ตอนที่ 199 แม้เฆี่ยนตีก็ต้องอดทน
“เมื่อวานนี้สาวใช้ของข้าซื้อบ๊วยดองน้ำตาลที่มีแต่ดินและทรายปนเปื้อนมาเช่นกัน ข้าจึงต้องล้างมันด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ…”
“มิน่าเล่า นายน้อยสามของข้าถึงโยนมันทิ้งโดยไม่เสียดาย…”
“เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นเช่นนี้ บ๊วยดองน้ำตาลที่ซื้อกลับไปล้วนสะอาดสะอ้านน่ากินทั้งนั้น”
“เด็กอย่างพวกเจ้าทำการค้าไม่ซื่อสัตย์ ตั้งใจหลอกลวงกันชัด ๆ!”
“พวกเจ้าทำให้ฟันของน้องเล็กตระกูลหวังหัก ทั้งยังปรักปรำเราอีกด้วย พวกเจ้าจะชดใช้อย่างไร!”
“ขี้แพ้ชวนตี ไร้ยางอายจริง ๆ จับตัวพวกเขาส่งไปที่สำนักบริหารเสียจะได้ไม่ต้องออกมาเพ่นพ่านก่อเรื่องวุ่นวาย!”
ครั้งนี้เถียนตวนสื่อและพรรคพวกต่างโกรธจัด เนื่องจากถูกคนที่มุงดูด่าทอต่าง ๆ นานา
เด็กหนุ่มเหล่านี้มาจากบ้านนอก ไหนเลยจะเคยเห็นโลกภายนอก เมื่อได้ยินว่าจะถูกจับตัวส่งไปที่สำนักบริหารจึงตกใจจนขาแทบอ่อนแรง
“มะ… ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้ขายมันจริง ๆนะ” โฉ่วเหือโบกมือปฏิเสธ
ท่าทีหยิ่งผยองของโฉ่วช่วนเมื่อครู่พลันหายไปในพริบตา เขาตะโกนแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน “พวกเราไม่ได้ขายจริง ๆ พวกเราถูกใส่ร้าย…”
ขณะนี้เถียนตวนสื่อไม่เอ่ยคำใด เขาก้าวเดินออกไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ เพราะเกรงว่าตนจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย เมื่อเห็นว่าทุกคนเพ่งความสนใจไปที่ผู้อื่น เขาจึงอาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไปโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกต
“หึ เจ้าปฏิเสธใช่หรือไม่ วันนี้ข้าขอให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน หากพวกข้าใส่ร้ายเจ้า ข้าจะชดใช้ให้เจ้าอย่างสาสม ทว่าหากเจ้าหลอกลวงผู้อื่น ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”
หลังจากพูดจบ เอ้อฝูจึงโบกมือให้ลูกน้องสี่ถึงห้าคนวิ่งเข้าไปยืนล้อมอีกฝ่าย และกระชากตะกร้าของพวกเขาออกมาเพื่อตรวจสอบห่อบ๊วยดองน้ำตาล
โฉ่วช่วนกำลังจะกล่าวแก้ตัว ทว่าพลันใดนั้นเด็กหนุ่มที่ยืนล้อมรอบเขาก็โผเข้าไปจับตัวเอาไว้ ทำให้โฉ่วช่วนตกใจจนพูดไม่ออก
“พี่เอ้อฝู ดูนี่สิ ในห่อบ๊วยดองน้ำตาลมีแต่หินและทรายเต็มไปหมด!” เด็กชายคนหนึ่งกล่าวพลางเปิดห่อบ๊วยดองน้ำตาล
“ห่อนี้ก็มีเช่นกัน!”
“ห่อนี้ก็มี!”
โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้คน
“เอาไปให้ทุกคนดู พวกเขาจะได้ไม่นินทาว่าพวกเราป้ายสีผู้อื่น ดูให้ดีว่าพวกมันขายอะไรให้ผู้อื่นกิน!”
เมื่อเอ้อฝูออกคำสั่ง เหล่าลูกน้องจึงถือห่อบ๊วยไปหยุดต่อหน้าฝูงชนและยื่นให้พวกเขาดูอย่างละเอียด
“หากสายตาไม่ดีหรือไม่ได้ระวังก็คงกินทรายเข้าไปเต็มปาก!”
“หลักฐานทนโท่เพียงนี้ ดูสิว่าพวกเจ้าจะแก้ตัวอะไรอีก!”
“อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ เหตุใดถึงหลอกลวงผู้อื่นได้ลงคอ!”
“พวกเจ้ามาจากหมู่บ้านใดกัน?”
ผู้คนรอบข้างต่างตะโกนด่าทอโฉ่วเหอและโฉ่วช่วน เมื่อหยุนเชวี่ยได้ยินดังนั้นจึงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ปลาตายตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง!” เหอยาโถวพึมพำอย่างไม่พอใจ “พวกมันทำลายชื่อเสียงของหมู่บ้านเราจนป่นปี้!”
“ให้พวกมันกินเข้าไป!” เอ้อฝูชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากขายหรอก เพียงแต่…” เถียนตวนสื่อโพล่งขึ้น ทว่ายังไม่ทันพูดจบก็ถูกอีกฝ่ายแย่งตะกร้าไปเสียก่อน
เขาถลึงตาใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่พอใจ ทว่าไม่กล้าขัดขืน ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสของการลูกรังแกแล้ว และหมัดของเขาก็ยากที่จะต่อกรกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
ไม่นานห่อบ๊วยดองน้ำตาลในตะกร้าของพวกเขาก็ถูกเปิดออกจนหมด บางห่อมีทรายมาก บางห่อมีทรายน้อย และบางห่อมีทั้งดินทั้งทราย
“คราวนี้ยังจะแก้ตัวว่าไม่ผิดอีกหรือ?!” เอ้อฝูเอ่ยถามเสียงเข้ม
เถียนตวนสื่อและพรรคพวกเอาแต่ก้มหน้าไม่กล่าวคำใด
“พี่เอ้อฝู เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?” เด็กหนุ่มผู้ที่ถือถุงบ๊วยสองสามห่อเอ่ยถาม
“โยนของเสียเหล่านั้นทิ้งซะ พวกมันหลอกลวงผู้คน” เอ้อฝูเชิดคางขึ้น “ลากตัวพวกมันไปที่วัดเฉิงหวงแล้วสั่งสอนให้เข็ดหลาบ!”
ผู้คนที่มุงดูต่างปรบมือชื่นชม เด็กชายกลุ่มหนึ่งรีบปรี่เข้าไปคุมตัวของโฉ่วเหือ โฉ่วช่วน และเถียนตวนสื่อ ตะกร้าของพวกเขากลิ้งอยู่บนพื้น ในขณะที่ผู้คนรอบ ๆ ต่างเดินเหยียบย่ำห่อบ๊วยดองน้ำตาลที่ตกกระจัดกระจายบนพื้น
ใบหน้าของเถียนตวนสื่อและพรรคพวกซีดเผือดเมื่อถูกคุมตัวเดินผ่านกลุ่มของหยุนเชวี่ย เหอยาโถวเบ้ปากพร้อมกล่าวว่า “สมควรแล้ว!”
“พวกเราไม่ได้ตั้งใจ…”
“ใช่ พวกเราไม่ตั้งใจ พวกเราไม่ต้องการขายบ๊วยเหล่านี้แล้ว…”
“พี่ตวนสื่อ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? พี่ช่วยพูดอะไรหน่อยสิ…”
“เชวี่ยเอ๋อ…”
เด็กหนุ่มร่างกำยำถูกลากตัวผ่านหยุนเชวี่ย เขาจ้องมองนางด้วยสายตาอ้อนวอนขอชีวิต
หยุนเชวี่ยทำได้เพียงยักไหล่ตอบอย่างจนปัญญา
หากกล้าทำต้องกล้ารับ กล้าที่จะหลอกลวงผู้อื่นก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับผลที่จะตามมา และเมื่อทำพลาด ก็ต้องอดทนให้ได้แม้จะถูกเฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี
“สั่งสอนพวกเขาให้เข็ดหลาบ!”
“ใช่แล้ว พวกเขาต้องจดจำความผิดครั้งนี้ไปอีกนาน!”
ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นต่างยกโขยงกันไปที่วัดเฉิงหวงเพื่อรับชมความครึกครื้น
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกมันจะเป็นอย่างไรเมื่อถูกเฆี่ยนตี!” เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าวพลางถอยหลังไปสองก้าว
“อยากดูเรื่องสนุก ทว่าไม่อยากหาเงินแล้วหรือ?” เหอยาโถวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าการหาเงินย่อมสำคัญกว่าการดูพวกมันถูกเฆี่ยนตี เพราะข้ายังต้องซื้อซาลาเปาให้ท่าแม่กินอีกหลายลูก!”
“จริงสิ” หยุนเชวี่ยหยุดชะงักก่อนกล่าวเสียงดัง “วันนี้ตอนที่ขายบ๊วย พวกเราต้องบอกทุกคนให้ชัดเจนว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกับคนเหล่านั้น และต้องบอกอีกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านของเราส่วนใหญ่เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีทางทำเรื่องไร้คุณธรรมแน่”
“อืม!” ทั้งสามคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“เชวี่ยเอ๋อรอบคอบมาก เราไม่สามารถปล่อยให้พวกมันทำลายชื่อเสียงของหมู่บ้านไป๋ซีได้!”
ตลอดครึ่งเช้า ทั้งสี่คนตะโกนขายบ๊วยดองน้ำตาลจนริมฝีปากและลำคอแห้งผาก เคราะห์ดีที่พวกเขาเป็นเด็กช่างพูดและคุ้นเคยกับผู้คนในเมืองเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้านดีเป็นทุนเดิมจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
อย่างมากก็มีคนส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า ‘เด็กสมัยนี้มีนิสัยคดโกงตั้งแต่อายุยังน้อย โตขึ้นแล้วสันดานยังเหมือนเดิม…’
บางคนกลับเปรียบเทียบหยุนเชวี่ยและลูก ๆ ของตนว่านางเป็นเด็กที่ขยันขันแข็งอนาคตไกล ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อบ๊วยดองน้ำตาลเพิ่มอีกหลายถุง
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านไป๋ซี
เหอยาโถวถือน้ำเต้าไว้ในมือก่อนดื่มน้ำสองสามอึก จากนั้นยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากพลางถอนหายใจ “กระหายน้ำจนจะเป็นลมอยู่แล้ว!”
“ข้าก็เช่นกัน” เสี่ยวส้วยเอ๋อบุ้ยปาก “ดูสิ ริมฝีปากของข้าลอกหมดแล้ว”
“ข้าคงต้องไปบอกท่านหวังหลี่เจิ้งแล้วว่าเถียนตวนสื่อและพรรคพวกก่อเรื่องวุ่นวาย คนทั้งหมู่บ้านจะได้ไม่ต้องเป็นแพะรับบาป” เหอยาโถวกล่าว
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อพยักหน้าเห็นด้วย
หยุนเชวี่ยเหลือบมองเหอยาโถวพร้อมกล่าว “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามีอุปนิสัยของคนทำการค้าจริง ๆ ด้วย”
“หืม?” เหอยาโถวสับสน
“ฉวยโอกาสในตอนที่เขาพลาดขุดหลุมฝังเสียให้มิด ไม่อ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย “หยุนเชวี่ยกล่าวพลางเหยียดยิ้มชมเชย
เหอยาโถวเกาศีรษะพลางเผยรอยยิ้มถ่อมตน “เจ้าคิดว่าข้าฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นพลาดแล้วสร้างประโยชน์ให้ตนเองหรือ?”
“โอ้…” หยุนเชวี่ยจ้องมองเหอยาโถวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง ว่าแต่เจ้ารู้จักสำนวนนี้ด้วยหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนระเบิดหัวเราะ
ไม่นานข่าวที่เถียนตวนสื่อและพรรคพวกก่อเรื่องวุ่นวายก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นปล่อยข่าวหรอก เพียงสังเกตใบหน้าเขียวช้ำ เสื้อผ้าขาดวิ่น และตะกร้าที่หายไปก็จะรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาผ่านการทุบตีมาอย่างสาหัส
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือด และขณะนี้ตระกูลหยุนไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป