็นกอง ทั้งยังมีงานมากมายก่ายกองรออยู่นะเจ้าคะ!” แม่นางเฉินเบือนหน้าหนี “อีกอย่าง… นี่เวลาก็ผ่านมานานพอดูแล้ว ไม่แน่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่คงกำลังเดินกลับมาใกล้ถึงบ้านแล้วกระมัง!”

ครั้นกล่าวจบแล้วแม่นางเฉินจึงเริ่มหยิบภาชนะทั้งหมดรวมถึงตะเกียบมาซ้อนกันด้วยความคล่องแคล่วดังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“วางมือจากงานเหล่านี้ก่อน ไว้ค่อยกลับมาสะสางต่อก็ยังไม่สาย รีบไปเดี๋ยวนี้!” ผู้เฒ่าหยุนแปรเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเข้มขรึมขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว

“วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก…” แม่นางเฉินบ่นเสียงแผ่วด้วยไร้ความสามารถจะปฏิเสธอีก “ข้าต้องไปเสาะหาหมวกไม้ไผ่สานมาสวมก่อน พี่สะใภ้ใหญ่ช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน ไม่ว่างานใดก็หยิบจับไม่ได้…”

ผู้เฒ่าหยุนไม่คิดบีบบังคับแม่นางเฉินด้วยคำสั่งอีกเป็นครั้งที่สาม ไม่ว่านางจะไปหรือไม่ย่อมเป็นสิทธิ์ของนาง เขาหรือจะไม่รับรู้ว่าแสงแดดในยามเที่ยงวันเช่นนี้ร้อนแผดเผาเพียงใด

แม่นางเฉินหยิบหมวกมาสวมใส่ก่อนเดินกระแทกเท้าออกจากบ้านไปด้วยความขุ่นเคืองเป็นที่สุด อีกทั้งยังบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้งไปตลอดทาง ทำให้นางไม่ทันสังเกตว่าบุตรสาวเช่นหยุนเซียงเดินตามตนออกจากบ้านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าปลายทางของหยุนเซียงคือบ้านตระกูลเหอ

หยุนเชวี่ยเหน็ดเหนื่อยและง่วงงุนเต็มที นางนอนงีบอยู่ครู่ใหญ่กระทั่งได้ยินเสียงหยุนลี่เต๋อ แม่นางเหลียน และหยุนเยี่ยนเดินออกจากห้องไปจึงพลิกตัวกลับไปอีกทางพลางบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อย

รอจนกว่าเสี่ยวอู่ออกจากห้องไปอีกคน หยุนเชวี่ยจึงเหยียดขาจนสุดกล้ามเนื้อก่อนลืมตาขึ้นมองหลังคา เมื่ออ้าปากหาวจนเป็นที่พอใจแล้วจึงผุดลุกขึ้นจากเตียง

เวลานี้ทั้งแม่เฒ่าจูและหยุนชิ่วเอ๋อคงกำลังนอนงีบหลับในช่วงกลางวัน ดังนั้นบ้านตระกูลหยุนจึงเงียบสงบกว่าปกติ ไร้ซึ่งเสียงลมพัดผ่าน มีเพียงเสียงจักจั่นที่ดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ

หยุนเชวี่ยลุกเดินไปล้างหน้า จากนั้นจึงเดินกลับมาหยิบหินเกลือสีแดงอ่อนออกมาจากโต๊ะไม้ข้างเตียงและพินิจดูอย่างใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ครั้นนึกบางอย่างออกจึงรวบรวมพวกหม้อดินเผาที่ไม่ได้ใช้งานออกมาจากใต้เตียงบรรจุลงในตะกร้าพร้อมกันและตั้งใจออกไปพบเหอยาโถว

แต่สิ่งที่หยุนเชวี่ยไม่คาดคิดมาก่อนคือการที่ตนไปถึงหน้าบ้านของเหอยาโถว และพบกับหยุนเซียงที่กำลังนั่งก้มหน้าอย่างเงียบเชียบอยู่ตรงธรณีประตูของห้องโถงใหญ่!

หยุนเชวี่ยตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนชี้มือไปด้านหน้า “หะ…เหตุใดนางจึงหวนกลับมาที่บ้านของเจ้าอีกแล้วล่ะ?”

“หลังมื้อเที่ยงผ่านพ้นไปแล้วนางก็มารออยู่ตรงนี้” เหอยาโถวกางมือพร้อมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ตอนแรกนางยืนรออยู่ที่ลานหน้าบ้าน ทว่าไม่ปริปากคำใดเลย ข้าจึงอนุญาตให้นางเข้ามา”

หยุนเชวี่ย…

“ข้านำขนมแบ่งให้นางหนึ่งชิ้นแล้ว ทว่าแม้กินเสร็จแล้วก็ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่อย่างนั้น ช่างเถิด… ปล่อยนางไว้อย่างนั้นสักพักคงดีขึ้น”

“อาจเป็นเพราะอาสะใภ้สามของข้าออกจากบ้านไปทำธุระ หยุนเซียงจึงหวาดกลัวไม่กล้าอยู่ในบ้านหลังนั้นหากปราศจากแม่” หยุนเชวี่ยคาดเดาพลางเดินเข้าไปใกล้หยุนเซียง จากนั้นจึงนั่งลงจนความสูงเสมออีกฝ่ายและกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “เซียงเอ๋อ ไม่เกินช่วงบ่ายแม่ของเจ้าคงกลับมาถึงบ้านแล้ว หากนางกลับมาข้าจะพาเจ้ากลับไปพร้อมกัน ดีหรือไม่?”

หยุนเซียงนิ่งฟังก่อนก้มศีรษะลงและพยักหน้า

“เช่นนั้นเจ้าจงอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟัง อย่าเดินเพ่นพ่านไปโดยรอบ และอย่าเข้าบ้านอื่นโดยพลการเด็ดขาด ข้าจะขึ้นไปบนภูเขาหลังหมู่บ้านเสียหน่อย เดี๋ยวจะเก็บอินทผลัมป่ามาฝากเจ้า” หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมลูบศีรษะหยุนเซียงอย่างเบามือ

“เจ้าจะขึ้นไปบนภูเขาเวลานี้เนี่ยนะ…” เหอยาโถวกลอกตา “อากาศร้อนเจียนตาย ข้าขอไม่ไปกับเจ้าก็แล้วกัน ข้าต้องการอยู่เป็นเพื่อนเล่นหยุนเซียงที่นี่มากกว่า!”

หยุนเซียงได้ยินดังนั้นจึงเหลือบมองเหอยาโถวแวบหนึ่งก่อนก้มหน้างุดดังเดิม

“ไม่ได้! วันนี้เจ้าต้องขึ้นไปพร้อมข้า!”

“ข้าไม่ไป!” เหอยาโถวยืนกราน “ข้าไม่คุ้นชินกับสถานที่นั้นเสียหน่อย!”

“ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากเจ้า” หยุนเชวี่ยรบเร้าอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งยังส่งยิ้มประจบออดอ้อนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ “ข้าขอร้องเจ้าแล้ว… ตกลงหรือไม่?”

“ตะ… ต้องการความช่วยเหลือจากข้างั้นรึ?” เหอยาโถวยืดอกโดยสัญชาตญาณเมื่อได้รับความสำคัญ

“แน่นอนอยู่แล้ว! เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า! ทั่วทั้งหมู่บ้านไป๋ซีแห่งนี้… ไม่สิ… ทั้งชีวิตนี้ของข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าไว้วางใจเป็นที่สุด” หยุนเชวี่ยหว่านล้อมพลางเอื้อมมือไปตบบ่าเหอยาโถวสองครั้ง

เหอยาโถวยังคงรักษาท่าทีทว่าภายในจิตใจกลับพองโตฟูฟ่อง ยามนี้ต่อให้แสงแดดเผาจนผิวหนังไหม้เกรียมก็ไม่รู้สึกร้อนอีกต่อไป ทั้งยังเดินออกจากตัวบ้านอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา

“เชวี่ยเอ๋อ สิ่งสำคัญที่เจ้าว่าคืออันใดกัน? ให้ข้าไปตามเสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินมาช่วยเหลืออีกแรงดีหรือไม่?”

“ยังไม่จำเป็นหรอก เจ้าเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว!”

“ข้าขอเตือนไว้ก่อน… หากให้แบกของหนักเกินกว่าเจ็ดกิโลกรัมแล้วละก็เห็นทีข้าคงแบกมันเพียงคนเดียวไม่ไหวเป็นแน่ เชวี่ยเอ๋อ… เรื่องนี้เป็นความลับถึงขั้นตองปิดบังพวกเขาเชียวหรือ?” เหอยาโถวรีบเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

หยุนเชวี่ยเกาศีรษะ “ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเขาเสียหน่อย ข้าเพียงเกรงว่าอาจเป็นการทำให้พวกเขาหวาดกลัวต่างหาก”

“หวาดกลัวงั้นรึ?! เจ้าจะทำสิ่งใดพิลึกพิลั่นอีกแล้วหรือ?!” เหอยาโถวร้องลั่นด้วยความตระหนกทันที “เราทำเรื่องเสี่ยงอันตรายไม่ได้เด็ดขาด!”

“ไม่ใช่การต่อสู้ ไม่ใช่การสังหาร ไม่ใช่การวางเพลิงใด ๆ เสียหน่อย” หยุนเชวี่ยจับจ้องไปที่เหอยาโถวอย่างนึกขัน “เดินขึ้นไปก่อนเดี๋ยวจะรู้เอง ข้ายังไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเสียหน่อย เท่านี้ก็หวาดกลัวแล้วรึ?”

เหอยาโถวเสยผม “ท่านแม่เคยพร่ำสอนข้าว่าการอยู่อย่างสงบถือเป็นพรอันประเสริฐ”

“แล้วความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ถือเป็นพรอันประเสริฐที่หอมหวานกว่าอย่างนั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยเผยรอยยิ้มพร้อมยักคิ้วข้างหนึ่งอย่างแฝงเลศนัย

“เหตุใดข้าจึงเกิดลางสังหรณ์ว่าเจ้าจะทำสิ่งไม่ดี…” เหอยาโถวแค่นเสียงหัวเราะแหบแห้ง “นะ…นี่มันทางตรงไปยังถ้ำมิใช่หรือ?! เชวี่ยเอ๋อ! เจ้ากำลังจะทำสิ่งใดกันแน่!”

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

Status: Ongoing
หยุนเชวี่ย เสียชีวิต แล้วมาอยู่ในร่างของ เด็กสาว เธอมาอยู่ในยุคที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ใดๆ แต่ด้วยความฉลาดของเธอ ทำให้เธอมองหาช่องทางต่างๆที่จะทำให้ชีวิตของเธอกับครอบครัวดีขึ้น ส่วนเรื่องความรักนั้น ได้มีชายหนุ่มปริศนาที่ตั้งปณิธานว่าจะตอบแทนน้ำใจด้วยทั้งชีวิตของเขากับเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท